ปกิณณกธรรม ตอนที่ 233


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๒๓๓

    สนทนาธรรม ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

    พ.ศ. ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ ถ้าเสียงมีกระทบกับโสตปสาทถึงกาลที่กรรมจะให้ผล ให้ได้ยิน จะไม่ได้ยินก็ไม่ได้ อย่างคนที่นอนหลับสนิท เกิดฟ้าร้อง น่ากลัว บางคนก็ไม่ตื่น ไม่ใช่ถึงกาลที่กรรรมของคนนั้นจะให้ผลทางหู คือทำให้เกิดได้ยินเสียงนั้น แต่ว่าคนที่ทำกรรมที่ถึงกาลที่สุกงอมจะให้ผล จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากได้ยินเสียงนั้นก็ได้ยินเสียงนั้น เพราะว่าคนเราไม่ได้มีแต่กุศลกรรม มีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเกิดเพราะกรรมก็เป็นทางที่จะรับผลของกรรม คือ ขณะใดที่ได้รู้สิ่งที่ดี เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี สิ่งที่กระทบกายที่สบาย ขณะนั้นทั้งหมดก็เป็นผลของกุศลกรรม ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นสิ่งที่ไม่พอใจก็เป็นผลของอกุศลกรรม เรารู้ชีวิตของเรา และรู้กรรมของเราไหม จากวันหนึ่งๆ ถ้าเห็นสิ่งที่ดีรู้เลย เป็นผลของกรรมดีที่ได้ทำแล้ว ถ้าได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ อาจจะเป็นเสียงน่าเกลียด หรือเสียงอะไรก็ตามแต่ เสียงดุ เสียงด่า เสียงอะไรก็แล้วแต่ บางคนนั่งรถไป รถอีกคันเข้าตั้งใจจะว่าอีกคันหนึ่ง แต่คันนั้นปิดกระจกหมด แต่คันนี้เปิดกระจก ก็ได้ยินเสียงที่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะว่า แต่ก็เป็นกาลที่จะได้รับผลของกรรมทางหู ก็เกิดได้ยินเสียงนั้น

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มาถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ทราบว่า ไม่มีใครทำให้เลย ต้องเป็นผลของกรรม คือ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมเป็นเหตุ แม้ว่าดับไปแล้วก็สะสมสืบต่อพร้อมที่จะให้ผลเกิดเมื่อไร ผลก็ต้องเกิดเมื่อนั้น

    เราทุกคนจะไม่มีวันรู้ ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า ขณะจิตต่อไปจะเป็นอะไร จะเห็น หรือจะได้ยิน หรือจะได้กลิ่น เกิดได้กลิ่นขณะนี้ได้ไหม ได้แน่นอน เพราะมีจมูกซึ่งกรรมทำให้รูปนี้เกิดขึ้น แล้วก็กระทบกับกลิ่น ถ้าเป็นกลิ่นที่น่าพอใจ กลิ่นหอม ก็เป็นผลของกุศลกรรม ตัวผลคือกุศลวิบาก

    เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจคำ ๒ คำ คือ กรรมเป็นเหตุ แล้วก็วิบากเป็นผล ซึ่งใครก็หนีไม่พ้น ไม่มีใครหนีพ้นผลของกรรมได้ทุกวัน ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เป็นวิบากคือเป็นผล ของกรรม ได้ยินเสียงขณะไหน แม้ขณะนี้ก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น ก็จะมีความเข้าใจในเรื่องของกรรม และผลของกรรม ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า “วิบาก”

