พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 562


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๖๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ อาสยะคือทั้งกุศล และอกุศล แต่ถ้ากล่าวถึงอนุสัย เฉพาะอกุศลที่จะต้องดับ เพราะฉะนั้น เราจะรู้ไหมว่า ตราบใดที่ยังมีโลภะเกิดขึ้น แม้ดับไป โลภะนั้นไม่กลับมาอีก แต่โลภะเป็นสภาพที่เกิดแล้วดับ จะไปไหน เกิดที่จิตก็สืบต่อที่จิตขณะต่อไปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จะรู้ไหมว่า ที่ทุกคนมานั่งตรงนี้ อาสยะ การสะสม การเห็นประโยชน์ การรู้ว่า เป็นสิ่งที่ควรฟัง ควรเข้าใจมีพอที่ไม่เป็นทาสของโลภะขณะที่สามารถที่จะฟังพระธรรม มีศรัทธาในพระธรรม มีความสนใจที่จะเข้าใจพระธรรม

    เพราะฉะนั้น กว่าจะออกจากความหวังได้ ลองคิดดู สะสมมาเท่าไรที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เมื่อมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง โลภะไม่ปล่อยค่ะ ฟังไปก่อน ฟังไป เข้าใจแค่ไหน วันนี้ฟังได้นานเท่าไร ประเดี๋ยวก็กลับไปสู่โลภะอีก ไม่มีวันพ้นไปได้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะพ้นจากโลภะก็ไม่รู้ตัว เพราะไม่ใช่เรา แต่แม้ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็ค่อยๆ พ้นไป แต่จะพ้นไประดับไหน พ้นไประดับทาน หรือระดับศีล หรือระดับความสงบของจิต หรือระดับอบรมเจริญปัญญา

    เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถห่างจากโลภะได้มากกว่านี้ ความรู้สึกเป็นอิสระแม้เล็กน้อยจะมีได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะพ้นจากโลภะตามลำดับขั้นของพระอริยบุคคล จะมีความปีติหรือเห็นคุณของการพ้นจากความเป็นทาสของโลภะได้ แต่เวลานี้อยู่กับโลภะ และชอบโลภะ แล้วอยากเป็นทาสของโลภะไปเรื่อยๆ เพราะปัญญาไม่เกิด

    เพราะฉะนั้น ที่จะรู้จริงๆ ปัญญาก็จะเจริญขึ้นๆ จนสามารถเข้าใจธรรมที่เป็นกุศล และอกุศลได้ว่า ฝ่ายใดเป็นโทษมากน้อยแค่ไหน และฝ่ายใดเป็นประโยชน์ที่จะอบรมต่อไป

    ผู้ฟัง ตอนที่คิดคำว่า “แข็ง” และท่านอาจารย์แสดงอยู่ประโยคหนึ่งว่า ไม่มีวันเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมได้ รู้สึกว่าเป็นคำที่ค่อนข้าง

    ท่านอาจารย์ รุนแรง แต่ถูกไหม จับไมโครโฟน เห็นคน รับประทานอาหาร ไปตลาด รู้ไหมว่า เห็นอะไร รู้ไหมว่า เวลากระทบ อะไรปรากฏ แล้วอย่างนี้จะมีวันที่จะเข้าใจธรรมไหม ถ้าเป็นอย่างนี้ไปตลอด

    ผู้ฟัง กำลังจะกราบเรียนถามว่า กำลังคิดคำว่า แข็ง ตรงนั้นพอดี

    ท่านอาจารย์ คิดหรือคะ ขณะนั้นก็ไม่ใช่กำลังรู้แข็ง แข็งไม่ได้ปรากฏขณะที่คิด ขณะที่คิดว่าแข็ง คิดคำว่า “แข็ง” หรือคิดอะไรคะ

    ผู้ฟัง คิดคำว่า “แข็ง

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นไม่ใช่แข็งปรากฏ แต่เรื่องคำว่า “แข็ง” จิตกำลังคิด คำ ว่า แข็ง ไม่ใช่แข็งปรากฏให้รู้

    ผู้ฟัง คิดหลังจากที่แข็งปรากฏไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ แข็งกำลังปรากฏ ต้องคิดหรือไม่ว่าแข็ง กำลังแข็งขณะนี้ มีสภาพแข็งปรากฏ เพราะขณะนั้นมีธาตุที่รู้ลักษณะที่แข็ง แข็งจึงปรากฏได้ ขณะนั้นกำลังคิด คำ ว่า แข็ง หรือไม่

