พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 468


    ตอนที่ ๔๖๘

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้มโนทวาราวัชชนะไม่ว่าจะเกิดทางทวารไหน ทำกิจอะไร ก็เป็นชวนปฏิปาทกมนสิการ

    เริ่มที่จะจำ เริ่มที่จะคิด เริ่มเป็นแดนเกิดของการที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เรื่องราวต่างๆ แม้แต่การใส่ใจในอารมณ์ จนกระทั่งมีความวิจิตรสืบต่อมา จากขณะแรกๆ จนถึงแต่ละภพ แต่ละชาติ ก็ทำให้เป็นไปตามการสะสม

    ขณะนี้มีมนสิการจากการฟัง ใช่ไหม กุศลจิตเกิด มีปัญญาเกิดร่วมด้วย หรือไม่ ถ้าขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นก็มนสิการ ใส่ใจ ปัญญาก็มีความเข้าใจ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ต้องไปทำความเข้าใจอะไรเลย เพราะเหตุว่า สภาพธรรมต่างหาก ที่กระทำกิจนั้นๆ ในขณะนั้น ถ้ามนสิการถูกต้อง กุศลจิตเกิด ถ้าไม่ถูกต้อง อกุศลจิตเกิด

    เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่า โยนิโสมนสิการ หรือ อโยนิโสมนสิการ เป็นคำที่ขยายลักษณะของมนสิการนั่นเอง

    ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์ขยายว่า เหตุที่ทำให้เกิดโยนิโสคืออะไร

    อ.วิชัย เท่าที่จำได้ก็จะมี การคบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรม จริงๆ แล้วถ้าเราเข้าใจ ขณะนี้ก็มีโอกาสได้ฟัง แล้วมีบุคคลที่สนทนาแล้วเข้าใจขึ้น พระองค์ก็ทรงแสดงเหตุไว้ อาจจะมีการสนทนา คบกับบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจ เมื่อเราสนทนา ก็เข้าใจมากขึ้น ขณะนั้นก็เป็นเหตุที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เช่นขณะที่ฟัง ขณะนั้นก็มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปแล้ว โดยที่ไม่ต้องกล่าวเลยว่า จะต้องโยนิโสไหม หรือให้มีขึ้น หรือให้เป็นไหม แต่ว่าธรรมเกิดแล้ว เป็นแล้ว ขณะที่มีความเข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ขณะนั้นก็ใส่ใจโดยแยบคาย คือโดยเป็นกุศลเกิดขึ้น

    ที่กล่าวว่าเหตุให้เกิดกุศลก็มี ปุพเพกตปุญญตาด้วย คือ กระทำบุญไว้ในกาลก่อน เพราะเหตุว่าการได้สั่งสมกุศลไว้แล้วในอดีต ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กุศลในภายหลังๆ จะเกิดขึ้นได้

    ทุกท่านที่มาที่นี่ ก็คงมีการสั่งสมมาที่จะน้อมไปที่จะฟัง น้อมไปในการเจริญกุศลขั้นต่างๆ ก็เพราะเหตุว่า ได้สั่งสมเหตุมาแล้ว ซึ่งต่างจากบุคคลที่ไม่ได้สั่งสมมา ซึ่งอาจจะมีการชักชวน แต่ยังไม่สนใจ แสดงว่าบุคคลนั้นไม่ได้สั่งสมมาที่จะฟัง หรือเจริญกุศลขั้นอื่นๆ ก็ยังเป็นผู้ประมาทอยู่ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม เช่นถูกชักชวนบ่อยๆ ก็สามารถมาฟังได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้กุศลจิตบุคคลนั้นเกิดขึ้น ในการฟังพระธรรม

