พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 483


    ตอนที่ ๔๘๓

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    อ.ประเชิญ ถ้าเราย้อนดูสมัยครั้งพุทธกาลตั้งแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และเริ่มเผยแพร่พระธรรมตั้งแต่ปฐมเทศนาจนถึงใกล้ปรินิพพาน พระองค์ก็ได้เทศนาสอนให้กับผู้ที่มีการสะสมบุญญาธิการ สะสมบารมีมา ได้ฟังธรรมแล้วก็บรรลุ เพราะฉะนั้น การฟังธรรม การสนทนาธรรมมีประโยชน์ เป็นสิ่งที่อุปการะเกื้อกูลแก่ปัญญา เกื้อกูลต่อการบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ดังตัวอย่างที่ทราบกันแล้วในสมัยครั้งพุทธกาล ส่วนมากท่านบรรลุเพราะการฟังธรรม แต่บางท่านเนื่องจากบารมี อินทรีย์ยังไม่แก่กล้าพอ ขณะที่ฟังท่านก็ยังไม่บรรลุ เมื่อท่านกลับไปที่อยู่ของท่าน เนื่องจากท่านเป็นบรรพชิต ท่านก็อาศัยอยู่ตามป่า โคนไม้ เรือนว่าง ตามถ้ำ ภูเขา ท่านก็พิจารณาธรรม อบรมเจริญธรรมที่ได้ฟังมาให้มีความเข้าใจ ให้มีปัญญามากยิ่งขึ้น ท่านก็บรรลุภายหลังก็มี แต่โดยมากแล้ว ท่านก็บรรลุในขณะที่กำลังฟังธรรม ท่านไม่ได้ห่วงเรื่องกาลเวลา ได้ฟังรายการธรรมที่ท่านอาจารย์ได้นำมาบรรยายในเรื่องของคนในยุคสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ได้ฟังการพยากรณ์สุเมธบัณฑิตในครั้งนั้น คนในยุคนั้นท่านก็ร่าเริงยินดี ท่านก็คิดว่า ถ้าหากท่านไม่ได้บรรลุธรรมในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ขอให้บรรลุต่อหน้าบุรุษผู้นี้ที่จะบรรลุในภายภาคหน้า ซึ่งเวลาที่นานมาก ตั้ง ๔ อสงไขยแสนกัป บุคคลเหล่านั้นก็ไม่ได้ห่วงกังวลเรื่องเวลาเลย ถ้าจะพูดถึงเวลา เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาตั้งเท่าไรแล้ว ใช่หรือไม่ โดยกาลเวลานับไม่ได้ ๔ อสงไขยแสนกัป นี่ยังน้อยไป ยังนับได้ แต่ที่เราเวียนว่ายตายเกิดมากกว่านั้น จะเกิดอีก ๔ อสงไขยแสนกัป หรือกี่อสงไขยก็ตาม ก็คืออย่างนี้ เป็นอย่างนี้เอง เมื่อเหตุไม่ควรแก่การบรรลุธรรม ก็บรรลุไม่ได้ จะกังวลหรือห่วงด้วยความเป็นเราอย่างไร ก็บรรลุไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่ข้อปฏิบัติหรือไม่ใช่หนทางที่จะบรรลุ

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวเกี่ยวกับคนในยุคก่อนโน้น เขาก็เป็นคนที่ศึกษาธรรม แล้วก็มีปัญญามากกว่ายุคเรา พวกเราที่ศึกษาธรรมขณะนี้ โอกาสที่จะมีอินทรีย์แก่กล้า ก็รู้สึกว่ายังห่างเหลือเกิน เวลาที่จะเข้าใจหรือฟังธรรมน้อยเกินไป ทำให้มีความรู้สึกเหมือนท้อแท้ คือการที่เราสะสมความเป็นเราหนาแน่นเกินไป จนไม่สามารถที่จะมีโอกาสพอที่จะทำอะไรได้เลย ในลักษณะอย่างนั้น ถามอย่างไรก็ผิดหมด เพราะเป็นเรา ทำอย่างไรก็เป็นเราทั้งนั้น มีความคิดว่าแล้วเราจะไหวหรือ จะไปรอดหรือเปล่า