    ผู้ฟัง ทำไมทางใจถึงเป็นทางที่รับผลของกรรมไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เห็นจักขุวิญญาณ จิตเห็นเป็นผลของกรรมจริง แต่สั้นมาก พอเห็นแล้วเกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิต ซึ่งไม่ใช่ผลของกรรมแล้ว เป็นเหตุใหม่ที่สะสมไป ถ้ามีกำลังทำทุจริตกรรมก็เป็นอกุศลกรรม ถ้าเป็นฝ่ายกุศลก็เริ่มเป็นกุศลกรรมที่จะให้ผลในชาติต่อไป เพราะฉะนั้น ทางใจไม่ได้เป็นเห็นจริงๆ เหมือนอย่างกับจักขุที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ จักขุวิญญาณ หรือว่าไม่ใช่จิตที่ได้ยินเสียงจริงๆ แต่ว่าเป็นจิตที่สามารถจะรู้สิ่งที่เห็น หรือได้ยินต่อจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

    เพราะฉะนั้น ทางใจไม่ใช่การที่จะรับผลของกรรมอย่างนั้น ทางใจก็คือว่า เมื่อรับแล้ว จิตเป็นกุศลหรืออกุศล ทางใจก็เป็นกุศล และอกุศลเหมือนกันเลย เพราะว่ารับต่อมา เพราะฉะนั้น ทางใจจึงไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกรรมหรือว่ากุศลหรืออกุศลใหม่ ที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า

    เคยมีคนที่มีความโกรธอย่างรุนแรง มีความพยาบาทต้องการที่จะให้คนอื่นตาบอด ทำทุกอย่างที่จะให้เขาตาบอด อาจจะยิงหรืออาจจะทำอะไรก็ได้ เจตนาที่เป็นกรรม ประสงค์ที่จะให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม แต่ว่าขณะนั้นเข้าใจว่า จะให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีกับคนอื่น แต่คนอื่นเขาก็มีจิตของเขาที่เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งจะให้ผลของเขา ไม่ใช่เราที่สามารถจะไปทำคนอื่นได้ แต่ว่าเจตนาที่เป็นอกุศลของเราที่เกิดแล้ว เมื่อต้องการที่จะให้บุคคลอื่นตาบอด ผลก็คือว่าเมื่อกรรมนั้นให้ผล ก็ทำให้เวลาที่ถึงกาลสมควรที่จักขุปสาทจะเกิดก็ไม่เกิด เพราะเหตุว่ามีความประสงค์ที่จะไม่ให้เกิด ในเมื่อความประสงค์นั้นเป็นเจตนาของบุคคลใด ก็ต้องให้ผลคือทำให้วิบากจิตของบุคคลนั้นเกิด ไม่ใช่เป็นวิบากจิตของคนอื่น

    จิตเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ทรงแสดงไว้ว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของธรรมใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น สภาพธรรมที่เป็นจิต มีปัจจัยเกิด แล้วก็ต้องดับ แต่เมื่อจิตนี้ดับไปแล้ว การดับของจิตนี้เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ทรงประจักษ์แจ้งถึงความเป็นไป หรือความสามารถของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เช่น จิต สามารถที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ แต่ต้องเมื่อจิตนั้นดับไปเสียก่อน