    อ.อรรณพ ถ้าเข้าใจสภาพธรรม เช่นเมื่อสักครู่เราสนทนา เรื่องมนสิการ ถ้าเข้าใจจริงๆ จะรู้ และเข้าใจว่า จะบังคับ หรือจะจัดสภาพการณ์ ให้เกิดโยนิโสมนิสการไม่ได้เลย โวฏฐัพพนจิตเกิด ซึ่งท่านแปลว่า ตัดสินอารมณ์ ก็คือกระทำทางให้ชวนจิตเกิดขึ้น ซึ่งมโนทวาราวัชชนจิต เป็นจิตที่จะทำโวฏฐัพพนกิจ ทางปัญจทวารตามการสะสมที่ชวนะที่จะเกิด จะเป็นอกุศล อโยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ หรือกระทำทางให้กุศลเกิด เมื่อกุศลเกิด ๗ ขณะ ก็เป็นโยนิโสมนสิการ ตามการสะสม อารมณ์เป็นปัจจัยโดยการเป็นอารมณ์ อย่างสีเป็นปัจจัยกับวิถีจิต โดยเป็นอารัมมณปัจจัยเท่านั้น แน่นอนจิตเกิดขึ้น ต้องมีอารัมมณปัจจัย แต่ทำไม ทันทีที่โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้น แล้วดับไป จึงเกิดอกุศล หรือเกิดกุศล แล้วอกุศลก็ยังหลากหลาย บางคนเกิดโลภะ บางคนเกิดโทสะ ตามอุปนิสสยปัจจัย ที่สะสมมา

    เพราะฉะนั้นพี่สุกัญญาจะไปคิดถึงว่า เพราะอารมณ์เป็นตัวการให้เราโกรธ หรือทำให้เราเกิดโลภะนั้น ไม่ใช่ เป็นเพียงอารัมมณปัจจัย แต่อารัมมณปัจจัยเดียวกัน ทำไมกุศลเกิด หรืออกุศลเกิด เป็นโยนิโสมนสิการ หรืออโยนิโสมนสิการ เพราะอุปนิสสยปัจจัยที่สะสมมา ถ้าสะสมอนุสยะ คือ อนุสัยกิเลสใดมา เมื่อได้เหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นเป็นโลภะ หรือโทสะตามการสะสม แต่ถ้าสะสมอาสยะที่ดี โวฏฐัพพนจิตก็กระทำทางให้กุศลเกิดขึ้น เป็นโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่เราเลย โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัยให้ชวนะเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงอนันตรปัจจัย ท่านยังขยายว่า อนันต รูป นิสสยปัจจัย ก็คือ อนันตรปัจจัยด้วย และอุปนิสสยปัจจัยด้วย ที่ทันทีที่โวฏฐัพพนจิตเกิด แล้วดับไป ชวนจิตที่จะเกิดต่ออีก ๗ ขณะ จะเป็นอกุศล คือ อโยนิโสมนสิการ หรือจะเป็นกุศล คือ โยนิโสมนสิการตามการสะสม แต่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการสะสมที่ชวนะ ก็อย่างที่อาจารย์วิชัยกล่าว คือ การมีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรม การคบบัณฑิต การได้ยิน ได้ฟัง ก็เป็นเหตุปัจจัยให้สังขารขันธ์ปรุงแต่ง ปรุงแต่งตรงวิถีจิตที่สำคัญที่สุด คือ ที่ชวนวิถี ที่จะปรุงแต่งเป็นกุศล ประกอบด้วยปัญญา แล้วสะสมอาสยะที่ดีเพิ่มขึ้นๆ

    เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไป หรือมโนทวาราวัชชนจิตทางมโนทวารดับไป ชวนะนั้นเป็นกุศลได้

    เพราะฉะนั้นแม้ได้อารมณ์ที่ไม่ดี สีที่ไม่น่าพอใจ เสียงที่ไม่น่าพอใจ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่น่าพอใจ นามธรรม และรูปธรรมที่ไม่น่าพอใจ ถ้าสะสมอุปนิสัยมาที่จะเป็นโทสะ โทสะก็เกิดขึ้น แต่ว่าอุปนิสัยที่สะสมมา แม้มีอารมณ์เดียวกัน แต่สติปัฏฐาน ก็เกิดระลึกรู้ลักษณะของอนิฏฐารมณ์นั้น ได้ว่าเป็นเพียงสภาพแข็งที่กระด้าง หรือร้อนเกินไป หรือเสียง ที่ไม่น่าพอใจว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นอารัมมณปัจจัย ไม่ขาดเลย แต่จิตนั้นจะเป็นกุศล หรืออกุศล ก็แล้วแต่การสะสม แล้วแต่ชวนปฏิปาทกมนสิการจะกระทำทางเป็นบาทเฉพาะให้กุศล หรืออกุศลเกิดขึ้นตามอุปนิสสยปัจจัย ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ จะมีใครไปบังคับที่จะเป็นตัวตนทำให้โยนิโสมนสิการเกิด แทนอโยนิโสมนสิการได้ไหม ก็ขึ้นอยู่กับการสะสม

