ปกิณณกธรรม ตอนที่ 239


    ตอนที่ ๒๓๙

    สนทนาธรรม ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

    พ.ศ. ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ แม้ว่าจะคลายแล้วรู้ว่า ถึงจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็คือไม่ใช่เรา สติปัฏฐานจะเกิดหรือไม่เกิดก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ถึงระดับนั้นแล้วก็ยังมีเยื่อใยอีก จนกว่าจะถึง ภังคญาณ เป็นปหานปริญญา และวิปัสสนาญาณอื่นๆ ก่อนที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    อ.อรรณพ อาจารย์หมายความว่า แม้ปัญญาจะสมบูรณ์พร้อมถึงขั้นรู้ในความเกิดขึ้นของสภาพธรรม คือความเป็นเหตุปัจจัยของสภาพธรรมแล้ว แต่ว่าเยื่อใยที่ละเอียดขึ้น แม้ว่าในขณะที่รู้ความเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ยังดับไม่ได้จนกว่าจะถึงโลกุตตรมรรค

    ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์แสดงว่า ปัญญาของพระผู้มีพระภาคก็เป็นปัญญาของท่าน กับปัญญาของพระอรหันตสาวกที่ทำสังคายนาก็เป็นปัญญาของท่าน ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของเรา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ปัญญาของเรานี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ปัญญาของท่านก็เป็นปัญญาของท่าน เพราะเหตุว่าเราไม่ได้ศึกษาเข้าใจจริงๆ จนจรดกระดูก จนถึงขั้นรู้แจ้งประจักษ์จนเป็นปัญญาของเรา ประโยชน์ที่ได้ก็คือเวลาเราฟังสวดของพระคุณเจ้า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ อันนี้จะหมายถึงว่าเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเราได้ ต่อเมื่อเป็นปัญญาของเรา

    ท่านอาจารย์ อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า การสวดคือการประกาศสัจธรรม ไม่ว่าเราจะสวดรัตนสูตร มงคลสูตร สติปัฏฐานสูตร หรืออะไรก็ตามแต่ คือการประกาศพระธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น เวลาสวด พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ประกาศถึงความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ประกาศว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ต้องเป็นบุคคลสูงสุด ไม่อย่างนั้นเราจะพึ่งได้อย่างไร ทำไมไม่พึ่งคนอื่น แต่พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลที่ประเสริฐสุดในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เราก็ประกาศการถึงพระธรรมเป็นสรณะ พระธรรมในที่นี้ หมายความถึง ธรรมรัตนะสูงสุดคือโลกุตตรธรรม มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เราจะพึ่งเงินทอง พึงทรัพย์สมบัติ พึ่งลูกหลาน พึ่งอะไรนี่พึ่งไม่ได้ พึ่งได้เพียงชั่วระหว่างที่ยังมีชีวิต แต่หลังจากนั้นแล้วต่างคนก็ต่างไป เหมือนกับต่างคนก็ต่างมา แต่ว่าเป็นสรณะที่พึ่งจริงๆ ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่สามารถจะทำให้เราพ้นทุกข์ คือ พ้นจากความตายได้ อย่างไรๆ ก็ต้องเกิดต้องตายไปทุกภพทุกชาติ เพราะฉะนั้น การพึ่งพระธรรม คือศึกษาพระสัทธรรม ธรรมที่ทำให้สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถ้าประกาศอย่างนี้ ผู้ใดที่กล่าววาจาอย่างนี้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม แล้วก็พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเองด้วยว่า เวลาที่ได้ยินได้ฟัง สามารถทำให้เข้าใจธรรมขึ้นหรือเปล่า ถ้าคำใดที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ว่าใครจะเป็นคนกล่าว หรือหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดเขียนก็ตาม ก็ต้องพิจารณาว่า สามารถจะทำให้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้หรือเปล่า มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ว่าจะฟัง หรือจะอ่าน ก็ไม่ได้สาระ ไม่ได้ความเข้าใจอะไรจากสิ่งที่อ่าน หรือสิ่งที่ฟัง เพราะฉะนั้น ต้องทราบด้วยว่าประโยชน์ของการมีพระธรรมเป็นสรณะคือ สิ่งนั้นต้องเป็นธรรม แล้วเวลาฟัง เวลาอ่าน เวลาคิดไตร่ตรองก็คือว่า ทำให้สามารถเข้าใจธรรมนั้นยิ่งขึ้น จึงจะเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งได้ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ คือถึงบุคคลซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์เป็นสรณะ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่สามารถที่จะให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่เป็นพระอริยสงฆ์ การที่ปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น อาจจะทำให้คลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมได้ นอกจากว่าผู้ฟังต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ไม่ว่าใครจะแสดงธรรม ไม่ใช่ว่าเราต้องเชื่อ อันนั้นผู้แสดง ประมาทผู้ฟังมาก แต่ผู้ฟังสามารถพิจารณาผู้แสดงได้ว่า มีปัญญา มีความเห็นถูกทำให้ปัญญาของเราเกิดความเข้าใจในพระธรรมหรือเปล่า ถ้าบุคคลนั้นไม่ทำให้ปัญญาเกิด บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ผู้ที่สามารถที่จะเป็นผู้ชี้ทาง หรือว่าแนะทางที่จะทำให้ปัญญาถึงความสมบูรณ์ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้

