พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 597


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๙๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒


    อ.คำปั่น ขณะที่ได้ยินก็เป็นจิตที่เกิดขึ้นได้ยิน ไม่ใช่เราที่ได้ยิน ทุกอย่างก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ไม่ได้ใช้คำว่า “จิต” ใช่ไหม ใช้คำว่า “ธรรม” หรือธาตุ สภาพธรรมที่เห็น หรือสภาพธรรมที่ได้ยิน พอจะเข้าใจความหมายของธรรม สภาพธรรมมีขณะนี้ แล้วทำไมต่อมาภายหลังจึงใช้คำว่า “จิต” ด้วย แสดงให้เห็นว่า ก่อนอื่นเราไม่ได้รู้คำหนึ่งคำใดทั้งสิ้น แต่มีลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ใช่ไหม ที่พอเข้าใจได้ว่า ลักษณะหนึ่งเป็นสภาพที่ปรากฏเพราะมีธาตุที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาจึงปรากฏได้ ยังไม่ได้ให้ชื่อว่า “จิต” แต่เป็นธรรม หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งสิ่งที่มีจริงๆ จะใช้คำว่า ธาตุ ก็ได้ ความหมายเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ยินที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ยังไม่ได้กล่าวถึงธาตุ แต่ทรงแสดงธรรม ทรงตรัสรู้ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพื่อให้คนที่ได้ฟังเริ่มเข้าใจว่า ความจริงที่มี มีความมหัศจรรย์ ลึกล้ำ สุขุม ละเอียดยิ่ง ซึ่งต้องเข้าใจตามลำดับ เช่น เข้าใจว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามี แล้วจะปรากฏได้อย่างไรถ้าไม่มีเห็น เพราะฉะนั้น เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง แต่ต่างจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เริ่มเข้าใจ ให้เป็นความเข้าใจของตัวเองจริงๆ ก่อน โดยเวลาที่ทรงแสดงพระธรรม ทรงแสดงด้วยภาษาหนึ่ง ภาษามคธี ไม่ใช่ภาษาที่เราใช้ในประเทศไทย สำหรับคนไทย แต่เวลาคนไทยจะกล่าวถึงธรรม จะกล่าวด้วยภาษาอะไร ก็ต้องกล่าวด้วยภาษาที่คนไทยสามารถเข้าใจได้ ใช่ไหม เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ภาษาบาลีจะใช้คำว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่คนไทยรู้ขณะที่กำลังเห็นว่า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ปรากฏได้เพราะมีธาตุ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เพราะมีการเห็น ใช้คำว่า “การเห็น” สภาพเห็น ธาตุเห็น ทั้งหมดเป็นธรรม แต่เท่านี้หรือที่จะทำให้เข้าใจความจริงของธรรม ไม่พอ

    เพราะฉะนั้น จึงมีคำที่คุณคำปั่นกล่าวถึง คือคำว่า “จิต” ทำไมใช้คำนี้ เพราะเหตุว่าขณะที่กำลังเห็น แสดงให้เห็นว่า ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ก็มีธรรมซึ่งเกิดพร้อมกับจิต แต่ไม่ใช่จิต เป็นนามธรรมด้วยกัน เกิดพร้อมกัน ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น แต่เป็นธาตุที่ขณะใดที่จิตเกิดขึ้นกำลังเห็น จะต้องมีธาตุหรือธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต

    นี่เริ่มละเอียดขึ้นไหม จากคำว่า “เห็น” แล้วมีสิ่งที่ปรากฏ แล้วยังไม่ได้ใช้คำ แต่เมื่อใช้คำว่า “จิต” แสดงว่าต้องมีความหมาย คำนี้หมายความถึงสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเสียง เสียงมีหลายเสียง แต่เสียงก็ปรากฏหลากหลายต่างกัน เพราะมีธาตุที่กำลังได้ยินเสียงแต่ละเสียงซึ่งต่างๆ กัน เพราะธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นไม่ทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ก็แสดงความลึกขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่งว่า ขณะที่กำลังเห็นเป็นจิตที่เห็น เป็นใหญ่ เป็นประธาน ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏจะต่างกันไป เช่นแม้แต่สีเดียว สีเขียวอ่อน สีเขียวแก่ สีเขียวคล้ำมาก ใครรู้ ใครเห็น ถ้าไม่มีการเห็นแจ้งในลักษณะของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จะกล่าวได้ไหมว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นต่างกัน