    เพราะฉะนั้น จะมีปัจจัยอยู่ ๒ ปัจจัย เวลาที่สวดพระอภิธรรมศพ วันนี้ก็คงจะได้ยินแน่นอน ก็จะเริ่มต้นด้วย เหตุปัจจโย เหตุคือปัจจัย หรือเหตุปัจจัย อารมณปัจจโย เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งถึงอนันตรปัจจยโย สมนันตรปัจจยโย อนันตรปัจจัย ไม่ใช่รูป รูปเกิดเพราะกรรมแล้วก็ดับไป และกรรมก็ยังคงทำให้รูปเกิดได้ รูปที่เกิดเพราะจิต ก็เพราะจิตทำให้รูปนั้นเกิด แล้วก็ดับไป รูปที่เกิดเพราะอุตุ ความเย็นความร้อน รูปที่เกิดเพราะอาหารก็ดับไป ไม่มีการที่ว่ารูปนี้ดับไปแล้วเป็นปัจจัยสะสมให้รูปอื่นเกิดต่อ แต่จิตไม่ใช่อย่างนั้นเลย จิตเป็นนามธาตุที่พิเศษ และน่าอัศจรรย์ เพราะเหตุว่าจิตแต่ละประเภทที่ดับไป จะเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ จิตของใครหายไปบ้าง หรือมีสักขณะหนึ่งไหม ที่ไม่มีจิต แม้แต่กำลังนอนหลับ ความต่างของคนหลับกับคนตาย คือคนตายไม่มีจิต แน่นอน มีแต่รูปที่เรามองเห็นเป็นซากศพ แต่ว่าที่เราว่าเป็นซากศพเพราะไม่มีจิต แต่คนที่ยังไม่ตาย แม้นอนหลับก็ไม่ใช่คนตาย เพราะเหตุว่ามีจิตเกิดดับอยู่ เพราะฉะนั้น จิตไม่มีใครไปทำอะไรได้เลยที่จะไม่ให้จิตเกิดอีกต่อไปได้ นอกจากขณะจิตสุดท้ายของพระอรหันต์ ที่ไม่มีอนันตรปัจจัย หรือไม่เป็นอนันตรปัจจัย คือ เมื่อจุติจิตของพระอรหันต์เกิดแล้วดับไป คือสิ้นสุด ใช้คำว่า “ปรินิพพาน” ไม่มีการเกิดอีกต่อไป แต่ถ้าไม่ใช่จิตของพระอรหันต์ จิตอื่นทั้งหมดทันทีที่ดับ จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด

    วันนี้ถ้าได้ยินคำว่าอนันตรปัจจัยขณะที่สวดศพ ก็หมายความว่ากล่าวถึงลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ แต่เมื่อดับแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่นเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตเกิดขึ้นทำกิจการงานของจิตแต่ละชนิดแต่ละประเภท เพราะว่าจิตที่เกิดมีกิจการงานที่จะต้องกระทำเฉพาะอย่างๆ แล้วก็ดับไป อย่างเห็นก็เป็นหน้าที่ของจิต ได้ยินก็เป็นหน้าที่ของจิต เราไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงเราคิดว่า เราได้ยิน แต่ความจริงเป็นจิตที่ทำหน้าที่ได้ยิน จิตที่ทำหน้าที่เห็นก็ต่างกัน

    จิตมีมากมายหลายประเภท กุศลจิตก็เป็นอย่างหนึ่ง อกุศลจิตก็เป็นอย่างหนึ่ง อกุศลจิตที่เป็นโลภะก็ไม่ใช่อกุศลที่เป็นโทสมูลจิต หรือะไรอย่างนี้ ก็เป็นชีวิตของเราจริงๆ ทั้งหมด วันนี้จะได้ยินปัจจัย แต่ที่จะเข้าใจก็คือ อนันตรปัจจัย หมายความว่าเวลาที่จิตขณะหนึ่งดับ จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น คู่กันกับสมนันตรปัจจัย วันนี้จะมี ลองฟัง อนันตรปัจจย กับ สมนันตรปัจจัย

