พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 526


    ตอนที่ ๕๒๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ และถ้าขณะนั้นจะจากโลกนี้ไป ก็คือไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งถ้าไม่จากโลกนี้ไป แต่ตื่นขึ้น ก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ สำคัญในความไม่รู้ เพราะว่าเริ่มไม่รู้ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็มีความเข้าใจว่า รู้เรื่องนั้น รู้เรื่องนี้ แต่รู้ผิด รู้ว่ามีคน รู้ว่าเป็นเขา รู้ว่าเป็นเรา แล้วมีจริงๆ หรือเปล่า ถ้าไม่คิดก็ไม่มี

    นี่คือประโยชน์ของการฟัง ฟังเพราะเห็นประโยชน์ว่า ควรรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่หลอกไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต ลวงให้เข้าใจผิด ซ้ำแล้วซ้ำอีกในแต่ละภพแต่ละชาติ

    อ.อรรณพ ทราบว่าคุณแก้วตาสนิทกับพี่บง ซึ่งพี่บงเป็นสหายธรรมรุ่นพี่ของพวกเราที่เข้าใจธรรม แล้วเป็นผู้ฉลาดในการที่จะเกื้อกูล หรือให้คำเตือน คำสอน แม้กับผมเอง พี่บงก็อนุเคราะห์ตักเตือนอยู่เสมอ ตั้งแต่พี่บงเสียชีวิตไป เราก็มีความผูกพัน อกุศลต้องมีแน่ โดยเฉพาะพี่แก้วที่ใกล้ชิด พี่แก้วก็จะค่อนข้างเศร้าสร้อยเหงาหงอยไปเลย เป็นเวลานาน

    มีโอกาสสนทนากับพี่แก้วว่า ตอนที่ท่านพระสารีบุตรซึ่งท่านเป็นผู้ที่เคารพ เลื่อมใส และเป็นที่ปีติของภิกษุทั้งหลาย ท่านปรินิพพานไป ภิกษุทั้งหลายท่านก็เศร้าสร้อยกัน เหมือนกับทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ ก็คงเหมือนพี่แก้ว แต่พระผู้มีพระภาคทรงเตือนว่า สารีบุตรปรินิพพาน นำสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ไปด้วยหรือ สังเวคะไหม ฟังแล้วก็สลด คือ ถอยกลับจากความโศกเศร้า

    แต่ผมต้องเรียนถามท่านอาจารย์ว่า อย่างที่ภิกษุทั้งหลายท่านมีความอาลัยในท่านพระสารีบุตร หรือแม้แต่ท่านพระอานนท์เองก็เศร้าโศกเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แต่ถ้าเป็นสภาพจิตของพระอรหันต์ โดยเฉพาะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็สามารถทรงโอวาทเตือนภิกษุทั้งหลาย ซึ่งภิกษุทั้งหลายท่านก็ได้สะสมมาพอที่เมื่อได้รับคำเตือน ก็จะถอยกลับจากความผูกพัน ความเศร้าโศก แต่ก็เหมือนเป็นสิ่งที่ยากมากถ้าเราเคารพนับถือ และเป็นการได้รับประโยชน์จากธรรมที่ประทับใจ และลึกซึ้ง และถ้าหากสังขารทั้งหลายแตกดับเป็นธรรมดา แต่ว่ายังมีความเศร้าโศก ผูกพัน และถ้ามีสหายธรรมอย่างนั้น หรือผู้เกื้อกูลธรรมอย่างนั้น ท่านอาจารย์มีคำเตือนอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ลืมอีกแล้วว่า ธรรมเป็นธรรมดา ความเสียใจเป็นธรรมดา เป็นธรรมหรือเปล่า แล้วก็ลืม จะไม่ให้เสียใจ เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้แต่ท่านพระอานนท์ ลองคิดดู เอตทัคคะ ๕ สถาน แต่เวลาที่มีปัจจัยให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้น ก็เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ท่านสะสมมาทั้งหมดจะทำให้ท่านไม่เศร้าโศก หรือไม่ระลึกถึงผู้ที่จากไปอย่างท่านพระสารีบุตร หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    นี่เป็นการเตือนให้ทุกคนรู้ว่า ถ้าปราศจากปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะดับความเสียใจแม้ในขณะนั้นได้ ซึ่งความจริงถ้ามีความเข้าใจว่า สภาพธรรมเป็นปกติ ถ้าเข้าถึงความเป็นธรรมจริงๆ จะเดือดร้อนไหม เห็นเป็นปกติ แล้วคิดเป็นปกติ ดีใจเป็นปกติ เสียใจเป็นปกติ เลือกได้ไหม ก็ไม่ได้เลย ถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ และรู้ความต่างกันของขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ แล้วอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งเป็นปกติ ก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตรง คือ เป็นธรรมตามปกตินั่นเอง