    เพราะฉะนั้น มีพระสังฆรัตนะเป็นที่พึ่ง คือพึ่งบุคคลซึ่งได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ปัญหามาอีก ใครรู้ ใครไม่รู้ ไม่ต้องไปสนใจ ธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เป็นเครื่องชี้ เป็นเครื่องบ่งว่า คำนั้นออกมาจากจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ

    ผู้ฟัง ที่พึ่งจริงๆ คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ต้องมีการศึกษา เพราะเหตุว่าไม่มีใครรู้ ถ้าทุกคนรู้เองก็ไม่ต้องศึกษาเลย เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเองได้ แต่ว่าเนื่องจากทุกคนรู้ว่า ไม่มีใครจะมีปัญญาเท่าเทียมกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหมก็ตามแต่ ก็ยังต้องมาฟังธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้จึงศึกษา อันนี้สำคัญที่สุด ถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษาก็ไม่มีอะไรเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเลย

    ผู้ฟัง ผู้คนส่วนใหญ่ ก็ให้ทานเป็นประจำ อย่างทำอาหารถวายพระ ถวายเณร หรือว่าบริจาคสิ่งของต่างๆ กราบไหว้พระ ไม่ได้ทำความชั่วอะไรมากมาย เท่านี้ยังไม่พอหรือ

    ท่านอาจารย์ เป็นพุทธศาสนิกชนหรือไม่ใช่

    ผู้ฟัง เป็นพุทธ

    ท่านอาจารย์ พุทธศาสนิกชนคือผู้ที่ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ที่ศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนา หรือมีความเชื่อในคำสอน ศาสนาคือคำสอน พุทธศาสนา คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าคืออย่างไร แล้วเราจะบอกว่าเราเป็นชาวพุทธได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เราจะเป็นชาวพุทธตอนเกิด แต่ก็เป็นโชคดีของผู้ที่ได้เกิดในประเทศที่นับถือพุทธ ยังมีโอกาสที่ว่าเมื่อไรได้ฟังพระธรรม เมื่อนั้นก็จะเริ่มเข้าใจพระธรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าใจพระธรรม ก็ยังคงเป็นชาวพุทธเพียงขั้นเลื่อมใสว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หมดจดจากกิเลส แล้วก็พระคุณธรรมประจำอื่นๆ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจในคุณธรรมเหล่านั้นได้เลย ถ้าไม่ศึกษา

    ผู้ฟัง พระคุณเข้าที่วัดท่านถามมาว่า ถ้ารู้พระอภิธรรม หรือรู้ว่าไม่มีตัวตนจริงๆ เราจะเอามาใช้ประโยชน์กับชาวบ้านทั่วไปอย่างไร เพราะว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ก็มีหนี้มีสิน แล้วเขาบอกว่า ถ้าไม่มีตัวตนจริงๆ แล้ว หนี้สินมันก็ไม่มีเหมือนกัน อย่างนี้จะเอามาใช้ประกอบได้ไหม ท่านฝากถามมา