    สมนันตรปัจจัย คือการเกิดดับของจิตเป็นไปตามปัจจัย เช่น ปฏิสนธิจิตขณะแรกเกิดแล้วก็ดับ จะเป็นปัจจัยให้วิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมเดียวกัน ประเภทเดียวกัน มีเจตสิกประกอบเท่ากันเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น แต่เมื่อไม่ใช่จิตขณะแรกซึ่งสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ไม่ได้ต่อมาจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดหลังจากปฏิสนธิ ไม่ได้ทำหน้าที่ปฏิสนธิ ปฏิสนธิจิตจะมีเพียงขณะเดียว คือ ขณะแรก เช่นเดียวกับจุติจิตก็จะมีขณะเดียว คือ ขณะสุดท้ายที่ทำให้เคลื่อน พ้นจากสภาพความเป็นบุคคลนี้ แต่ว่าเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดเพราะกรรมใด กรรมนั้นเองก็เป็นปัจจัยให้จิตที่เกิดสืบต่อเป็นประเภทเดียวกัน แต่ทำกิจต่างกัน ไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจ ไม่ใช่ขณะแรก แต่ทำภวังคกิจ ภว หรือภพ หมายความว่าจิตขณะนั้นดำรงรักษาภพชาติ ความเป็นบุคคลนั้น ไม่ให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้นตั้งแต่เด็กจนตาย ก็จะเปลี่ยนจากบุคคลนั้นเป็นบุคคลอื่นไม่ได้ แม้ว่าจะทำกุศลกรรมก็จะไปเป็นเทวดา นางฟ้าทันทีไม่ได้ ต้องจุติก่อน แล้วกรรมที่จะทำให้เกิดที่ไหนก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดในภพนั้นภูมินั้น อย่างเราทุกคนมาสู่ภูมินี้ก็เพราะกุศลกรรมที่ทำ แล้วก็ให้เป็นบุคคลนี้ ยังคงเป็นบุคคลนี้จนถึงขณะจิตสุดท้าย ซึ่งทำกิจเคลื่อน เมื่อจิตนั้นดับ คือเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง จะกลับมาเป็นบุคลนั้นอีกไม่ได้เลย แต่ว่าระหว่างที่ยังไม่ตาย ก็จะมีภวังคจิตเกิดดับสืบต่อ ขณะที่เป็นภวังค์ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แม้ว่าเกิดมาแล้ว มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย แต่ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ได้ไหม ทำไมแม้ว่ามีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เกิดมาแล้วไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้หรือ ลืมตอนที่หลับสนิท จิตทำภวังคกิจ ไม่ได้ทำกิจเห็น ไม่ได้ทำกิจได้ยิน ไม่ได้ทำกิจแม้คิดนึกก็ไม่คิดนึก เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถจะรู้ปฏิสนธิจิตได้ เพราะว่าเป็นจิตที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ทำให้เกิดขณะแรกว่าเป็นผลของกรรมอะไร แล้วก็ขณะนั้นมีลักษณะอย่างไร เพราะไม่ใช่โลกนี้เลย ไม่ใช่สีที่กำลังปรากฏ แสงสว่างต่างๆ รูปร่างต่างๆ ทางตา ไม่ใช่เสียงที่กำลังได้ยิน แต่ขณะที่นอนหลับสนิท จิตเกิดดับดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ยังไม่ให้จุติ แล้วในขณะนั้นเหมือนกับขณะปฏิสนธิ เพราะว่าขณะปฏิสนธิ เราไม่รู้สึกตัวเลย ไม่มีใครรู้สึกตัว เป็นผลของกรรมชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้จิตประเภทที่เป็นผลของกรรม คือ วิบากจิตเกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ชาติก่อนเราจะเป็นใครมาจากไหน ไม่มีทางรู้ได้เลย กรรมที่ทำมาแล้วในชาติก่อน และในชาติก่อนๆ เราก็ไม่สามารถจะจำได้ แต่กรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เป็นบุคคลนี้ แล้วก็กรรมนี้ก็จะทำให้เป็นบุคคลได้อีกนานเท่าไร เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แล้วแต่ว่าสิ้นสุดผลกรรมเมื่อไร ก็ทำให้จุติจิตเกิด แล้วก็พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้

    ภวังคจิต ขณะนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลย นอนหลับสนิท ชื่ออะไร คนที่นอนหลับรู้ไหม แต่พอตื่น รู้ นอนหลับสนิท มีญาติพี่น้องกี่คน รู้ไหม นอนหลับสนิทอยู่ที่ไหน บ้านใคร รู้ไหม โรงแรมไหนอะไรก็ไม่รู้หมด แต่กรรมไม่ได้ให้ผลเพียงเท่านั้น ทุกภพทุกชาติเหมือนกันหมด ถ้าเกิดเป็นสัตว์ก็มีปฏิสนธิจิต ดับไป ภวังคจิตเกิดสืบต่อ ยังไม่ให้ตาย แล้วยังไม่ให้กรรมอื่นให้ผลด้วย เพียงแต่ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ก่อน เกิดเป็นพรหมก็เหมือนกัน ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วก็เป็นภวังค์ เป็นอรูปพรหมก็ปฏิสนธิจิตเกิด แล้วก็เป็นภวังค์ บนสวรรค์ก็ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วก็เป็นภวังค์ก่อนที่กรรมอื่นจะให้ผล