    เมื่อเป็นธรรมส่วนที่เป็นปกติก็เป็นชีวิตประจำวัน แต่ชีวิตประจำวันไม่ได้เสียใจ พอเกิดความเสียใจก็ไม่ใช่ชีวิตประจำวันแล้ว ก็เหมือนว่าไม่ใช่ปกติ แต่ตามความเป็นจริงปัญญาสามารถเกิดแล้วก็รู้ความเป็นปกติของธรรม แม้ปัญญา และสติสัมปชัญญะที่เกิดก็เป็นปกติ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า ทุกอย่างปกติเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.อรรณพ จากการไปอินเดียครั้งนี้ สถานที่ปฐมเทศนา มีเหตุการณ์ประทับใจไม่คาดฝัน เราก็ไม่รู้ว่า ใครจะพบใคร เมื่อไร การพบบางครั้งก็เป็นการพบที่ดี คือ การพบสหายธรรม แล้วเห็นในกุศลธรรม การที่ได้ศึกษาธรรม

    ช่วงที่ไปสารนาถตอนเย็น ก็พบกับคณะของสหายธรรมจากเขมร ของอาจารย์บุตรสาวงษ์ แล้วเดินห้อมล้อมท่านอาจารย์ไป ร่วมสนทนาธรรม แยกเป็น ๒ ข้าง ไทย และเขมร ผมรู้สึกปลื้มปีติว่า ได้มีการธรรมบูชาทั้งด้วยภาษาไทย และภาษาเขมร โดยที่อาจารย์บุตรสาวงษ์แปลจากท่านอาจารย์ เรียกว่าประโยคต่อประโยค ท่านอาจารย์บุตรสาวงษ์ก็แปลเป็นภาษาเขมร แล้วก็มีการถาม ซึ่งคำถามหนึ่งที่อาจารย์นิภัทรปรารภกับผมว่า มีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ และสะดุดใจ คำถามจากชาวเขมรคือ อริยสัจทั้ง ๔ ทำไมพระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงทุกขสัจก่อน ทำไมไม่ทรงแสดงหนทางก่อน หรืออริยสัจข้ออื่นก่อน ขอเชิญอาจารย์นิภัทรได้พูดถึงคำถามนี้

    อ.นิภัทร ผมเองถูกสังเวคะเล่นงาน สังเวคะ คือ ความเจ็บไข้ได้ป่วย เสียงก็ไม่ค่อยจะดี ก่อนที่จะพูดถึงชาวเขมร ก็ขอนำเอาข้อความในอรรถกถาสังคีติสูตรที่ว่าด้วยสังเวคะ ให้ท่านผู้ฟังได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง คำว่า สํเวโค จ สํเวชนิเยสุ ฐาเนสุ นี้ชื่อว่า สังเวคะ ได้แก่ ญาณทัสนะ ไม่ใช่ไปนึกสลดสังเวชเอาเอง ญาณทัสนะ คือ ความรู้ความเห็นในธรรม โดยการเห็นความเกิดเป็นต้น โดยความเป็นภัย จึงได้เป็นสังเวคะ เห็นเกิดแล้ว มีงานรื่นเริง มีงานฉลองได้ลูกชายลูกสาว โดยเป็นภัยอย่างนี้ว่า ชาติภัย ชราภัย พยาธิภัย มรณภัย ปรารภอย่างนี้ เห็นเป็นภัยหรือเปล่า เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเห็นเป็นภัยหรือเปล่า ก็เป็นธรรมดา ตายทุกวัน ทุกคนเกิดมาต้องตาย ไม่มีใครเหลือสักคน จะตายเร็วตายช้า ต้องเห็นเป็นสังเวคะ