    อ.ประเชิญ แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้วก็อาจหาญร่าเริง จะไม่ห่วง และกังวลว่า ไปรอดหรือไม่รอด ถ้าเหตุที่สะสมมาคู่ควรแก่การตรัสรู้ธรรม ต้องตรัสรู้แน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาขวางกั้นได้

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ ถ้ามีความรู้สึกว่า อยากบรรลุ แล้วก็ฟังธรรม แล้วก็รู้สึกว่าอยากให้ก้าวหน้า ผลการวัดระดับจิตใจ วัดระดับปัญญาจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังคุณชุณห์พูดถึงความท้อถอย ฟังธรรมมานาน แล้วผลก็ไม่ได้เกิดอย่างที่ต้องการเลย ฟังธรรมเมื่อวันก่อนแล้วเข้าใจนิดเดียวก็ท้อถอย แล้วยังอีกแสนกัป คุณชุณห์ก็ท้อถอย หรือว่าจะฟังธรรมต่อไป เพราะฉะนั้นก็จะพูดเรื่องที่คุณชุณห์จะไม่ท้อถอย และใครก็ไม่ท้อถอย คือ พูดเรื่องจิต ใครท้อถอยบ้าง ไม่ได้พูดเรื่องใครเลย พูดเรื่องธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งเมื่อรูปธาตุเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ฉันใด โลกนี้หรือโลกไหนๆ ก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะเพียงรูปธาตุอย่างเดียว ยังมีธาตุอื่นอีก ยอมรับหรือไม่ว่า ธาตุเป็นธาตุ เลือกไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ ธาตุที่เป็นรูปก็มี และธาตุที่ไม่ใช่รูปก็มี ท้อถอยหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ท้อถอย ถ้าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลก็ต้องท้อถอย

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธาตุ ก็จะพูดถึงธรรมที่ใครก็ไม่ท้อถอย เพราะว่าพูดถึงเรื่องจิต จิต ๑ จิตมีอะไรบ้าง หรือมีแต่จิตอย่างเดียว น่าสนใจหรือไม่ ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่รูปธาตุ แต่เป็นนามธาตุล้วนๆ เลย แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เลิกคิดที่จะบังคับให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด หรือหวังว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นตามความต้องการ หรือตามความปรารถนา ชีวิตทุกวันนี้ก็พิสูจน์อยู่แล้วใช่หรือไม่ ใครได้สิ่งที่ต้องการบ้าง คุณชุณห์มีแต่สิ่งที่ไม่ต้องการ คือ ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นึกเมื่อไรก็ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่นั่นแหละ จึงทำให้ไม่สบายใจ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเลือกไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะเป็นธาตุ เดือดร้อนหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ ท้อถอยหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ท้อถอย

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธรรม ซึ่งเป็นเพียงธาตุ จิต ๑ ขณะ นามธาตุ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เกิดขึ้นรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธาน ทำให้มีสิ่งที่ปรากฏเป็นโลก ดูเหมือนว่าทุกคนเกิดมาในโลกนี้ แล้วโลกนี้คืออะไร ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีสิ่งที่ทำให้เป็นสุข เป็นทุกข์ทางกาย เจ็บไข้ได้ป่วย หรือสบายก็ตามแต่ จะมีโลกหรือไม่ ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย ก็ไม่มีโลก เพราะฉะนั้น เวลาที่คิดว่าเกิดมาในโลก เพราะว่ามีสิ่งซึ่งเป็นโลก คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้เป็นโลกหนึ่ง เปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นโลกคือสิ่งที่เป็นสีสันวัณณะต่างๆ สิ่งที่เรามองเห็นแล้วจำได้ เป็นแม่น้ำ เป็นภูเขา เป็นทะเล เป็นดาว เป็นอะไรก็ตามแต่ เพราะจิตนั้นเกิดขึ้นแล้วก็เห็นสิ่งที่ปรากฏ เดือดร้อนหรือไม่ ท้อถอยไหม ไม่ท้อถอย ไม่เดือดร้อนนะ แล้วเวลาที่เกิดแล้วเห็น เพราะไม่รู้ ก็ชอบสิ่งที่ปรากฏ อยากได้ บางครั้งมีความต้องการมาก จนกระทั่งไม่รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว สามารถที่กระทำทุจริตกรรมได้ด้วยกำลังของความติดข้องหรือต้องการ เมื่อเป็นขณะนั้น เดือดร้อนหรือไม่