    ผู้ฟัง ถ้าแข็งปรากฏแล้ว ก็ไม่ต้องคิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แข็งกำลังปรากฏต้องคิดว่าแข็งไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ต้องค่ะ แต่ก็คิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คิดไม่ใช่ขณะที่รู้ลักษณะแข็ง กำลังรู้แข็งคิดไม่ได้ เพราะขณะนั้นแข็งกำลังเป็นอารมณ์ของจิต ไม่มีคำใดๆ เกิดเลยในขณะที่แข็งกำลังปรากฏ แต่หลังจากแข็งแล้ว จิตจะคิดอะไรก็ได้ ซึ่งขณะที่คิดไม่ใช่ขณะที่แข็งกำลังปรากฏ คนละขณะ เร็วมาก

    ผู้ฟัง แต่ก็ไม่น่าจะ

    ท่านอาจารย์ เห็นนี่ต้องคิดหรือไม่ว่า เห็น

    ผู้ฟัง ขณะที่เห็นไม่ต้องคิดว่า เห็น

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็นไม่ต้องคิดว่า เห็น เพราะฉะนั้น เวลาที่แข็งปรากฏต้องคิดหรือไม่ว่า แข็ง

    ผู้ฟัง ไม่ต้องค่ะ แต่ยังไม่ถึงขนาดนั้น ยังไม่ได้เข้าใจรวดเร็วถึงขนาดนั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต ตลอดชีวิตนี้จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง ตรงนี้น่าสนใจมาก แต่ก็ยัง

    ท่านอาจารย์ ตลอดชีวิตอาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมจึงต้องเข้าใจ ไม่ใช่ให้ทำอะไร ไม่ใช่นำไปใช้หรืออะไรทั้งสิ้น ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง จะรุนแรงถึงขนาด ไม่ทราบหรือไม่เข้าใจสภาพธรรมจริงๆ เลยหรือ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไป จะเข้าใจได้อย่างไร

    ผู้ฟัง แต่เราก็ไม่ได้คิดตลอดเวลาว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจขึ้น เมื่อใดที่เข้าใจขึ้น เมื่อนั้นก็สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้

    ผู้ฟัง บางครั้งฟังแล้วก็เหมือนสับสนระหว่างฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนกับเป็นทัพพีไม่รู้รสแกง หรือติดในนิมิตอนุพยัญชนะ ตัวดิฉันเองก็จะเป็นประเภทที่ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถ้าบอกว่า ไม่ต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ปัญญาก็เจริญได้ พูดเพราะดี ถูกดีหรือไม่คะ

    ผู้ฟัง ไม่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็มี และกำลังปรากฏ ก็บอกว่า ไม่ต้องเข้าใจ ฟังไป แล้วก็รู้ธรรมเอง แล้วธรรมก็จะปรากฏ แล้วจะหมดกิเลส พูดอย่างนี้ดีไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เรื่องจริงก็จริง คำจริงก็จริง เพราะฉะนั้น จากที่ถามว่าความเข้าใจวันนี้กับความเข้าใจเมื่อหลายปีก่อนเพิ่มขึ้นหรือไม่ และสามารถเข้าใจวันนี้ได้เพราะอะไร ถ้าไม่เคยฟังมาก่อน จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังวันนี้หรือไม่

    นี่ก็แสดงให้เห็นให้เห็นถึงความอดทน เพราะธรรมเป็นสิ่งลึกซึ้ง ถ้าใครบอกว่า สามารถรู้แล้วในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังได้ยินได้ฟังวันนี้ ก็แปลว่า เขารู้จริงๆ หรือไม่ หรือเขาคิดว่ารู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้น แม้แต่หนทางอบรมที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมซึ่งละเอียดมาก ก็ยังทรงแสดงมิจฉามรรคกับสัมมามรรค ไม่อย่างนั้นจะแสดงไว้ทำไม ในเมื่อความเห็นผิดอย่างนั้นก็มี คิดว่ากำลังอบรมหนทางเจริญเพื่อละกิเลส เพื่อรู้แจ้งสภาพธรรม แต่ก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วจะเป็นมรรค จะเป็นหนทางให้รู้อะไรได้

