พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 558


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๕๘

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ทุกคนมีบ้าน และขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาซึ่งไม่ใช่บ้าน แล้วจะมีบ้านเมื่อไร ใครจะตอบก็ได้ ขอเชิญค่ะ

    ผู้ฟัง เมื่อเราเห็นผิด สำคัญมั่นหมายว่ามีเอง

    ท่านอาจารย์ เมื่อไรคะ ที่เราเห็นผิดสำคัญหมายว่ามี

    ผู้ฟัง เมื่อเราโง่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เมื่อคิดค่ะ ถ้าไม่คิดจะมีไหม เพราะขณะนี้มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่บ้าน เป็นสิ่งที่เพียงสามารถปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะอยู่ที่เท็กซัส ที่ไหนในโลก มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถูกต้องไหม เมื่อมีตาก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ โดยอาศัยตา ยังไม่ใช่บ้าน ยังไม่ใช่อะไรถ้าไม่คิด ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ที่ตอบว่ามีบ้าน คิดแล้วใช่ไหม ถ้าไม่คิดจะตอบไหมว่ามีบ้าน เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าใจว่ามีบ้านคือคิด แต่ไม่ใช่เห็น และไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาด้วย ทั้งหมดนี้คือชีวิตแต่ละคนตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นชีวิตประจำวันที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร บังคับบัญชาไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เกิดมาเห็นแล้วก็คิด ได้ยินแล้วก็คิด ห้ามความคิดใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น และคิดยาวมากด้วย แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่า จริงๆ แล้วเห็นอะไร เข้าใจว่าเห็นคน และเห็นต้นไม้ เห็นดอกไม้ ที่นี่ก็จะเห็นเก้าอี้ เห็นอะไรตั้งหลายอย่าง เพราะเมื่อลืมตาปรากฏพร้อมนิมิต เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของธรรมทุกอย่าง ที่ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สิ่งใดก็ตามที่มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับ ไม่มีสิ่งใดที่เกิดแล้วไม่ดับ แต่ใครตรัสหรือกล่าวหรือสอนคำนี้ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ความจริงของธรรมจึงไม่ผิด ถ้าผิดจะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม คนผิดคือคนที่ไม่รู้จริง แต่ “สัมมา” ชอบ ถูกต้อง สัมพุทธะ มีปัญญาที่รู้ความจริง ความถูกต้องของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า พระอรหันต์ เพราะว่าหมดกิเลส ไกลจากกิเลส คือไม่มีกิเลสใดๆ ที่จะเกิดได้อีก เมื่อได้ดับกิเลสนั้นแล้ว ก็เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงเป็นพระอรหันต์ หรือไม่ใช่เป็นเพียงพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลโดยทรงแสดงความจริงที่ได้ตรัสรู้แล้วให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ฟังจะเห็นได้ไหมว่า พระธรรมลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงฟังแล้วก็คิดว่า เราเข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ อย่างถามว่า ขณะนี้มีบ้านหรือไม่ แค่นี้ บางคนก็คิดว่าทำไมถามอย่างนี้ ทุกคนก็มีบ้านเหมือนกันทั้งนั้น ก็ต้องคิดกันใหญ่เลยว่า ขณะนี้มีบ้านหรือไม่ แต่ขณะนี้ที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่บ้าน เป็นธรรมที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เมื่อมีปัจจัย

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมาได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ใครก็ไปทำให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมาไม่ได้ จึงใช้คำว่า “ธรรม” ไม่มีใครไปทำอะไรธรรม แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ความจริงของธรรม หมายความว่าเมื่อธรรมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ผู้ที่รู้ถูกต้อง รู้ชอบตามความเป็นจริงของความจริงนั้นไม่คลาดเคลื่อน จึงเป็นพุทธะ ผู้รู้ความจริง สัมมาสัมพุทธะ และทรงบำเพ็ญพระบารมีจนไม่มีบุคคลใดเปรียบได้ ในจักรวาลทั้งหมดจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกัน ๒ พระองค์ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ยินได้ฟังลึกซึ้ง หรือละเอียด หรือง่าย ฟังเผินๆ ก็จะไปรู้ความจริงของสภาพธรรม จะหมดกิเลส อย่างนั้นคือไม่เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณาโดยละเอียดถึง ๔๕ พรรษา กับบุคคลต่างๆ กัน แต่ใครก็ตามเกิดในยุคไหน สมัยไหน สัจจะ ความจริงก็มีอยู่ตลอดเวลา พร้อมจะให้ฟัง และเห็นประโยชน์ว่า ในเมื่อเกิดมาแล้วก็มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น แล้วจากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้เหมือนเดิมไปทุกชาติ และก็มีความทุกข์ ความสุขสลับกันไป ความไม่รู้ก็คือว่า จากโลกนี้แล้วไปไหน ใครรู้บ้างคะ ไม่มีทางรู้ มาสู่โลกนี้มาจากไหน เคยเป็นใครชาติก่อน มีบิดามารดา มีมิตรสหาย มีบุตรธิดา มีสมบัติทั้งหลายก็จำไม่ได้เลย แค่ชาติเดียว แต่ไม่มีใครเกิดเพียงชาติเดียว กว่าจะเป็นคนนี้ เห็นอย่างนี้ คิดอย่างนี้ เข้าใจธรรมอย่างนี้ ก็ต้องหลายๆ ชาติ

    เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ฟังธรรม ประโยชน์จริงๆ คือความเข้าใจของผู้ฟัง ไม่ใช่ให้ใครบอกว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น แล้วเราไม่เข้าใจ และไปจำคำนั้นมา แต่ฟังแม้เดี๋ยวนี้ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม เห็นมีจริงๆ ก็เป็นธรรม เพราะไม่ใช่ของใคร มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป เห็นเมื่อกี้นี้ดับไปแล้ว กลับมาอีกไม่ได้ ทุกขณะที่เกิดขึ้น ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกจนถึงขณะสุดท้าย ก็คือจากความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้ แต่ระหว่างที่ยังไม่ถึงขณะสุดท้ายของชีวิตก็เหมือนมีเรา เพราะไม่รู้ว่า ความจริงก็เป็นธรรมทั้งนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้วยังไม่ตาย สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคืออะไร คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถบอกเราได้ถ้าไม่รู้ความจริงนั้น และไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสดีที่ได้ฟัง และถ้ามีปัญหาหรือสงสัยอะไร ธรรมตอบได้ เพราะเป็นความจริงเป็นธรรมทั้งหมด ที่เป็นพื้นฐานจากการฟัง จากไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และไม่รู้ด้วยว่าขณะนี้เป็นธรรม ก็เริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตายทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเมื่อยังไม่เข้าใจก็จะต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจขึ้น ประโยชน์ก็คือว่า เมื่อเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีเรา จะดีไหม หรือจะยังติดข้อง จะยังโลภ จะยังโกรธ จะมีแต่สิ่งที่ไม่ดีที่สะสมมามากมายทั้งหมด โดยไม่สามารถให้หมดสิ้นไปได้ แต่เมื่อได้ฟังแล้ว แล้วรู้ว่าเป็นธรรม ก็มีปัญญาที่สามารถเห็นว่า อะไรเป็นธรรมฝ่ายดี อะไรเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี ที่ใช้คำว่า กุศล และอกุศลซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผล เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม เมื่อเข้าใจว่า เป็นธรรมแล้ว ชีวิตก็จะเจริญในทางฝ่ายกุศล จะไม่เบียดเบียนใคร และเราก็จะไม่เดือดร้อนด้วย เพราะเหตุว่าธรรมที่เป็นกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่เข้าใจใครจะห้ามอกุศลได้ และยังไม่รู้ว่า อกุศลเกิดเมื่อไร และอกุศลนั้นมีกำลังแค่ไหน เพียงแต่ว่าวันนี้ แม้ขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น จะไปรู้ธรรมที่เป็นกุศลได้ไหม จะไปรู้ธรรมที่เป็นอกุศลได้ไหม ก็เพียงแต่พูดชื่อ เรียกชื่อ แม้แต่ขณะนี้ก็เรียกชื่อว่า เป็นธรรม ทั้งๆ ที่ธรรมก็เกิดดับ และมีลักษณะเฉพาะของธรรมแต่ละอย่างด้วย