    คำว่า "สังเวชนียังฐานัง" ฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช หมายถึง ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ทั้ง ๔ ประการนี้ท่านเรียกว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวชสลดใจ เพราะเป็นเหตุให้เกิดความสังเวชอย่างนี้ว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์

    วันนั้นที่ชาวเขมรเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาว่าด้วยเรื่องอริยสัจ ๔ ถึงได้ยกทุกขอริยสัจขึ้นแสดงเป็นบทแรก เป็นอริยสัจแรก ผมไม่สามารถรู้วาระของพระทัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มองเห็นตามเนื้อหาว่า ทุกข์เป็นของที่มีอยู่จริงๆ ไม่ต้องหา พระองค์ทรงชี้ให้รู้เท่านั้นว่า มีจริงๆ เป็นของที่มีจริงๆ เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ เป็นของที่มีอยู่จริงๆ แต่ต้องบอกให้รู้ว่าเป็นทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส คิดนึกก็เป็นทุกข์ เพราะเกิดมาแล้วก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ดับไป แล้วจะไปเอาที่ไหนมาเป็นตัวเป็นตน เพราะไม่มีให้ยึดเป็นตัวเป็นตน เกิดมาชั่วขณะเดียว ตั้งอยู่นิดหนึ่ง แล้วก็หายไปเลย ไม่มีเหลือ ไปยึดตรงไหนว่าเป็นตัวตน ทุกข์มาจากไหนเป็นอีกอย่างหนึ่ง ต้องแสดงผลให้รู้เสียก่อน เพื่อให้คนฟังได้เห็นง่าย ได้เข้าใจง่าย

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว เรามีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมากน้อยแค่ไหน เราจะไม่รู้ ถ้าไม่มีการสนทนากัน เพราะฉะนั้น แม้แต่ขณะนี้ทุกคนก็ได้ยินคำว่า พื้นฐานพระอภิธรรม ได้ยินอย่างนี้ใช่ไหม แต่ขณะนั้นทั้งหมดตั้งแต่พื้นฐานพระอภิธรรมก็เป็นอภิธรรม เพราะเหตุว่าเป็นธรรมทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเป็นธรรมทั้งนั้น แต่ว่าเราไม่สามารถเข้าใจในความเป็นธรรมที่ลึกซึ้ง และละเอียดของสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป

    ต้องมีการสะสมความเข้าใจ ความเห็นถูก เพื่อที่จะละความไม่รู้ เพราะขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเพียงปรากฏแล้วหมดไป แล้วจะให้ใครสามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแค่บอกว่า ขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ เกิดแล้วหมดไปเลย จริงๆ ไม่เหลือเลย นี่เป็นสิ่งซึ่งต้องพิจารณาว่า ความจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า แล้วเมื่อเข้าใจขึ้น ก็คือความลึกซึ้งของสิ่งที่สามารถจะปรากฏเพียงชั่วคราว สั้นมากเลย แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมให้ทราบว่า ไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่น นอกจากทุกขณะในชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะพูด จะทำ จะคิดใดๆ ก็ตาม จะสุข จะทุกข์ จะเสียใจ จะตื่นเต้น จะดีใจ ก็คือเป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเกิดแล้วหมดแล้วอย่างเร็ว เพราะเหตุว่า สภาพธรรมเกิดจริงๆ แล้วก็ดับไปหมดจริงๆ อย่างเร็ว จึงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยพระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี สามารถที่จะตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถรู้ได้ และด้วยพระมหากรุณาเห็นประโยชน์ของการที่แต่ละชีวิตเหมือนเป็นของเรา แต่ความจริงเป็นธรรมทั้งหมด

    ลองคิดถึงคำว่า “ธรรม” ทุกอย่างที่เป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ทำไมไปหลงยึดติดสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ดับแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่ต้องรอไปจนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จะจากโลกนี้ไป ซึ่งจะหมดความเป็นบุคคลนี้ ตั้งแต่เกิด จะสุข จะทุกข์อย่างไรก็ไม่มีเหลือ แม้แต่เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ ขณะก่อนนี้ก็ไม่เหลือ