    ถ้าเราได้เข้าใจสภาพธรรม อย่างเช่นมนสิการแม้ขั้นการฟัง การพิจารณา ก็จะเป็นประโยชน์ เพราะรู้ว่าทำไมแต่ละคนจึงสนใจต่างกัน เมื่อวานท่านอาจารย์ก็อธิบายตั้งแต่เบื้องต้น ทำให้เราเข้าใจดีมากเลยว่า ทำไมโลกเปลี่ยนแปลงไป ทุกยุคทุกสมัย สมัยก่อนก็คงไม่มีเทคโนโลยีอย่างนี้ เพราะสภาพธรรมหลายๆ อย่าง และหนึ่งในนั้นที่สำคัญ ก็คือมนสิการ ก็คือการสะสมมา ที่จะใส่ใจในเรื่องไหน จะใส่ใจในศาสตร์ไหน ค้นคว้าอะไร อย่างไร ที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงที่ใช้ภาษากัน จริงๆ แล้วเป็นธรรมทั้งนั้น เป็นมนสิการที่ใส่ใจ บางคนเห็นเหมือนกัน แต่บางคนสนใจมาก แม้ผัสสะจะกระทบอารมณ์เดียวกัน แต่กำลังของมนสิการก็ต่างกัน

    เพราะฉะนั้นทำโยนิโส อโยนิโสไม่ได้ เป็นไปตามการสะสม ที่ชวนปฏิปาทกมนสิการจะเป็นบาทเฉพาะให้กุศล อกุศลเกิดขึ้นตามการสะสม

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังธรรม แล้วก็ฟังมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เข้าใจ หรือไม่เข้าใจ อยากจะทราบเหตุผลใช่ไหม ว่า ทำไมฟังแล้วเข้าใจ หรือฟังแล้วไม่เข้าใจ คนที่เข้าใจตอบได้แน่ๆ ว่า ฟังแล้วเข้าใจเพราะอะไร บางทีเราไปคิดถึงตำรับตำรามากเลย ไปค้นคว้าว่าเหตุอะไร ตั้งแต่ชาติไหน ทำให้เราสามารถเข้าใจธรรมในขณะที่กำลังฟังในขณะนี้ได้ แต่ผลคือขณะนี้เองที่ฟังเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ เราสามารถบอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียบเรียงว่า มีกี่หัวข้อ แค่ไหนบ้าง หรืออะไร แต่ในขณะนี้เองที่กำลังฟัง รู้ใช่ไหมว่า เข้าใจเพราะอะไร และไม่เข้าใจเพราะอะไร คุณอรวรรณช่วยให้ความเห็นด้วย เวลาที่เข้าใจเพราะอะไร และไม่เข้าใจเพราะอะไร

    ผู้ฟัง ถ้าใส่ใจที่จะฟังสิ่งที่ได้ยินได้ฟังก็เข้าใจ แต่ถ้าไม่ใส่ใจ ถึงแม้ได้ยิน ก็ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ตรงนี้ก็แน่นอน เพราะว่าถ้าได้กล่าวถึงบุญ ที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน คงไม่ต้องกล่าวถึง ที่ทุกคนมีความสนใจที่จะฟังพระธรรม ต้องเป็นบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน นี่ข้อหนึ่ง มีโอกาสได้ยินได้ฟัง แต่ในขณะที่ฟังแล้ว เข้าใจ หรือไม่เข้าใจ เวลาที่พระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมกับพระภิกษุ จะกล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพื่อให้ภิกษุรู้ว่าพระองค์กำลังจะกล่าวคำที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นผู้ฟังก็ต้องตั้งใจ ฟังสิ่งที่ได้กล่าว