    ท่านอาจารย์ ชาวพุทธคงไม่ได้เป็นหนี้ทั้งหมด ทำไมบางคนเป็นหนี้ บางคนไม่เป็น มีเหตุหรือไม่มีเหตุที่จะให้เป็น และไม่เป็น ทุกอย่างต้องมาจากเหตุ แล้วเหตุก็ลึกไปถึงการสะสมของชาติก่อนๆ ด้วยไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างไม่ใช่เพียงเผิน หรือจะเชื่อว่าเราขออะไรก็ได้ แล้วเวลาขอแล้วไม่ได้ ทำไมไม่พูด แล้วที่ไม่ได้หรือได้ มาจากขอหรือมาจากอะไร ชาวพุทธต้องเป็นผู้ที่มีกัมมัสสกตาญาณ คือ ปัญญาที่เชื่อในเรื่องกรรม และผลของกรรมอย่างมั่นคง ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงดับขันธปรินิพพาน พระองค์ทรงแสดงธรรม แต่พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะทำให้คนทุกคน ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมเสมอกันหมดได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัญญาความเห็นถูก ยังคงมีคนที่มีความเป็นผิด แม้ว่าในสมัยที่มีโอกาสได้เห็น ได้ฟัง ก็ยังเห็นผิดได้ เพราะฉะนั้น ต้นเหตุของทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตเริ่มตั้งแต่เกิด แม้แต่เกิดมา ก่อนที่จะมีหนี้มีสิน ตอนเกิดมา เกิดมาเพราะอะไร ทำกรรมอะไรมาที่จะต้องเกิดมาต่างกัน ก็ไม่ใช่มีแต่มนุษย์ที่เกิด สัตว์เดรัจฉาน นก หนู ปู ปลา มีทั้งนั้นเลย ช้าง มด อะไรตัวเล็กๆ ตัวใหญ่ก็มีทั้งนั้น อะไรทำให้มีการเกิดที่ต่างกัน และใครจะห้ามไม่ให้มีการเกิดได้ แล้วการเกิดของแต่ละคนเป็นผลของกรรมหนึ่ง แต่หลังจากที่เกิดแล้วก็ยังกรรมอื่นที่จะให้เกิดอีก เนื่องจากความไม่รู้อะไร เราก็ตัดสินง่ายๆ เอาแค่มีหนี้สินเท่านั้นเอง แต่ว่าจริงๆ แล้วตามาจากไหน หูมาจากไหน ความคิดต่างๆ มาจากไหน ของแต่ละคน ดีชั่วต่างๆ ของแต่ละคนที่สะสมมาก็ไม่เหมือนกัน

    ทรงแสดงทั้งเหตุใกล้ และเหตุไกล ไกลมากไม่ว่าจะเป็นกี่ปีมาแล้ว กี่ชาติมาแล้วก็ตาม ก็ยังสามารถที่จะให้ผลในปัจจุบันนี้ได้ เช่นพระองค์เป็นตัวอย่าง เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณเลิศ แต่ก็ทรงประชวร ก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น ใครบ้างที่เกิดมาแล้ว จะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีทุกข์บ้าง สุขบ้าง มีหนี้สินบ้าง ไม่มีบ้างก็มี แล้วแต่เหตุ

    ผู้ฟัง ตามที่ได้ศึกษา โลภะก็ไม่ดี แล้วเราก็ไม่มีตัวตน แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเป็นปุถุชน อยากทราบว่า การที่จะใช้โลภะมาละโลภะ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หรือว่าควรจะทำไหม ขณะที่เรายังเป็นปุถุชนอยู่

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีตัวตนจริงๆ เราก็จะไม่ใช้อะไรเลย เพราะว่าทุกอย่าง ทุกขณะ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีโอกาสจะใช้ตอนไหนเลย ถ้าเป็นอนัตตาจริงๆ คือ ไม่มีแม้แต่จะใช้อะไรนอกจากศึกษาสิ่งที่เกิดแล้ว มีแล้ว ให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่า เราบังคับบัญชาไม่ได้

    ผู้ฟัง ถึงเราจะไม่ได้บังคับบัญชา มันก็มี

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง ถ้าเผื่อจะใช้ให้เป็นประโยชน์

    ท่านอาจารย์ ใช้อย่างไร นอกจากเข้าใจให้ถูกต้อง ถึงจะรู้ว่าเป็นอนัตตาจริงๆ พอจะใช้เมื่อไรก็เป็นเรา แต่ความจริงต้องเข้าใจซึ้งถึงความเป็นอนัตตา จนหมดความเป็นอัตตา