    ผู้ฟัง ตอนที่ปฏิสนธิเกิด เป็นมนุษย์ ไม่ทราบว่าตอนไหนนับว่าปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ จิตขณะแรกที่เกิดสืบต่อจากจุติจิต

    ผู้ฟัง หมายความว่าเป็นตัวหรือยัง

    ท่านอาจารย์ ไม่พูดถึงตัวเลย ถ้าพูดถึงจิตต้องแยกออกจากรูปโดยสิ้นเชิง เพราะว่าไม่ใช่สภาพธรรมอย่างเดียวกัน รูปไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่จิตที่เกิดต้องรู้ ต้องเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น จะถือปฏิสนธิตอนไหน แพทย์จะถือตอนไหนก็ตามแต่ ใครจะถือตอนไหนก็ตามแต่ แต่ทางธรรมถือจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เพราะว่าจิตในขณะนี้ เกิดดับสืบต่อกัน ไม่มีระหว่างคั่น ไม่มีขาดหายไปเลย ฉันใด ตอนที่จุติจิตเกิดแล้วดับ ปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อทันที

    บางคนที่เขาร้องไห้เสียใจถึงผู้ที่จากไปแล้ว คนอื่นก็เตือนบอกว่า ก็เขาเกิดแล้วไม่ใช่หรือ เวลาคนเกิด คนก็ดีใจ มีลูก มีหลาน หรือมีใครเกิดมาก็ดีใจกัน แต่ว่าเขาต้องตายก่อน แล้วคนที่จากโลกนั้นมาสู่โลกนี้ ญาติพี่น้องของโลกก่อนเขาก็กำลังเศร้าโศกเสียใจ แต่ว่าโลกใหม่กำลังดีใจที่คนนั้นเกิด แต่จริงๆ แล้วถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่ออกจากครรภ์ แต่ว่าพอรู้ว่ามีคนเกิดก็ดีใจแล้ว แต่ถ้าเป็นอีกภพภูมิหนึ่งอย่างบนสวรรค์หรือพรหมจะเกิดเป็นตัวขึ้นมาทันทีครบถ้วนเรียกว่า โอปปาติกกำเนิด เพราะว่ากำเนิดมีหลายอย่าง กำเนิดในครรภ์ก็มี ผุดเกิดเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ทันทีก็มีเป็นโอปปาติกะ แม้ในนรกก็เป็นโอปปาติกะ