    ด้วยเหตุนี้ขณะที่ฟัง ตั้งใจฟัง อย่างที่บอกบ่อยๆ เวลาฟัง ตั้งใจฟัง ตั้งใจฟังสิ่งที่กำลังฟัง ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง แต่บางคนก็ลืม ไปคิดเรื่องอื่น ไปคิดเรื่องพระสูตรนั้น หรือข้อความนี้ แต่ที่กำลังฟัง แม้เพียงขาดไปนิดเดียว ก็ไม่ต่อกันแล้ว

    เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังจริงๆ ถ้ามีการรบกวน โดยถูกถาม หรือถูกบอกกล่าวสักนิดหน่อย ไม่เข้าใจเลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้เคารพในการฟัง ขณะนั้นก็จะตั้งใจฟังด้วยความเคารพ ที่จะเข้าใจ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แม้กระนั้นธรรมก็ยาก เพราะฉะนั้นฟังแล้วใช่ว่าจะเข้าใจทั้งหมด แม้แต่มนสิการ ก็เป็นสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรม ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ และรู้ด้วยว่า เกิดกับจิตทุกขณะ แต่แม้ขณะนี้มนสิการก็ไม่ได้ปรากฏ แต่ผลคือว่า ขณะใดก็ตามที่เข้าใจ ไม่มีเรา เป็นตัวตน ที่จะทำให้เข้าใจ ที่อยากจะเข้าใจ แล้วจึงเข้าใจ แต่เป็นเพราะสังขารขันธ์ สภาพธรรมในขณะนั้นสามารถพิจารณาเหตุผล รู้ตามความเป็นจริง จึงเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นสิ่งที่มีจริง และมีเหตุผลที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย ไม่ใช่มีใครสร้างขึ้นมาว่า ต้องเป็นอย่างนี้ มีทฤษฎีต่างๆ แต่ความจริงของธรรมนั้นเป็นอย่างไร เวลาที่ฟังเข้าใจสิ่งที่ฟัง ตรงนั้นเป็นประโยชน์ ซึ่งก็แสดงถึงบุญ ที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน และมีโอกาสได้พบสัตบุรุษ หรือว่ากัลยาณมิตร และได้ฟังธรรม และพิจารณาธรรมที่ได้ฟัง แต่ว่าคำทั้งหมดที่ได้แสดงไว้ในพระไตรปิฎก เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ใช่เวลาอื่นเลย ถ้าขณะนี้ฟังธรรม แล้วก็ไม่เข้าใจธรรมที่ปรากฏ ชื่อว่า ฟังธรรม หรือไม่ ถึงแม้เป็นเพียงขั้นฟังเรื่องราว แต่ก็เป็นเรื่องของธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะทำให้ในขณะที่ฟังนี้เอง สังขารขันธ์ ก็จะทำให้เริ่มระลึกรู้ตัวจริงของธรรมที่กำลังได้ยินได้ฟังได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมของผู้ที่สะสมความเห็นถูก เข้าใจถูกมาแล้ว เมื่อได้ยินแล้วก็เหมือนเป็นปัจจัยที่ทำให้ระลึกได้ แล้วรู้ลักษณะ และเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังแล้วเข้าใจมามากขึ้นๆ จนสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้

    ด้วยเหตุนี้ในขณะนี้ฟังเข้าใจ เพราะอะไร ตอบได้แล้วใช่ไหม ตั้งใจฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    อ.กุลวิไล การเกิดขึ้นของกุศลธรรมมีข้อหนึ่งที่ว่า ตั้งตนไว้ชอบ

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเป็นอย่างไร โลภะเป็นอกุศล โทสะเป็นอกุศล โมหะเป็นอกุศล ไม่ชอบคนนั้นคนนี้ ตั้งตนไว้ชอบ หรือไม่