    เพราะฉะนั้น การฟังไม่ใช่เพื่อให้เราไปทำอะไร ที่จะให้รู้ความจริงอย่างนี้ แต่ฟังเพื่อเข้าใจ เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่เป็นจริงอย่างนี้ สามารถที่จะปรากฏความจริงนี้ได้กับปัญญาที่ได้เข้าใจความจริง จนสามารถคลายความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งที่ฟัง ก็เป็นเครื่องทดสอบได้ ว่าทำไมบุคคลในครั้งอดีตท่านถึงได้กล่าวถึงชีวิตของท่านแต่ละชาติ แสนโกฏิกัปป์มาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงพระนามว่าอย่างนี้ ท่านเหล่านั้นทำอะไร และในที่สุดท่านก็สามารถที่จะรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เหมือนกับแต่ละคนขณะนี้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม ซึ่งได้ตรัสรู้ และปรินิพพานเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ก่อนนั้นก็ไม่ทราบได้ว่าเคยฟังมาแล้วกี่พระองค์ แต่ว่าจากการฟังวันนี้ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตจะผ่านมายาวนานสักเท่าไร ก็ตาม ความเข้าใจ ณ วันนี้ต้องสืบทอดมาจากครั้งก่อนๆ

    สำหรับใน ชาตินี้ก็มีโอกาสที่จะได้ฟัง และเข้าใจแค่นี้ และพอถึงชาติหน้า ความเข้าใจแค่นี้จะเพิ่มมากเท่าไร หรือไม่มีโอกาสเจริญขึ้นเลย ก็แล้วแต่ว่าเกิดที่ไหน อย่างไร แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่สูญหาย สะสมอยู่ในจิต ทำให้มีพืชเชื้อของศรัทธาที่จะศึกษา ที่จะฟัง ที่จะเข้าใจ ซึ่งก็เป็นลาภอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะคิดเองได้ เข้าใจเองได้

    ด้วยเหตุนี้ การฟังเพื่อละความไม่รู้ ละความติดข้อง ให้ทราบว่า ความติดข้อง และความไม่รู้ ยากแสนยากที่จะละได้ เพราะว่าตั้งแต่เช้ามาถึงเดี๋ยวนี้ก็ติดมากมาย นับไม่ถ้วนเลย ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นจึงไม่มีอวิชชา ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ แต่ว่าขณะใดซึ่งไม่มีปัญญา และกุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นก็เป็นเรื่องของอกุศล

    ใครหวังจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมบ้าง หรือว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ และความจริงก็เป็นความจริง ที่ปัญญาสามารถที่จะประจักษ์ความจริงนั้นได้ เมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องห่วง หรือไปทำอะไร แต่ให้ มีความเข้าใจมั่นคง เป็นสัจจญาณจริงๆ ว่า ขณะนี้ธรรมกำลังปรากฏ เพราะเกิดแล้ว ไม่มีใครสามารถทำได้ และไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่สามารถเข้าใจได้ เข้าใจได้ต้องทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวจะมีผู้ถามว่า ทีละเล็กทีละน้อยเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง เป็นความหวังที่ไปสู่ความไม่หวังหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ หวังอะไร หวังเพื่อที่จะไปสู่ความไม่หวัง เพราะฉะนั้น หวังอะไร ไปสู่อะไร

    ผู้ฟัง ที่ฟังก็เพื่อหวังว่า จะต้องเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องหวัง แต่ฟังแล้วเข้าใจ ใช่ไหม ฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็สนทนากันต่อไปได้ เพราะว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง คือ สิ่งที่มีจริงขณะนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหวัง ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง เวลาหวังจะเข้าใจ ตรงนั้นจึงไม่เข้าใจ แต่ฟังแล้วเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ก็สนทนากันว่า ไม่เข้าใจตรงไหน อย่างไร แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ฟังเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกว่าเป็นธรรม แล้วเป็นธรรมจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดขึ้นแล้วดับไปทันที ตามที่เข้าใจแล้วคิดว่า ถ้าสิ่งที่ปรากฏทางตาหายวับไปกับตา ก็ยังรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ เวลานี้ยังไม่ได้หายวับไปกับตา เพียงแต่ได้ยินได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วจึงปรากฏได้ จริงหรือเปล่า ทุกคำคือจริงไหม จริงคือเข้าใจ ถ้าไม่จริงเพราะอะไร ขณะนี้ไม่มีใครสามารถรู้ความจริงเลยว่าเป็นธรรม เพราะกำลังเป็นเราเห็น แต่เมื่อมีการฟังธรรม ก็รู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังน่าอัศจรรย์ จากสิ่งซึ่งไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นได้เลย เกิดมาก็เห็นแล้ว แต่เวลาฟังว่า ขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา คำว่า “ไม่ใช่เรา” ก็แสดงให้เห็นว่า สิ่งนั้นมีจริง แต่ไม่ใช่เรา เพราะอะไร เพราะไม่มีใครสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย มีปัจจัยเกิดแล้ว จะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ขณะนี้เห็นแล้วจะให้ไม่เห็นได้ไหม ไม่ได้ และเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย หรือเราทำให้เห็น