    ฟังมาจากที่โน่นถึงที่นี่ มีอะไรที่อยากจะทราบไหม เชิญค่ะ

    ผู้ฟัง ไม่มีอะไรจะถาม แต่ไม่ใช่เข้าใจ อยากจะถามว่า ทำไมตัวเองถึงไม่มีคำถาม เพราะอะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่มีคำถาม เพราะเหตุว่าไม่สงสัย แล้วก็เข้าใจสิ่งที่ไม่ต้องถาม ถ้าไม่เข้าใจก็ถาม แต่นี่ฟังแล้วเข้าใจ จะถามอะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ใครต้องมานั่งคาดคั้น ขอร้องใครให้ช่วยถามหน่อย หรือถามเยอะๆ หรือถามเพื่อคนอื่นจะได้ฟัง ไม่ใช่อย่างนั้น ฟังธรรมเข้าใจ และธรรมก็มีมาก จริงๆ แล้วถ้าเข้าใจคำที่ได้ยินทุกคำ จะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นได้ แต่ถ้าข้ามไปๆ ๆ ก็เพียงผิวเผิน งูๆ ปลาๆ จะเป็นโทษในภายหลังด้วย เพราะว่าได้ยินคำไหนเหมือนเข้าใจ แต่สิ่งนั้นที่จะรู้ได้ก็คือว่า ภาษาไทยใช้คำในภาษาบาลี โดยไม่ตรงความหมายของภาษาบาลี

    เพราะฉะนั้น จึงทำให้คนไทยเข้าใจความหมายของธรรมผิด ได้ยินคำว่า “อารมณ์” ไหมคะ อารมณ์คืออะไร

    ผู้ฟัง ขอเรียนว่า ดิฉันไม่เคยมานั่งข้างหน้า รู้สึกอายเมื่อมานั่งข้างหน้า และตอบคำถามของท่านอาจารย์ก็จะอาย เพราะไม่เคย

    ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วก็ได้ยินแต่เสียงอย่างนี้ แล้วก็เข้าใจอย่างนี้มาโดยตลอดในความหมายนี้ แต่คำนี้เป็นภาษาบาลี มาจากคำว่า อารัมมณะ หรืออารัมพณะ หมายถึงสิ่งที่กำลังถูกรู้ ต้องมีสภาพรู้ และเมื่อมีธาตุหรือสภาพรู้เกิด ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ในขณะนั้นด้วย ฟังแค่นี้ก็จะแย่แล้ว ภาษาก็ไม่เหมือนกับที่เคยเข้าใจ แล้วอารมณ์ ยังพูดเรื่องสภาพรู้ สิ่งที่ถูกรู้ แต่ตามความเป็นจริงก็คือเดี๋ยวนี้ ถ้าฟังธรรมแล้วเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ก็จะเข้าใจได้

    ได้ยินเสียงไหมคะ

    ผู้ฟัง ได้ยินค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสภาพที่สามารถได้ยิน หรือจะพูดง่ายๆ ว่า ถ้าไม่ได้ยิน เสียงจะปรากฏให้รู้ได้ไหมว่า มีเสียงอย่างนั้นๆ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อมีได้ยินก็ต้องมีเสียงปรากฏ ที่เสียงกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นเสียงอย่างนี้ๆ เพราะมีได้ยิน แต่เรายังไม่รู้จักว่า ได้ยินเป็นอะไร แต่พูดกันได้ว่าได้ยินไหม ได้ยิน รู้จักได้ยิน และรู้จักเสียง แต่ไม่รู้ว่า ได้ยินเป็นอะไร และเสียงเป็นอะไร นี่คือความไม่รู้ทั้งหมดจนกว่าจะได้ฟังธรรม ได้ยิน ถ้าไม่เกิดขึ้นได้ยิน จะมีได้ยินหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ยินต้องเกิด และเดี๋ยวนี้ได้ยินหรือไม่

    ผู้ฟัง ได้ยินค่ะ

    ท่านอาจารย์ ตอนเงียบๆ ได้ยินหรือไม่ ไม่มีเสียงอะไรเลยจึงใช้คำว่า “เงียบ” เพราะฉะนั้น ขณะที่ไม่มีอะไรที่ดัง ขณะนั้นเงียบสนิท ได้ยินอะไรหรือไม่ ในความรู้สึกของบางคน บอกว่าในความเงียบเขายังได้ยินเสียงเล็กๆ เสียงหึ่งๆ เสียงในหู หรือเสียงอะไรก็ได้ แต่เขาลืมว่า ขณะใดก็ตามที่ใช้คำว่า “ได้ยิน” ต้องมีสิ่งที่ถูกได้ยิน เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรก็ตามแต่ แต่สิ่งนั้นมีให้ได้ยิน ภาษาไทยใช้คำว่า “เสียง” อะไรก็ตามที่ปรากฏให้รู้ ขณะที่กำลังได้ยินต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ และสิ่งที่ปรากฏในขณะที่ได้ยินนั้นเราใช้คำว่า “เสียง” เฉพาะภาษาไทย ภาษาอื่นไม่ใช่คำนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นภาษาไหน เสียงก็ปรากฏได้กับขณะที่มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง ถ้าไม่ใช่ภาษาไทย ภาษาบาลีใช้คำว่า “สัททะ” และภาษาอื่นก็ใช้คำอื่นไป แต่ความหมายตรงกัน คือหมายความถึงสิ่งหนึ่งที่กำลังได้ยิน