    เพราะฉะนั้น การฟังต้องละเอียดรอบคอบ เพื่อจะได้รู้ว่า ขณะนี้ที่กำลังฟังว่า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ฟังแค่นี้เข้าใจแล้วเข้าใจขั้นฟัง และก็เป็นความจริงอย่างนี้ จนกว่าสามารถที่จะเริ่มไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะ และจะเริ่มเข้าใจความหมายในพระไตรปิฎกที่ว่า ไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะหมายความว่า ขณะไหน อย่างไร ไม่ใช่ขณะนี้มีต้นไม้ มีดอกไม้ มีเก้าอี้ แล้วก็บอกว่า ไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะ เพราะไม่สนใจ แต่นั่นไม่ใช่ความหมายนี้ ไม่เข้าใจแม้แต่เพียงว่า ไม่ติดเพราะอะไร เพราะจริงๆ แล้วทันทีที่เห็นก็ยังไม่รู้ว่าติดแล้ว แล้วจะบอกว่าไม่ติด ก็แปลว่า ไม่เข้าใจในความละเอียดของธรรม

    การฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ จากการเริ่มเข้าใจขึ้น และสิ่งที่เราไม่รู้ เราคิดว่า เราไม่รู้นิดหน่อย แค่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่แค่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แม้แต่เพียงคำว่า “ทาง” ก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม ขณะนี้กำลังเห็น เห็นต้องมีตาแน่ๆ แต่รู้ไหมว่า หลังจากเห็นแล้ว วาระของรูปที่เกิดแล้วดับไปที่รู้รูปที่เกิดแล้วดับไปหมดแล้ว จิตที่รู้รูปที่เกิดแล้วดับไปทั้งหมด ดับแล้ว ทางใจรับรู้ต่อโดยไม่มีใครรู้ แล้วก็พูดกันแต่ทางใจ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ทางใจจริงๆ เดี๋ยวนี้มีหรือไม่

    นี่คือการไม่เผิน ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ ขณะที่ยิ่งเข้าใจ ก็ยิ่งเห็นได้ว่า ความไม่รู้ของเรามากกว่าที่เราคิด เราอาจจะคิดว่า เราไม่รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่พอฟังแล้วเรารู้ แต่ยิ่งฟังละเอียด ยิ่งรู้ว่า ที่เราคิดว่าเรารู้ เรารู้จริงๆ หรือไม่ และเรารู้ถึงกับว่า เมื่อเห็นแล้ว มีความติดข้องในสิ่งที่เห็น โดยที่สิ่งนั้นยังไม่ดับ มิฉะนั้นจะไม่มีคำว่า “อาสวะ” พระขีณาสพ หรือขีณาสวะ คือผู้ที่สิ้นหรือดับอาสวะ คือไม่มีเหลือเลย คือเพียงแค่เห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วยังไม่ดับ ก็ไม่มีกิเลสใดๆ

    ด้วยเหตุนี้จิตเห็น เห็น แต่เห็นแล้วเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่รู้ ตลอดเวลาขณะนี้มีแค่ไหน เพราะฉะนั้น ขณะนี้เราเพียงไม่รู้ แต่ยิ่งละเอียดก็ยิ่งรู้ว่า ความไม่รู้ค่อยๆ ลดลงไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ เมื่อเข้าใจตามลำดับขั้นของการฟัง ต้องฟังแล้วรอบรู้ในสิ่งที่กำลังฟัง จึงสามารถเป็นปัจจัยให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ โดยเป็นอนัตตา ข้อสำคัญคือโดยเป็นอนัตตา แต่คำถามที่ว่าเมื่อไร เป็นอนัตตาหรือไม่คะ ก็ไม่มี และไม่รู้ด้วยว่า ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “อนัตตา”

    ผู้ฟัง อย่างดอกไม้มีหลายสี จะมองอย่างไร จะศึกษาอย่างไร จะเข้าใจอย่างไรว่า ให้เป็นเพียงแค่ ๑ สี หรือว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ จะมองอย่างไร จะทำอย่างไร เพียงแต่ขณะนี้กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ทุกวันเวลาฟังธรรมก็เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เมื่อเช้านี้ เมื่อวานนี้ เมื่อกี้นี้ เมื่อก่อนนี้ คิดเรื่องอะไรก็ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว ขณะที่สนใจก็คือมีสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งสามารถเข้าใจได้ในขณะที่ฟัง

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็คือว่า ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เริ่มเข้าใจไหมคะ ไม่ใช่ให้ทำ ให้มอง ให้อะไร แต่เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ ในเมื่อสิ่งอื่นที่มีจริงไม่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ เช่น เสียง มีจริงๆ แต่มองไม่เห็นเสียง เสียงไม่ปรากฏให้เห็นได้ กลิ่นมีจริงๆ แต่มองไม่เห็นกลิ่น

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้มีสิ่งหนึ่งซึ่งมีจริงเดี๋ยวนี้ กำลังปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งนี้ก็คือสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่มีใครไปบังคับบัญชาให้เกิดขึ้น แต่ปรากฏขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง

    แค่นี้ค่ะ การฟังธรรมต้องเป็นผู้ที่ละเอียด บางคนคิดว่า เมื่อไรปัญญาจะเจริญ จะรู้การเกิดดับของธรรม จะเห็นว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น นี่คือความคิดด้วยความเป็นเรา ฟังธรรมด้วยความเป็นเรา อยากจะถึง อยากจะรู้อย่างที่ได้ยินได้ฟัง แต่ประโยชน์ของการฟังธรรม เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพื่อละความทรงจำว่า มีเราเห็น และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยจำได้ ไม่ได้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างจิตเห็นขณะนี้ไม่สามารถคิด ไปนั่งนับว่า สีเกิดทีละ ๑ สี หรืออะไรอย่างนั้น หน้าที่ของจิตเห็นก็คือกำลังรู้ คือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น จิตเห็นไม่ใช่จิตคิด แล้วถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า สภาพของนามธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วสุดจะประมาณได้ จึงไม่มีใครเห็นการเกิดขึ้นแล้วดับไปของสภาพธรรมใดๆ เลยในขณะนี้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะไปกังวลถึงขณะนี้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นกี่สี และเกิดดับนับเท่าไร ประมาณเท่าไร สีจึงจะปรากฏเป็นสีสันต่างๆ ในขณะนี้ได้ นี่เป็นการคิดด้วยความเป็นเรา ไม่เข้าใจในการฟังธรรม

    ประโยชน์สูงสุดของการฟังธรรม คือเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏซึ่งลึกซึ้ง คัม ภีระ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏแม้กำลังปรากฏ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสรู้ และไม่ได้ทรงแสดงธรรม ใครก็ไม่สามารถคิดถึงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้

    เพราะฉะนั้น ที่ว่าฟังมานาน นานแค่ไหน พระสาวกที่ท่านจะบรรลุ ทั้งๆ ที่ท่านอบรมมาแล้ว ๑๖ ปีก็มี คุณชมชื่นฟังมานานเท่าไร

    ผู้ฟัง ประมาณ ๓ – ๔ ปี

    ท่านอาจารย์ และผู้บรรลุหลังจากบำเพ็ญบารมี ๑๒ ปี ๑๖ ปี ๒๐ ปี ท่านอบรมมาแล้วนานเท่าไรที่สามารถฟังแล้วเข้าใจความจริงของสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้สามารถเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้น การฟังที่นานเท่าไร อย่านับ นับได้ไหมคะ กี่ขณะจิต ไม่ได้ ถอยหลังไปแสนโกฏิกัปป์ เคยฟังมาหรือไม่ นับไม่ได้ แต่สิ่งที่สามารถรู้ได้ คือขณะที่ได้ฟังเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ และได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยหรือไม่ เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่แล้วทำอย่างไรจะไปเห็นการเกิดดับ และสีขณะนี้ปรากฏทีละสีหรืออย่างไร จิตเกิดขึ้นมากแค่ไหน ประมาณไม่ได้เลย แม้แต่ขณะนี้จิตก็เกิดดับอย่างเร็วมาก สภาพธรรมทุกอย่างเกิดดับอย่างเร็วมาก จึงลวงให้เห็นเหมือนกับเที่ยง และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็จะเห็นคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไรคะ เกินกว่าที่คุณชมชื่นคิดว่าฟังมานานแล้ว นานแสนนาน จนสามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ จนเห็นว่า ควรให้บุคคลอื่นได้เห็นถูก ได้เข้าใจถูก จึงได้บำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกด้วยการแสดงธรรม