    นี่คือความจริง ต้องเข้าใจด้วยการไตร่ตรอง แล้วรู้ว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เราจะเปลี่ยนไม่ได้เลย เมื่อตอบว่า เห็นมีจริงๆ เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่เปลี่ยนใช่ไหม ไม่ว่าขณะไหนก็ตาม พอเห็นเกิด ก็รู้ว่าต้องมีปัจจัย จึงเป็นธาตุหรือธรรมซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัยนั้น ใครก็เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดแล้วไม่ได้ บังคับให้เกิดก็ไม่ได้ แต่ไม่เข้าใจว่า เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ ถูกต้องไหม ไม่ใช่หายวับไปกับตา ถ้าหายวับไปกับตาแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร นั่นคือไม่ใช่ปัญญา

    เพราะฉะนั้น อะไรจะหายวับไปกับตามีประโยชน์ไหม ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ไฟดับ หายวับไปกับตาหรือเปล่า แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะมีประโยชน์อะไรในการที่จะไปเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่หายวับไปกับตา แล้วก็ไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ขณะที่เห็นเกิด แทบจะกล่าวได้เลยว่า ทันทีที่กำลังรู้ที่ตรงเห็น ดับแล้ว เร็วอย่างนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็ไม่สามารถละความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าเห็นเกิดแล้วดับ แล้วก็มีจิตอื่นเกิดสืบต่อเร็วมาก จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต สัณฐาน รูปร่าง ที่สัญญาจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้จำว่า สิ่งนี้เกิดแล้วดับ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่สัญญาที่เกิดกับปัญญาที่จะรู้ความเป็นจริงว่า สิ่งนี้เกิดแล้วดับแล้ว แต่ว่าสัญญาที่เกิดด้วยความไม่รู้ในเห็นซึ่งดับไป แล้วมีจิตเกิดดับสืบต่อมาก แล้วก็เห็น เห็นก็สืบต่อจนกระทั่งเป็นนิมิตสัณฐาน สัญญาซึ่งเกิดกับความไม่รู้ ก็จะจำผิด คือไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงใช้คำว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า

    นี่คือสัญญาใหม่ เกิดพร้อมกับขณะที่ได้ยินได้ฟัง และเริ่มเข้าใจความจริง ผิดจากสัญญาที่ไม่เคยรู้อะไรเลยในสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจริงๆ สัญญาเริ่มฟังแล้วพิจารณา เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่า สิ่งนี้มีจริง เป็นธรรม ไม่ต้องเรียกอะไรเลย ลักษณะของสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นจริงตามอย่างนั้น ก็เป็นธรรม และขณะนี้เองที่ได้ยินว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

    ฟังธรรมต้องละเอียด แล้วก็เป็นการสะสมการเริ่มคิดถูก เข้าใจถูก จนกว่าจะรู้ถูกตามความเป็นจริง ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ฟังแล้วฟังอีก ไม่ต้องนับว่ากี่ครั้ง เพราะความไม่รู้ตั้งแต่เช้ามาก็ไม่ได้นับว่ากี่ครั้ง ใช่ไหม แล้วจะมานั่งนับว่า เราฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตากี่ครั้ง ก็ไม่จำเป็น เพราะเหตุว่าต้องเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เป็นตัวเราไปนั่งนับนั่งคิด แต่เป็นความเข้าใจว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ เคยรู้จักไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    18 ก.ย. 2567