    ผู้ฟัง งานศพทุกงานที่มีพระภิกษุสงฆ์จะสวดพระอภิธรรม สาเหตุที่สวดพระอภิธรรมเพราะอะไร และเพื่อให้อุบาสกอุบาสิกาที่เข้ามาฟังได้ยิน เข้าใจอะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าใครจากไปทุกคนก็โศกเศร้า แต่ถ้ารู้ความจริงของธรรมว่า ใครไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมได้เลย เมื่อเกิดแล้วต้องตาย เป็นของธรรมดา แต่ว่าบุคคลที่รู้ความจริงละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก คือแท้ที่จริงแล้วสภาพธรรม ที่มีจริง เรายังไม่เรียกชื่อว่าอะไรเลยทั้งสิ้น อย่างเห็นอย่างนี้ ในน้ำ บนบก บนอากาศ จะสัตว์เห็น มดเห็น ช้างเห็น หรืออะไรเห็น ก็ตามแต่ เอารูปร่างออกหมดเลย เห็นก็คือเห็น ชาติจีน ชาติไทยหรือเปล่า ไม่มีชาติอะไรสักอย่างเดียว เป็นนก เป็นหนู เป็นคน เป็นอะไรหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ถ้าเอารูปร่างออก จิตเห็นก็คือเห็น ที่ไหนก็คือต้องทำหน้าที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ในครั้งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงหนทางหรือแสดงพระธรรม คนฟังในครั้งนั้นสามารถเข้าใจธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใครไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้เลย มี ๔ อย่างเท่านั้น คือ จิต เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ทุกคนได้ยินเสียง กี่เสียง มากมาย ทำไมรู้ว่ามากมาย เพราะจิตสามารถจะรู้ความต่าง ความวิจิตรของเสียงที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม จิตสามารถได้ยินหมดทุกเสียง เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานเฉพาะการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย ที่กำลังปรากฏให้รู้ แล้วมีเจตสิก คือสภาพที่เกิดกับเจตสิกด้วย พูดถึงจิต ก็รวมไปถึงเจตสิกด้วย เพราะว่าทุกอย่างที่จะเกิดจะเกิดเองตามลำพังไม่ได้ ต้องมีสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องจิต ในครั้งนั้นคนฟังเป็นคนที่เคยสะสมบุญในอดีต พร้อมด้วยปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงแม้ใครไม่เรียกชื่อ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย อย่างความโกรธจะต้องเรียกชื่อไหม ภาษาไทยเรียกอะไร ภาษาจีนเรียกอะไร ภาษาอังกฤษเรียกอะไร ไม่ต้องเรียกเลย ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของความโกรธไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เราใช้คำว่าทรงแสดงธรรม ถ้าใช้คำว่า ธรรม ก็หมายความว่าสิ่งที่มีจริง แล้วก็ถ้าทรงแสดงโดยบัญญัติโวหารเป็นบุคคล ก็เรียกสิ่งที่มีจริงโดยสมมติว่า เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรืออะไรต่างๆ แต่สิ่งที่มีจริงแท้ๆ มีจิตกับเจตสิก กับรูป อีกอย่างหนึ่ง คือ นิพพาน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ต้องหวัง จะมีลักษณะอย่างไรก็ไม่ปรากฏเลย เพียงสิ่งที่มี ถ้าปัญญาเราสามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้องจริงๆ ในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ไมใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วสิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นดับ แล้วก็ดับอย่างเร็วมาก คนในสมัยโน้นสามารถที่จะเข้าใจได้

    เมื่อได้ทรงแสดงธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม คือ เป็นธรรมที่มีจริง ที่คนอื่นเปลี่ยนแปลงไม่ได้โดยละเอียด จึงชื่อว่า “อภิธรรม” เพราะว่าจิตเราคิดว่ามีนิดๆ หน่อยๆ ไม่กี่อย่างแต่ทรงแสดงความละเอียดถึงระดับขั้นของจิต ชาติของจิต เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างๆ ให้เห็นความละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ โลภะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ ความติดข้อง ความต้องการเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ หรือเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจธรรม ซึ่งคนในสมัยโน้นได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วก็มีการสะสมความเข้าใจ เมื่อมีการแสดงอภิธรรม คือเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ก็สมัยหลังต่อมา เพื่อที่จะรักษาประเพณีของการที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ก็มีการสวดพระอภิธรรม เพื่อเตือนให้รู้ว่า เป็นธรรม แล้วก็เป็นธรรมโดยประการต่างๆ โดยเฉพาะธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีปัจจัย แล้วปัจจัยก็มีมากหลายอย่าง ที่ทรงแสดงหัวข้อใหญ่ๆ ไว้ ก็คือปัจจัย ๒๔ ก็เป็นการเตือนให้รู้ว่า เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วมีความดับไปเป็นธรรมดา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เราก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แล้วบุคคลที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เกิดกุศลจิตของตนเอง อนุโมทนา คือยินดีในกุศลที่เราทำอุทิศให้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิตของบุคคลนั้น ก็เป็นเหตุที่จะทำให้ได้รับกุศลวิบาก นี่ก็เป็นการที่เรารักษาประเพณีอันนี้ไว้ แต่ความจริงแล้วเพื่อให้ทุกคนที่ได้ฟัง มีความเข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง ผมยังติดใจเรื่องวิบากกรรมเพราะว่าฟังแล้ว พยายามทำความเข้าใจ เพราะว่าฟังดูแล้วเหมือนกับว่า รับผลของกรรมเพียงเห็นนิดเดียวแล้วก็หมด ได้ยินนิดเดียวแล้วก็หมด ได้กลิ่นนิดเดียวแล้วก็หมด ลิ้มรสทุเรียนอร่อยๆ อย่างนี้ หมด แล้วกระทบสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงหรือไหวก็หมด แต่ว่าความจริงแล้วเป็นเรื่อง ราวที่เรารับทานทุเรียน