    ผู้ฟัง เดือนร้อนแน่นอน

    ท่านอาจารย์ กำลังพูดเรื่องจิต ไม่ได้พูดเรื่องใครเลย พูดเรื่องจิต เพราะฉะนั้น เวลาที่มีความติดข้อง ความติดข้องมีจริง เกิดแล้วดับไปด้วย ไม่ใช่ใครเลย

    ผู้ฟัง ถ้าฟังเป็นผม เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เดือดร้อนแน่

    ท่านอาจารย์ ถ้าคิดว่าจิตเป็นเราเดือดร้อนแน่ แต่ถ้าจิตเป็นธาตุเกิดแล้วก็หมดไป เป็นธรรม ธาตุเลวคือโลภะเกิดขึ้น ธาตุเลวคือโทสะเกิดขึ้น ธาตุเลวคือโมหะเกิดขึ้น เดือดร้อนหรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ไม่เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ แน่ใจนะ ว่าไม่เดือดร้อน แต่จิตที่ว่าอยู่ที่ไหน พูดถึงจิต จิตมีจริง และจิตที่เป็นธาตุเลวก็มีด้วย แล้วจิตนั้นอยู่ที่ไหน แต่ละคน ไปเอาจิตของคนอื่นมาเป็นของเราได้หรือไม่ หรือว่า เมื่อจิตเกิดขึ้นตามการสะสมสืบต่อมาเรื่อยๆ จนถึงเกิดเป็นเหมือนเราในขณะนี้ แต่ความจริงเป็นจิตที่เกิด แต่เพราะไม่รู้ความจริง จิตที่เกิดนั่นเอง ก็เป็นเหมือนเราเกิด เดือดร้อนหรือไม่ตอนนี้

    ผู้ฟัง ตอนนี้เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้เดือดร้อน เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ความจริงว่า จิตซึ่งเป็นธาตุเลว เป็นธาตุที่เลวจริงๆ เพราะโลภะเลวไหม โทสะเลวไหม โมหะเลวไหม แต่ก็มีธาตุอื่นด้วย แล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นแม้แต่ธาตุเลวที่สะสมมาก็มีโอกาสที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้ไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จนกระทั่งเป็นความเห็นถูกต้องขึ้น ไม่ใช่ธาตุเลว ขณะนี้ที่กำลังเข้าใจธรรม เป็นจิต หลังจากที่ได้ยินแล้วก็มีการพิจารณาไตร่ตรองเข้าใจเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องของจิตที่มีจริงๆ ที่สะสมมา แต่เมื่อเกิดแล้วก็มีลักษณะที่ปรากฏ ซึ่งแต่ละคนเข้าใจว่าเป็นเรา และยึดมั่นว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็จะรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ที่ (ยึดว่า) เป็นเรา (นั้น) เป็นธาตุ แต่เป็นธาตุชนิดไหน เคยเป็นธาตุเลว เพราะไม่รู้ธรรม แต่เมื่อฟังเข้าใจขึ้น มีกุศลเกิดขึ้น ไม่ใช่ธาตุเลว เห็นการสะสมของธรรม ที่เราก็รู้ว่าเป็นความจริงอย่างนั้น ซึ่งเป็นธรรม เดือดร้อนหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าฟังธรรมแล้วเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เดือดร้อนหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ แน่ใจ

    ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่ว่าเดือดร้อนหรือท้อถอย ก็เป็นธาตุ ไม่ใช่เรา แต่เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็ยึดถือสภาพที่ท้อถอยเดือดร้อนนั้นว่าเป็นเรา แต่ถ้ารู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ ก็เป็นธรรม และสามารถที่จะอบรมจนกระทั่งมีธาตุปานกลางมากขึ้น เป็นไปในทานบ้าง เป็นไปในศีลบ้าง เป็นไปในความสงบของจิตบ้าง เป็นไปในความเห็นถูกของลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ขณะที่เป็นธาตุปานกลางเป็นเราหรือเปล่า เป็นใครหรือเปล่า เป็นของใครหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรม ซึ่งเมื่อเป็นธาตุปานกลางก็ต้องเป็นธาตุปานกลาง จนกว่าจะถึงกาลที่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ ขณะนั้นก็เป็นธาตุประณีต เป็นเรารู้หรือเปล่า ก็เป็นธาตุนั่นเอง เพราะฉะนั้น การฟังเรื่องธรรม หรือฟังเรื่องจิต โดยไม่ยึดถือว่าเป็นเรา หรือจิตนั้นเป็นของเรา ก็จะไม่ท้อถอย ก็จะไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่ากำลังมีความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ และกำลังปรากฏให้เข้าใจได้ แต่เมื่อเดือดร้อนเพราะเป็นเรา ตรงตามความเป็นจริงว่าเราเลว หรือว่าเราปานกลาง แล้วเราจะประณีตขึ้นได้หรือไม่ ก็ต้องอบรม

    อ.อรรณพ การวัดระดับจิตใจ และปัญญา วัดขณะไหน? และวัดอย่างไร เช่นฟังธรรม แล้วรู้สึกใจร้อน วัดแล้วเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความจริงถ้าทราบว่า ทุกขณะเป็นธรรม ขณะนั้นวัดได้เลย เดี๋ยวนี้มีเห็น พอใจในเห็นหรือเปล่า ถ้าพอใจในเห็น วัดได้ว่า อวิชชามาก หรือปัญญามาก ไม่ต้องไปอาศัยใครบอกเลย แต่วัดเอง ชอบอะไรบ้าง ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่จบ มากๆ ด้วย วัดปัญญากับอวิชชา ฟังธรรม กับ ไม่ฟังธรรม ไม่ว่าการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ขณะนั้นถ้าปัญญาเกิดก็วัดได้เลยว่า ขณะนั้นมีอะไรที่สะสมมามาก มีโลภะสะสมมามาก มีโทสะสะสมมามาก มีเมตตาสะสมมามาก มีกรุณาสะสมมามาก หรือว่ามีปัญญาสะสมมามาก ส่วนใหญ่เป็นไปกับอกุศล ใกล้ชิดมอมเมาติดแน่น จนไม่รู้ตัวว่า ตัวเองก็ดำสกปรกด้วยอกุศล มีใครขาวสะอาดบ้าง

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะใดที่มีความเห็นถูก ขณะนั้นไม่ได้สะสมอกุศล จนกว่าจะค่อยๆ ละคลายเพิ่มขึ้น แล้วก็รู้ตามความเป็นจริง แต่นั่นคือเราจริงๆ ถ้ายึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะว่าจิตนี้สะสมอะไรมา เอาไปให้จิตอื่นไม่ได้ เคยเข้าใจว่า จิตนี้เป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็เห็นสภาพของจิตที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ เป็นเครื่องวัดว่า สะสมอะไรมามาก ถ้ามีสิ่งที่จะต้องตัดสินใจ รู้ได้เลยว่า ขณะนั้นตัดสินด้วยความยินดี ด้วยความต้องการ ด้วยความติดข้อง ซึ่งลวงให้เห็นเหมือนกับดีได้ แต่ถ้าเป็นความตรงของปัญญา เป็นผู้ที่ห่างจากสิ่งที่ดำมืด เพราะมีความสว่างด้วยปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง จึงเห็นชัด เพราะฉะนั้น แม้ขณะที่ตัดสิน ถ้ามีเหตุการณ์ที่จะต้องตัดสิน ขณะนั้นวัดอวิชชา และปัญญา จะเลือกอะไร จะเลือกลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือปัญญา ซึ่งปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่มีการฟัง ปัญญาก็เจริญไม่ได้ แต่ถ้าเลือกลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ขณะนั้นเป็นปัญญา เป็นการฟังธรรม เป็นการไตร่ตรองที่ปัญญาจะเจริญขึ้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็วัดจริงๆ การกระทำของแต่ละคน ความคิดหรือการตัดสินใจใดๆ ทั้งหมด ก็เป็นเครื่องวัดกุศล และอกุศลที่ได้สะสมมา