    ๒,๕๐๐ กว่าปี คุณชมชื่นอยู่ที่ไหนคะ ไม่มีใครรู้ แต่ก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องคิดนึก เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ลืมไปหมด เหมือนคนที่หลับแล้วไม่ตื่น ไม่สามารถรู้ความจริงว่า ตื่นกับหลับต่างกันอย่างไร เพราะว่าหลับอยู่เรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ขณะที่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หลับหรือตื่น หลับ แล้วเวลาที่ตื่นคือมีโอกาสนิดหน่อยเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ได้ฟังแล้วก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ทันที เพราะความลึกซึ้งของธรรม ประมาทธรรมไม่ได้เลย ไม่ได้หมายความว่า ฟังแล้วสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้โดยรวดเร็ว แต่จะได้รู้การสะสมมาว่า แม้สภาพธรรมกำลังปรากฏ แล้วฟังอย่างนี้ เรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ แล้วเข้าใจความจริงอย่างนี้มั่นคงหรือยังว่า ขณะนี้ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องไปนั่งนับ ๑ ๒ ๓ โต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ ต้นไม้อะไร แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มีความเข้าใจที่มั่นคงหรือยังว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เพราะกำลังปรากฏ แต่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วดับ ไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้น ถ้าฟังอย่างนี้ก็จะเห็นอวิชชา ความไม่รู้ว่า ฟังอย่างนี้สภาพธรรมก็ยังไม่ดับ ใช่ไหมคะ และยังไม่ได้ระลึกถึงความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เท่านั้นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้จะค่อยๆ คลายความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏเมื่อไร เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นเท่านั้น และพอจิตเห็นดับไปแล้ว สิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏ แต่ยังจำ และยังอยากเห็นเพราะเคยเห็น ไม่ว่าจะเห็นอะไร ก็ขอเห็น อยากเห็น เวลาที่ทำกุศลแล้ว บางคนก็ปรารถนาอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อจะได้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ แค่นั้นเอง แค่ให้ได้เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่เรื่องรีบร้อน จะไปรู้อริยสัจธรรม จะหน่าย จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่ปัญญา ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจความหมายของสภาพธรรมซึ่งเป็นปัญญา ความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ นั่นคือปัญญา

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะคิดว่า แล้วเมื่อไรเราจึงจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม แค่ฟัง เมื่อไรจะค่อยๆ น้อมไปสู่ความจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ เพียงปรากฏให้เห็น เสียงที่กำลังปรากฏให้ได้ยิน ก็เพียงปรากฏให้ได้ยิน แล้วก็หมดไป กลิ่นที่ปรากฏให้รู้ว่า กลิ่นนั้นเป็นอย่างนั้น ปรากฏแล้วก็หมดไป รสปรากฏแล้วก็หมดไป เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งที่กำลังปรากฏ ซึ่งพิสูจน์ได้ ขณะนี้ก็มี เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป แม้แต่จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก นี่คือธรรม นี่คือพระธรรมที่ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปรู้แจ้งอริยสัจธรรมทันที แต่รู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ส่วนมากคนที่ไม่ได้ฟังความละเอียดของธรรม ฟังแล้วอยากมีสติ อยากให้สติเกิด อยากจะรู้การเกิดดับของสภาพธรรม ลืมว่า แล้วปัญญาขณะนี้ที่กำลังเห็น เริ่มเข้าใจความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเองหรือยัง เพราะสิ่งนี้เกิดดับ ปัญญาไม่ใช่ไปประจักษ์การเกิดดับของสิ่งอื่น แต่ปัญญาที่สมบูรณ์แล้วจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่ไม่เคยประจักษ์ แต่มีจริงในชีวิตประจำวัน เป็นปกติ แต่ปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้น เลิกคิดเรื่องการรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ว่าเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว รู้ว่าเป็นธรรม แล้วเริ่มเข้าใจความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นหรือยัง และการเพิ่มขึ้นเมื่อปัญญาสมบูรณ์ขึ้น ใครจะไปเปลี่ยนแปลงความมั่นคงของความเข้าใจได้ไหมว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ และเมื่อมีความเข้าใจอย่างมั่นคง สติสัมปชัญญะซึ่งหมายความถึง อสัมโมหสัมปชัญญะ การไม่หลงเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็จะเกิดพร้อมสติ ขณะนั้นก็จะรู้ว่า ต่างกับขณะที่หลงลืมสติ เป็นเรื่องละเอียดมาก เป็นเรื่องละความไม่รู้ ละความสงสัยในสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง แล้วก็จำ เช่นจำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จำไว้มั่นคง ชื่อเท่านั้นเอง ไม่เปลี่ยนชื่อ พูดทีไรก็ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พูดแค่นี้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ก็ไม่เคยรู้

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า การอบรมเจริญปัญญา บุคคลนั้นจะรู้ด้วยตัวเอง เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่เพียงให้เราเป็นคนดี เป็นคนดีแต่เป็นเรา ดีหรือไม่ เห็นผิดในสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราว่า เป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ก็จะมีคนดีตั้งแต่ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นความสงบของจิตจนกระทั่งสามารถมีความมั่นคงตั้งมั่น สงบในสภาพธรรมที่เป็นรูป ทำให้เมื่อจุติจากโลกนี้ไปแล้ว สามารถเกิดในพรหมโลก ซึ่งสูงกว่าเทวโลก

    เพราะฉะนั้น ความดีมีหลายระดับขั้น แต่ก็ดีในสังสารวัฏฏ์ ตราบใดที่ถึงแม้ว่า จะได้เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคลในอรูปพรหมภูมิ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    13 ม.ค. 2567