    ผู้ฟัง ความเข้าใจก็มี

    ท่านอาจารย์ ก็ยังไม่พอ ต่อเมื่อจะใช้ เป็นอัตตาแล้ว

    ผู้ฟัง ก็เพราะว่ายังมีอัตตาอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นจิตที่คิด แล้วก็ดับ แล้วก็เห็น แล้วก็ดับ แล้วก็คิด แล้วก็ได้ยินแล้วก็ดับ ทุกขณะเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น คงไม่ลืม ๒ คำ สังขารธรรมกับสังขตธรรม มีในพระไตรปิฎก สังขารธรรม คือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิด อันนี้ต้องมีความมั่นคงจริงๆ เพราะว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นมาต้องมีปัจจัย ไม่ใช่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆ นี้ประการ ๑ ส่วนสังขตธรรม คือ สภาพธรรมนั้นมีปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด ๒ คำนี้ยันกันเลย เห็นขณะนี้ มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิดแล้ว ให้รู้เลย ปรุงแต่งแล้วจึงได้เกิดเป็นอย่างนี้ พอได้ยินอย่างนี้ ก็มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วจึงเกิดได้ยินอย่างนี้ ทุกอย่างแม้ว่าเป็นสังขารธรรม แต่สังขตธรรม คือในขณะที่ปรุงแต่งแล้วเกิด จึงปรากฏในขณะนี้ ค่อยๆ ไปถึงขณะจิต แล้วจะรู้ว่าไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ต้องมีเหตุปัจจัย ตั้งแต่ปฏิสนธิจิตจนถึงจุติจิต แล้วก็ปฏิสนธิอีก จุติอีก ระหว่างนั้นมีปัจจัยทั้งนั้นเลยที่จะทำให้แม้คิดนึกอย่างนี้ก็ต้องมีปัจจัย ทำไมเราคิดนึกไม่เหมือนกัน เพราะปัจจัยที่สะสมมาต่างกัน พฤติกรรมที่ปรากฏในแต่ละวัน ก็คือการสั่งสม แล้วทุกอย่างก็เป็นธรรมทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ถึงแม้ว่ามันจะเข้าใจมาก หรือว่าเรารู้ว่า อย่างฉันทะ เป็นความพอใจ ที่จะกระทำ บางครั้งเหมือนกับหลอกตัวเอง เพราะมันมีโลภะแทรกอยู่

    ท่านอาจารย์ ฉันทะเกิดได้ทั้งโลภะกับเกิดได้ทั้งกุศล เวลาที่ทำกุศลไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นโลภะเลย เพราะเป็นกุศลจึงเป็นฉันทะ ไม่ใช่โลภะ แต่เวลาที่เราสนุกสนาน แล้วเราจะบอกว่าเป็นกุศลก็ไม่ได้ มีทั้งฉันทะ และโลภะ ขณะนั้น

    ผู้ฟัง อย่างคำที่ว่า มีความสุขมากที่ได้ศึกษาพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องแยก ปีติมีไหม บุญจริงๆ ที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเรามีโอกาสได้ฟังอีกนานเท่าไร ขณะที่ฟังก็มีความปีติ ซาบซึ้งในสิ่งที่ได้ฟัง เห็นพระคุณ แล้วก็เข้าใจในพระธรรมคุณด้วย จะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่รู้แจ้งเหมือนพระพุทธเจ้า และพระสาวกได้รู้แจ้งแล้ว

    ผู้ฟัง เรามองเห็นจิตไหม

    ท่านอาจารย์ เรื่องจิต ไม่มีใครมองเห็นเลย แต่ว่าทุกคนมีจิต น่าสนใจ ทำไมเราไม่รู้สิ่งที่เรามี แล้วเวลาที่เราอยากจะรู้เรื่องจิต บางคนก็จะต้องไปอ่านหนังสือของพวกศาสตร์อื่นๆ มาประกอบ แล้วก็มีความเข้าใจเรื่องจิตเพียงบางส่วน แต่ไม่ว่าใครจะเขียนเรื่องของจิตอย่างไรก็ตาม จะไม่เท่ากับการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงเรื่องจิตไว้อย่างถี่ถ้วน แล้วก็อย่างละเอียดมาก ขณะนี้ทุกคนมีจิต แต่ก็ยังไม่รู้ว่า จิตนี่ ไม่ใช่เรา มีใครคิดว่าจิตไม่ใช่เราบ้างไหม ทั้งๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น อย่างขณะนี้ ถ้าไม่มีเสียง ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นแต่เพียงตัวอย่าง แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียดก็จะทราบว่าสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้น ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง จึงจะเกิดขึ้นได้ แม้แต่ความคิดของทุกคนหลังจากที่เห็นแล้ว ก็คิดต่างกัน รับรองได้ว่า ขณะนี้คิดไม่เหมือนกันสักคน แล้วก็เป็นจิตนั่นแหละที่คิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจิตก็คิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏได้ ก็เพราะมีจิต เป็นสภาพที่รู้ เป็นสภาพที่เห็น เป็นสภาพที่ได้กลิ่น เป็นสภาพที่ลิ้มรส เป็นสภาพที่วันหนึ่งๆ จิตเกิดขึ้นทำงาน ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีขณะใดเลยสักขณะเดียวซึ่งไม่มีจิต ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้สงสัยไหม

    ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีสักขณะเดียวที่ขาดจิต เราคิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงคือเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจการงานหน้าที่แต่ละอย่างๆ นั่นเอง ขณะใดที่ไม่มีจิต ขณะนั้นเป็นอะไร หมดลมหายใจคือตาย แต่ต้องเกิดอีก ตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระชาติสุดท้ายก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็จะไม่มีการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว

    จิตนี้ขาดไม่ได้เลย สำหรับสัตว์ บุคคล หรือสิ่งที่มีชีวิต นกมีจิตไหม นก มี แล้วทำไมจิตของนก กับจิตของเรา จะเหมือนหรือไม่เหมือนกัน นกเห็นไหม เห็น ถ้าเอารูปร่างออก จิตเห็นอย่างเดียว เป็นจิตที่เหมือนกันหมด เพราะว่าสามารถเพียงเห็น ทำอย่างอื่นไม่ได้ คิดนึกไม่ได้ เพราะว่าจิตแต่ละขณะเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับสืบต่อกัน เป็นจิตที่ทำหน้าที่การงานคนละอย่าง เราเรียกว่าคน เรียกว่าสัตว์ เพราะเหตุว่ามีรูปร่างต่างกัน จิตเห็นของช้างกับจิตเห็นของมด เหมือนกันเลย รวมทั้งจิตเห็นของมนุษย์ เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรม ที่เห็นเป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นจิตชนิดหนึ่งซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในรูปร่างใด บนอากาศ หรือว่าใต้ทะเล หรือว่าบนบก ก็ต้องทำหน้าที่เห็นอย่างเดียว เพราะฉะนั้น จิตเห็นไม่มีใครเป็นเจ้าของ ต้องมีเหตุปัจจัยเกิด เกิดแล้วก็ดับ เพราะเหตุว่าไม่ได้เห็นตลอดเวลา ตอนนี้เรากำลังเรื่องจิต ซึ่งต่างจากรูปธรรม

    ธรรมที่มีจริง มีลักษณะ ๒ อย่าง ต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนกันเลย สภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เช่น แข็ง แข็งไม่รู้ว่ามีใครกำลังถูกแข็ง หรือร้อน ก็ไม่มีใครรู้ว่า ขณะนั้นตัวเองร้อนก็ไม่รู้ สภาพร้อนก็ไม่สามารถรู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งในโลกนี้ โลกอื่นๆ ในสากลจักรวาลทั้งหมด จะมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ลักษณะหนึ่งเกิดขึ้นจริง แต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เช่น เสียง ปรากฏ แต่ตัวเสียง ไม่รู้อะไรเลย กลิ่นก็ปรากฏได้ แต่ว่าตัวกลิ่น สภาพกลิ่นก็ไม่รู้อะไรเลย

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้หรือโลกไหนๆ เหมือนกันหมดทุกโลก ก็ต้องมีสภาพธรรม เพียง ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่ารูปธรรม เวลาที่เราได้ยินภาษาบาลีในภาษาไทย ไม่ตรงกับความหมายที่มีในพระไตรปิฎก เพราะว่ารูปธรรมสมัยนี้ใช้กันมาก หมายความว่าโครงการ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งยังไม่เป็นรูปร่าง ก็เรียกว่ายังไม่เป็นรูปธรรม พอเริ่มเป็นรูปร่างก็ใช้คำว่ารูปธรรม แต่ความจริงรูปธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งแทงตลอดทุกโลกว่า ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ขณะไหน เมื่อมีสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น ไม่ใช่สภาพรู้ สิ่งนั้นๆ เป็นรูปธรรมทั้งหมด รูปธรรมต้องเห็นได้หรือเปล่า ถึงจะเป็นรูป