    อ.อรรณพ ความตายเป็นของไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น เวลาที่มีอยู่ อะไรเป็นประโยชน์ เพื่อเป็นการเตือนให้เกิดความเพียรที่จะทำประโยชน์ ไม่ปล่อยเวลาไป

    ท่านอาจารย์ ทุกคนไม่รู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร ทำประโยชน์หรือคุณความดีพอหรือยัง มีปัจจัยที่สะสมมาที่จะต้องเกี่ยวข้องติดต่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับใคร แต่ด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต ด้วยความมั่นคงในกุศล และอกุศล หรือว่าเอนเอียงไปในอกุศล?นั่นก็เป็นเครื่องวัดจริงๆ และคนอื่นไม่ต้องมาวัดด้วย ตัวเองนั่นแหละรู้ว่า ขณะนั้นเป็นไปตามการสะสมมากของฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศล เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า เมื่อเกิดมาด้วยผลของกุศลกรรม แล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังธรรม เป็นคนดีพอหรือยัง หรือว่าควรที่จะทำความดีให้มากกว่านี้อีก โดยเฉพาะการเข้าใจธรรม

    อ.กุลวิไล คำว่า “รู้ตามความเป็นจริง” เป็นอย่ รู้ตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า ขณะนี้ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้ จึงฟังเพื่อจะได้มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนี้มีเห็น รู้ตามความเป็นจริงว่า เห็นเป็นธรรมที่เกิด และกำลังเห็นหรือเปล่า นี่คือรู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่นซึ่งไม่มีในขณะนี้ ถ้าทุกคนระลึกได้ว่า ขณะนี้มีขันธ์ หรือธรรมที่เกิดแล้ว จะไปที่ไหนหรือไม่

    อ.กุลวิไล ไม่ต้องไป

    ท่านอาจารย์ ก็คืออยู่ตรงนี้เอง ธรรมที่เกิดแล้วปรากฏ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจธรรมที่เกิดแล้วปรากฏ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่า เกิดแล้วดับแล้ว แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร ตราบใดที่มีสิ่งใดปรากฏ ก็คือเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่รีบร้อน เร่งรัด จะไปรู้ตามทุกคำที่ได้ยิน แต่ให้รู้ว่าในที่สุดปัญญาก็สามารถที่จะรู้จริงอย่างนั้น แต่ต้องเริ่มด้วยการค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงของธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่มีใครไปสร้าง ไม่มีใครไปทำขึ้น ไม่มีใครเปลี่ยนแปลง ขณะนี้เป็นอย่างไรก็เข้าใจให้ถูกต้อง