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกได้ยินนั้นมีจริงๆ ถ้าเราจะใช้คำก็คือ “เสียง” ถ้าไม่มีสภาพได้ยิน เสียงจะปรากฏได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มีสภาพได้ยิน เสียงไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เสียงไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ได้ยินเกิดเองได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ใครไปทำให้ได้ยินเกิดได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ยินเกิดเพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะเสียง

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็คือได้ยินเดี๋ยวนี้มี เห็นหรือไม่ ผลปรากฏ แต่ใครจะรู้ถึงเหตุที่ทำให้เสียงปรากฏบ้าง ทั้งๆ ที่ก็ได้ยิน กี่ภพกี่ชาติก็ได้ยิน แต่ไม่มีใครใส่ใจที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ความจริงของแม้เสียง และได้ยิน นอกจากพระโพธิสัตว์ที่เห็นว่า สิ่งนี้มีจริงก็ควรจะรู้ความจริง และเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงก็ควรรู้ความจริงนั้นได้ โดยการอบรม การอบรมของพระโพธิสัตว์ก็คือสละทั้งหมด รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมที่ทรงแสดงก็คือสภาพธรรมจะปรากฏกับปัญญา ไม่ใช่เกิดปรากฏกับโลภะหรือความติดข้อง ถ้าตราบใดที่ไม่สละความไม่รู้ สละความติดข้อง ตราบนั้นสภาพธรรมจะไม่ปรากฏตามความเป็นจริงได้ เพราะกำลังติดข้องขณะใด สภาพธรรมนั้นดับไปแล้วโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นเป็นปัญญาจริงๆ ที่สามารถละคลายความติดข้อง โดยมีปัญญาเพิ่มขึ้น และสภาพธรรมจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม เคยถามผู้ที่บอกว่า ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่ายาก และยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่ารู้น้อยว่า เพราะอะไร ตอนนี้คำตอบก็จะมีหลากหลาย เท่าที่ฟังมาก็มีคำตอบหลากหลาย แต่ถ้าคิดว่า ทำไมสภาพธรรมก็กำลังมี กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แล้วไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นเพราะอะไร

    คุณวิชัยอยากจะตอบไหมคะ

    อ.วิชัย ที่จริงก็พิจารณาดูว่า ธรรมก็มีปัจจัยต่างๆ ให้เกิดขึ้น อย่างเช่นได้ยิน ถ้าไม่มีเสียงก็ได้ยินไม่ได้ เพราะเหตุว่าเราศึกษาในเบื้องต้นว่า สิ่งที่มีจริงๆ จะแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง ก็คือนามธรรมอย่างหนึ่ง และรูปธรรมอย่างหนึ่ง พอทราบไหมครับว่า นามธรรมคืออะไร สิ่งนี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้น เข้าใจใช่ไหมว่า มีนามกับรูป ขอสนทนาเข้าใจนามธรรมว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง นามธรรมคือสภาพรู้

    อ.วิชัย ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ นามธรรมจะมีได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    อ.วิชัย ขณะที่หลับสนิท มีนามธรรมไหมครับ รู้อะไรไหมในขณะนั้น

    ผู้ฟัง ไม่รู้ค่ะ

    อ.วิชัย บ้าน ที่ทำงานไม่ปรากฏ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ใครจะทำอะไรก็ไม่ทราบทั้งสิ้น แต่ลักษณะนั้นก็ต้องมีธรรม มีธาตุรู้ด้วย แต่ไม่ใช่ธาตุรู้ที่รู้อารมณ์ในโลกนี้ ก็เป็นเรื่องละเอียด เพราะเหตุว่านามธรรมที่เป็นอยู่ตั้งแต่เกิดจนจะสิ้นชีวิตในโลกนี้ สิ้นความเป็นบุคคลนี้ ไม่ปราศจากนามธรรม แต่นามธรรมที่เกิดต้องรู้ ขณะนี้มีนามธรรม เพราะเหตุว่ากำลังรู้อยู่ ยังเห็น ยังได้ยิน อาจจะมีกลิ่น มีรส กระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวทางกาย แสดงว่าก็ต้องมีนามธรรม และมีสิ่งที่นามธรรมกำลังรู้อยู่ สิ่งที่นามธรรมกำลังรู้อยู่ คือ อารัมมณะ หรืออารมณ์ อารมณ์หมายถึงสิ่งที่นามธรรมกำลังรู้อยู่ ซึ่งนามธรรมจะมีอยู่ ๒ อย่าง คือจิต และเจตสิก เคยได้ยิน “เจตสิก” ไหมครับ