    ท่านอาจารย์ เราคิดถึงทุเรียน แต่ไม่เรียกทุเรียนได้ไหม สิ่งนั้นมีกระทบลิ้น ไม่เรียกว่าทุเรียนได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละคือความจริง แล้วเรามาใส่ชื่อทีหลัง จริงๆ คือรส ซึ่งน่าอัศจรรย์ ทุเรียนก็ลูกใหญ่ แล้วก็มีหนามด้วย แล้วก็มีเนื้อ จิตก็สามารถไปลิ้มรสที่อยู่ในเนื้อทุเรียนได้ คิดดู น่าอัศจรรย์ สามารถจะรู้ได้ทุกอย่างแม้นิพพาน แต่ต้องเป็นปัญญา ปัญญาเจตสิกที่เกิดกับจิตถึงระดับขั้นที่เป็นโลกุตตระ ถ้าเป็นโลกียะ คือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับ เพราะความหมายของโลก คือ สภาพธรรมใดๆ ก็ตามที่เกิดดับเป็นโลกทั้งหมด โลกคือสภาพธรรมที่แตกดับ เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป แต่เหมือนไม่ดับ เพราะว่าไม่ใช่ปัญญาที่อบรมถึงขั้นที่จะประจักษ์ แต่นี่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการตรัสรู้ ตรัสรู้ไม่ใช่การคิดประมวลเอาเหตุผลมา แล้วก็แสดง แต่ต้องเป็นการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมหยั่งถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น คำใดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คำนั้นจะไม่เป็น ๒ คือจะไม่เป็นอื่น สภาพธรรมใดที่เกิด เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ

    นี่คือขณะนี้ทุกขณะตามความเป็นจริง สำหรับผู้ที่อบรม สำหรับพระอริยเจ้าทั้งหลาย แต่ถ้ายังไม่ถึงการประจักษ์แจ้ง ก็ยังเป็นผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล ยังไม่มีปัญญาถึงกับสามารถจะดับความสงสัยในสภาพธรรม หรือว่าดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรม ทั้งๆ ที่เป็นธรรมแต่ละลักษณะทั้งวัน ก็ยึดถือว่าเป็นเราทั้งวัน ตัวคุณประทีปมีอะไรเป็นของคุณประทีปบ้าง เป็นตัวคุณประทีปบ้าง

    ผู้ฟัง ลูกนัยน์ตาก็เป็นของผม จมูกก็ของผม ปากอะไรอย่างนี่ แล้วก็หูบ้างได้ยินบ้างอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ คุณประทีปทำให้เกิด หรือว่าเกิดแล้วเป็นของคุณประทีป

    ผู้ฟัง ผมคงไม่ได้ทำให้เกิด เพราะเขาเกิดมาตั้งแต่แรก เป็นอย่างนั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เหมือนกับไม่มีอะไร แต่ความจริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียด ใครรู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 17
    22 มี.ค. 2567