    อ.กุลวิไล ดิฉันชอบที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า "เห็นเป็นเห็น" เพราะจริงๆ แล้วถ้าไม่รู้ลักษณะของเห็นตามความเป็นจริง มักจะยึดเห็นเป็นเราคิดต่อ แต่ไม่ใช่ขณะที่เห็น เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องเข้าใจยาก เพราะอะไร เพราะปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ ถ้ายังมีอวิชชาอยู่ ธรรมก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก แม้ว่าจะใช้คำอย่างไรๆ อวิชชาความไม่รู้นั้นก็กั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจแม้คำที่ได้ยิน เช่น คำว่า “นี้ทุกข์” แล้วก็บอกว่าถ้ากล่าวถึงนี้ ก็ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เช่นนั้นจะเป็น"นี้"ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้น "นี้ทุกข์" ก็คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงๆ ในขณะนี้ที่ปรากฏ ฟังแล้วมีหลายคนที่ยังไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราพูดบ่อยๆ นี้ทุกข์ นี้น้ำแข็ง นี้เก้าอี้ เราก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าจะเปลี่ยนเป็นคำที่เราใช้บ่อยๆ เช่น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เหมือนกันหรือไม่ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น แต่ยังไม่ใช่นี้ทุกข์ เพียงแต่รู้ว่า เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างอื่น ถ้าพูดตามที่เราสามารถจะเข้าใจได้คือ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ขณะนั้นจะคิดถึงอย่างอื่นหรือไม่ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เตือนแล้วใช่หรือไม่ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แทนที่จะพูดว่า นี้สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่านี้แข็ง นี้คิด แต่พูดว่า เดี๋ยวนี้กำลังคิด ภาษาไทยก็จะเข้าใจได้มากกว่า เดี๋ยวนี้กำลังคิด ก็คือมีคิดแน่ๆ เดี๋ยวนี้ แทนที่จะพูดว่า นี้คิดเป็นทุกข์ หรือว่านี้ทุกข์คือคิด นี้คิด ก็คือคิดนั่นเองที่เป็นทุกข์ ก็คือให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า นอกจากขณะที่มีในขณะนี้แล้ว ขณะอื่น สิ่งอื่น ไม่มี พอที่จะเห็นตามความเป็นจริงหรือไม่ ขณะนี้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ สิ่งอื่นไม่มี นี่คือความจริง แต่ถ้ายังจำว่า ยังมีอยู่ โดยที่สิ่งนั้นก็ไม่ได้ปรากฏว่ามี ถูกหรือผิด

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจได้จริงๆ ว่า ธรรมเล็กน้อย สั้นมาก มีชั่วขณะที่กำลังปรากฏเท่านั้นจริงๆ จะรู้ว่าไม่มีเรา มีแต่เฉพาะธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะที่เสียงปรากฏ มีเราหรือเปล่า หรือ มีเสียงกำลังปรากฏ แล้วก็มีจิตที่ได้ยินเสียงเท่านั้น นี่คือโลกที่เกิดดับเร็วมาก จนปรากฏเหมือนกับว่ามีหลายๆ อย่างรวมกันทั้งหมดเลย แต่ความจริงถ้าแตกย่อยออกไป เป็นจิตที่เกิดดับทีละ ๑ ขณะ ขณะใดที่เสียงปรากฏ มีจิตที่ได้ยินแน่นอน แล้วก็มีเสียงที่ปรากฏแน่นอน ไม่มีตา ไม่มีแขน ไม่มีปอด ไม่มีเลือด ไม่มีเรา ไม่มีญาติ ไม่มีโลก ไม่มีอะไรเลย นั่นจึงจะเป็นทางที่จะทำให้รู้ว่า ธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป

    อ.กุลวิไล ความหลงลืมสติมีมาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องค่อยๆ คิด เกิดมาชาตินี้มีพี่ มีน้องหรือไม่ คุณกุลวิไลมีพี่น้องไหม มีเมื่อคิด ใช่ไหม ถ้าไม่คิดไม่มี

    อ.กุลวิไล ถ้าไม่คิดไม่มี

    ท่านอาจารย์ รู้ได้อย่างไร

    อ.กุลวิไล เพราะว่าต้องต่างกันระหว่างเรื่องที่คิดกับสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วตอนนี้มีหรือไม่

    อ.กุลวิไล ไม่ได้คิดก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าอดคิดได้หรือไม่

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีหรือไม่มี

    อ.กุลวิไล ก็ต้องมี

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    29 ก.ค. 2567