    ผู้ฟัง ไม่จำเป็น

    ท่านอาจารย์ ถึงไม่เห็นเช่นเสียง ก็มี เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นรูป อันนี้ก็เป็นความถูกต้อง ที่ตั้งแต่นี้ไปเราก็จะรู้ว่า ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ซึ่งต่างกัน อย่างกลิ่นกับเสียงก็ต่างกัน รสกับเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ก็ต่างกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วก็มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ขณะนี้มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง ขณะนี้หรือ มี

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ตอนนี้ก็มีทั้งเสียง หมายถึงไม่มีรูป มีแต่เสียง

    ท่านอาจารย์ เสียงเป็นรูป

    ผู้ฟัง คือรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ เสียงเป็นรูปธรรม คือตอนนี้เราต้องเข้าใจใหม่หมดเลย มีสภาพธรรม นี่แน่นอน แล้วสภาพธรรมที่มีแต่ก่อนเคยเป็นเราหมดเลย แต่จากการตรัสรู้ พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นความจริงตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย จะไม่เปลี่ยนเลย ถ้าคนที่ไม่ตรัสรู้ พูดแล้วก็ยังเปลี่ยนได้ พิจารณาไปพิจารณามาก็คงจะไม่ใช่อย่างนี้ คงจะเป็นอย่างนั้น แต่การตรัสรู้ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไมใช่เพียงแค่คิด แต่สามารถประจักษ์ลักษณะแท้จริงของสิ่งที่มีโดยตลอด โดยถี่ถ้วน ถ้าศึกษาในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก จะเห็นว่าทรงแสดงเรื่องของสภาพธรรมโดยละเอียดมาก เป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งคนที่ไม่ได้ตรัสรู้หรือไม่ได้ฟังธรรม จะต้องยึดถือสภาพนั้นๆ ว่า เป็นเรา นั่นคืออวิชชา ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ทุกคำที่มีที่ได้ยินเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ขณะนี้มีธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้เลย แต่ถ้าโลกนี้หรือสากลจักรวาล มีแต่รูปธรรม เช่น ฝนจะตก น้ำจะท่วม ไฟจะไหม้ แต่ไม่มีใครไปรู้ไปเห็นเลย ไม่มีธาตุรู้เลย ก็ไม่เดือดร้อน ถ้ามีแต่เพียงรูปธรรม แต่ความจริงไม่ได้มีแต่รูปธรรม ยังมีธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งน่าอัศจรรย์มาก เป็นสภาพธรรมที่มองไม่เห็นเลย เพราะเหตุว่าไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น แต่ทันทีที่มีเหตุปัจจัย สภาพธรรมนี้เกิดขึ้น สามารถที่จะเห็น สามารถที่จะได้ยิน สามารถที่จะได้กลิ่น สามารถที่จะลิ้มรส สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสกาย สามารถที่จะคิดนึกได้ มีจริงๆ หรือเปล่า สภาพนี้ มีจริง ต่างจากรูปธรรม ใช่ไหม เพราะว่ารูปธรรมไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ธาตุชนิดนี้ต้องรู้ ถ้าธาตุชนิดนี้เกิด แล้วไม่รู้ไม่ได้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ

    เพราะฉะนั้น จึงมีธรรม ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม ถ้าแยกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ จะเป็น ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม สิ่งที่มีชีวิตที่เราเรียกว่าสัตว์ บุคคล จะเป็นนกหนูปูปลา หรือว่าจะเป็นมนุษย์ หรือจะเป็นเทวดา หรือว่าจะเป็นพรหม หรือรูปพรหม ต้องมีนามธรรม และรูปธรรม ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ที่เราใช้คำว่าขันธ์ ๕ ไม่ทราบที่นี้ก็คงสวด

    ผู้ฟัง ทั้งหมดนี้สวด

    ท่านอาจารย์ ขันธ์ ๕ มีอะไรบ้าง ขันธ์ ๕ ต้องเคยได้ยินแน่นอน

    ผู้ฟัง เคยได้ยิน จำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จำไม่ได้ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม การฟัง ประโยชน์ของการฟังคือ เราเริ่มคิดตามที่ได้ฟัง และพิจารณาจนกระทั่งเป็นปัญญา ความเข้าใจของเราเอง ประโยชน์ของการฟังอยู่ตรงนี้ การที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ประโยชน์เพื่อให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญาของตัวเอง อย่างไรๆ ก็ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ที่เราเคยใช้หรือได้ยินบ่อยๆ อริยสัจธรรม ต้องเป็นปัญญา จึงจะสามารถรู้แจ้งได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 17
    13 ต.ค. 2567