    อ.กุลวิไล เป็นไปกับอกุศลธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่สำหรับเพียงจำ และไม่ใช่เพียงเข้าใจถูก แต่ประพฤติปฏิบัติตามด้วย และการประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราจะประพฤติปฏิบัติตาม แต่เป็นธรรมที่เป็นสังขารขันธ์ วันนี้ยังเกิดอกุศลมาก ยังขาดเมตตา แต่เวลาฟังบ่อยๆ ฟังแล้วฟังอีก จะค่อยๆ มีเมตตาเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เราไปทำ หรือเราไปฝืน แล้วเราไปคิด แล้วเราไปสอนตัวเองว่า ต้องมีเมตตา ควรมีเมตตาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ขณะนั้นเป็นเรา ไม่ใช่เข้าใจจนกระทั่งสามารถเป็นปัจจัย ให้เห็นใจ และเข้าใจบุคคลอื่นเกิดได้

    นี่คือแม้ขณะที่กำลังฟัง ความเข้าใจเพียงนิดๆ หน่อยๆ แต่ละครั้งจะไม่มีใครเห็นความเป็นสังขารขันธ์ ที่จะค่อยๆ นำไปสู่ทางที่ถูกต้อง ในขั้นของการพิจารณา และในการประพฤติปฏิบัติตามด้วย

    เพราะฉะนั้นแม้แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เป็นเรื่องการละอกุศลทั้งหมด ไม่ใช่เพียงอย่างเดียว แต่กว่าจะเป็นสังขารขันธ์ที่เป็นมนสิการ และปัญญาก็เห็นถูกต้อง จนค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ที่จะทำให้แม้คิดก็คิดถูก พูดก็พูดถูก ทำก็ทำถูก ทุกอย่างก็เป็นไปในทางที่ถูก เพราะปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปคิดถึงตัวหนังสือมากมาย รู้ได้แน่ๆ จากการเข้าใจ ถ้าไม่ได้ฟัง จะมีโอกาสเข้าใจไหม ถ้าไม่ตั้งใจฟัง จะมีโอกาสเข้าใจไหม ถ้าไม่ได้สะสมบุญในปางก่อน มีโอกาสจะได้ฟังไหม ก็ไม่ได้ฟัง ก็ตรงตามที่ทรงแสดงทั้งหมด แต่เพราะไม่เข้าใจ จึงไปหาเรื่องมาก่อน แล้วพยายามไปทำเรื่อง เพื่อจะได้เป็นอย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจเลยว่า แม้แต่เพียงการได้ฟัง ก็เป็นเพราะมีเหตุครบถ้วน จากการเคยสะสมมาแล้ว มีศรัทธามาแล้ว ทำให้ได้ยินได้ฟัง อยู่ที่ขณะฟัง มนสิการ พิจารณาแยบคายถูกต้อง หรือไม่ ถ้ามี ขณะนั้นก็เป็นปัจจัยให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว ประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม

    เพราะฉะนั้นธรรมต้องพิจารณา ไม่ใช่ว่าให้เราเพียงฟัง เป็นผู้รู้มาก เข้าใจมากว่า คำนี้หมายความว่าอะไร คำนั้นหมายความว่าอะไร แต่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าอกุศลยังเหมือนเดิม เท่าเดิม ตรงนั้นก็หมายความว่า ไม่ได้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ซึ่งค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จนกว่าจะสามารถดับกิเลสได้ ด้วยการรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์สำหรับช่วงแรก

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ก็คือ ฟังเท่าไรๆ กี่ภพกี่ชาติก็เพื่อให้เห็นถูก เข้าใจถูกในความเป็นจริง ซึ่งถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา

    ข้อสำคัญที่สุด คือ เกิดมาแล้วก็เป็นเราทุกคน แต่ความจริงเป็นเราจริงๆ หรือไม่ แค่นี้ คืออยากจะเป็นเราไปเรื่อยๆ หรือรู้ความจริงว่า ที่ว่าเป็นเราคืออะไรแน่ มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วก็ฟัง กว่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นธรรม ก็ไม่ง่ายเลย ขอตั้งต้นตั้งแต่จิตขณะแรกดีไหม ทบไปทวนมาก็เพื่อให้เข้าใจในความเป็นธรรม เท่าที่จะสะสม เพราะเหตุว่า การที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงชาตินี้ นานแสนนานมาแล้ว ก็สะสมความไม่รู้ แล้วก็โลภะ โทสะทั้งหลาย ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดีมากมาย

    เพราะฉะนั้นเราคงไม่ต้องย้อนไปกล่าวถึงอดีตอนันตชาติ ซึ่งก็ต้องเหมือนชาตินี้ เพราะเหตุว่า ต้องมีจิตขณะแรก ที่เกิดขึ้น คงไม่ต้องคิดว่า แล้วมาจากไหน ถอยไปให้ถึงแสนกัปป์ เพราะแม้แต่การระลึกชาติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกเท่าไรก็ไม่หมด เพราะฉะนั้นจึงรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้ขณะที่เกิดครั้งแรกต้องเป็นจิตแน่นอน แต่ละคนก็มีจิต เป็นจิตสะสมมา แต่ว่า แต่ละจิตต่างกัน หรือเหมือนกัน เห็นไหม แม้แต่จะเป็นนามธรรม เป็นธาตุ แล้วก็มีการเกิดขึ้น แต่สิ่งที่สะสมอยู่ในจิตหลากหลายมากมาย ไม่มีใครสามารถรู้ได้ มีใครรู้บ้างไหมว่า สะสมมาแค่ไหน แม้ผู้ที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ยังไม่รู้ จนกว่าได้ฟังพระธรรม พอฟังแล้วจึงได้รู้ว่า สะสมปัญญาที่สามารถเห็นถูก ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมตามที่ทรงแสดง และก็รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ สำหรับผู้ที่สะสมมา เป็นธรรม เป็นปัญญา

    เพราะฉะนั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ให้เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม คือเป็นธาตุ เมื่อกล่าวว่าเป็นธาตุ ไม่มีใครสามารถไปสร้าง หรือทำให้เกิดขึ้นได้อย่างที่ต้องการ แต่ธาตุชนิดใดเกิดเป็นธาตุนั้น ก็เป็นธาตุนั้นเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้นขณะแรกที่เกิดเป็นธาตุชนิดหนึ่ง คือ นามธาตุ เป็นธาตุรู้ แล้วขณะนั้นก็มีทั้งจิต และเจตสิก เพราะเหตุว่าสภาพที่เป็นนามธาตุมี ๒ อย่างที่เกิดขึ้น ธาตุที่เกิดแล้วเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กำลังปรากฏ ใช้คำบัญญัติเรียกว่า “จิตต” หรือ “จิตตัง” หรือภาษาไทยใช้คำว่า “จิต” จะใช้คำอะไรก็ตามแต่ ให้เข้าใจว่า คือขณะนี้มีธาตุนี้ แต่ธาตุนี้เกิดที่ไหน อย่างไร ก็ต้องเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้ง ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นในขณะนี้กำลังเห็น ธาตุนี้ เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเมื่อไร ขณะไหน สภาพธรรมซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน เมื่อเกิดแล้วรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ลักษณะนั้นคือจิต แต่ว่าสภาพธรรมทั้งหมด จะเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องมีสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ จิตจะเกิด มีแต่จิตอย่างเดียวไม่ได้ มีเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งเกิดกับจิต ไม่เกิดกับอย่างอื่นเลย เกิดเมื่อไร เจตสิกก็เกิดกับจิต หรือจะใช้คำว่า “เกิดในจิต” ปรุงแต่งจิต อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น

    เห็นความน่าอัศจรรย์ไหม ใครไปทำได้ ธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นจิต เป็นเจตสิก อาศัยกัน และกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    นี่คือการเห็นถูกตามความเป็นจริง แล้วใครจะรู้ได้ถึงความละเอียดของจิตขณะนี้ซึ่งเกิดดับสืบต่อ นับไม่ถ้วน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    4 ก.ย. 2567