    ผู้ฟัง เคยค่ะ

    อ.วิชัย จิตคืออะไรครับ

    ผู้ฟัง จิตคือสภาพรู้

    อ.วิชัย แล้วเจตสิกรู้ไหมครับ

    ผู้ฟัง รู้ค่ะ

    อ.วิชัย รู้เหมือนกัน แล้วจิตกับเจตสิกต่างกันอย่างไร ต้องต่างกันอยู่แล้ว เพราะกล่าวว่าเป็นจิตอย่างหนึ่ง และเจตสิกอย่างหนึ่ง ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ คือ จิตก็อย่างหนึ่ง และเจตสิกก็ต้องอีกอย่างหนึ่ง และขณะนี้ก็มีจิตด้วย มีเจตสิกด้วย แสดงว่าขณะนี้จิต และเจตสิกมีจริงๆ เกิดพร้อมกัน แต่มีลักษณะคนละอย่าง จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เจตสิกก็รู้เหมือนกัน แต่เป็นสภาพที่ประกอบกันกับจิต หรือเกิดร่วมกันกับจิต และมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เคยดีใจไหม เคยเสียใจไหม

    ผู้ฟัง เคยค่ะ

    อ.วิชัย เป็นความรู้สึก ความรู้สึกเป็นเวทนา เป็นเจตสิก ขณะที่จิตกำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังมี เวทนาก็มีความรู้สึกในสิ่งนั้นด้วย คือรู้ด้วย และเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วยในขณะนั้น นามธรรมคือจิต และเจตสิกก็เกิดพร้อมกัน

    เพราะฉะนั้น เจตสิกไม่ได้มีประเภทเดียว มีหลายประเภท มีสัญญา ความจำ เป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง จิตจะมี ๑ ลักษณะ คือเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่นามธรรมกำลังรู้ นามธรรมก็ได้แก่ทั้งจิต และเจตสิก ขณะนี้มีธาตุรู้ แสดงว่ามีจิตกำลังเกิดขึ้นทำกิจ และเจตสิกก็กำลังเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ธรรมอีกประเภทหนึ่งซึ่งไม่รู้อะไร ได้แก่ รูป ขณะนี้มีรูปไหมครับ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    อ.วิชัย เช่นอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง เช่น เสียง

    อ.วิชัย เสียงเป็นรูป เพราะว่าเสียงไม่รู้อะไร กำลังรู้เสียงเป็นรูปหรือเป็นนาม

    ผู้ฟัง เป็นนาม

    อ.วิชัย ธาตุรู้ที่รู้เสียงเป็นนาม แต่เสียงที่กำลังถูกรู้เป็นรูป กำลังเห็น จิตเห็นเป็นนามธรรม สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น รูปไม่ได้มีอย่างเดียว ก็ต้องมีหลากหลาย เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว สิ่งนี้ก็เป็นส่วนของรูปที่เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานต่างๆ นี่เป็นความเข้าใจพื้นฐานว่า ที่เราเคยสำคัญว่าเป็นเราทั้งหมด แต่จริงๆ ก็คือมีธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุ และปัจจัย อย่างเช่น จิตจะเกิดก็ต้องอาศัยอารมณ์อย่างหนึ่งที่จะให้จิตนั้นเกิดขึ้น ให้เจตสิกนั้นเกิดขึ้น ถ้าปราศจากอารมณ์ จิต และเจตสิกนั้นก็เกิดไม่ได้ เช่น เสียง ถ้าเสียงไม่มี จิตได้ยินจะมีได้ไหม ไม่มี ไม่เกิด ถ้าคนตาบอดจะเห็นได้ไหม ก็ไม่เห็น เพราะไม่มีรูปที่เป็นปัจจัยให้เกิดเห็น

    เพราะฉะนั้น ที่เราสำคัญว่าเป็นตัวเราทั้งหมด ก็คือมีธรรมต่างๆ ที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และทำกิจหน้าที่ของธรรมนั้นๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    13 พ.ย. 2567