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการสามารถรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เสียงมีตั้งหลายเสียง เสียงดนตรีมีมากมาย จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งเสียงแต่ละเสียง เสียงหนัก เสียงเบา เสียงอ่อนโยนหรือเสียงกระด้าง ทั้งหมดก็คือจิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ จิตมีหน้าที่อย่างเดียว เป็นธาตุที่มีจริงๆ ใครจะไม่ให้ธาตุนี้เกิดไม่ได้ อ่อนเกิดเป็นอ่อน หวานเกิดเป็นหวาน แข็งเกิดเป็นแข็ง ใครไปบันดาล แต่ว่าเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยก็เกิดเป็นอย่างนั้น ฉันใด นามธาตุ ใครจะไม่ให้มีในโลกนี้ก็ไม่ได้ เช่นเดียวกับรูปธาตุ ธาตุทุกอย่างเหมือนกัน เป็นเพียงธาตุที่ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น จะไม่ให้จิตเกิดขึ้นแล้วเห็น ได้ยิน เป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่าจิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

    แสดงว่าแม้จิตจะเกิดขึ้นก็ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิด สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิด ก็ไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพของนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเป็นสภาพนามธรรมที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิด และนามธรรมที่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต เป็นปัจจัยให้จิตเกิดหลากหลายมาก แต่ถึงจะหลากหลายอย่างไร ก็ต้องเกิดกับจิต เกิดในจิต จะไม่เกิดที่อื่น สภาพนั้นก็บัญญัติคำว่า เจตสิกะ หมายความถึงธรรมที่เกิดในจิต และเกิดกับจิต ไม่ไปเกิดที่อื่น และดับพร้อมจิต และยังรู้อารมณ์เดียวกับจิตด้วย

    เพราะฉะนั้น ความที่ธรรมลึกซึ้ง ก็คือว่าแม้จิตกำลังเห็นขณะนี้ ก็มีทั้งจิต และเจตสิกซึ่งนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตด้วย

    ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง อยู่ตรงนี้ ขณะนี้ ไม่ใช่ที่อื่น ไม่ใช่ต้องไปหาธรรมอื่นมารู้ เพราะเหตุว่าธรรมที่ยังไม่เกิด ใครทำให้เกิดได้ แต่ขณะนี้เห็นแล้ว เกิดแล้ว สามารถเข้าใจสิ่งที่มีแล้ว เกิดแล้วตามความเป็นจริงให้รู้ความจริงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริงของชีวิตทุกๆ ขณะ ไม่ว่าจะมีมานานแสนนานเท่าไร และต่อไปก็เป็นเช่นนี้ แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ถ้าปัญญาสามารถเข้าใจธรรมในขณะนี้ ต่อไปก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพื่ออนุเคราะห์ให้คนอื่นได้รู้ความจริง และดับทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าที่มีทุกข์ทั้งหลายมากบ้าง น้อยบ้าง ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนนี้ตอนที่ฟังคำบรรยายใหม่ๆ ท่านอาจารย์กล่าวว่า เห็นกับได้ยินเหมือนกับเกิดพร้อมกัน แต่ว่าเกิดกันคนละขณะ กว่าจะเข้าใจได้ว่า จริงๆ แล้วเป็นคนละขณะจิต ก็ใช้เวลาในการฟังเนิ่นนานกว่าจะเข้าใจได้ว่า เห็นก็ส่วนเห็น ได้ยินก็ส่วนได้ยิน และในขณะที่จิตเห็น ๑ ขณะ จะเห็นเป็นรูปร่างสัตว์บุคคล หรือเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง ก็มีคำถามที่จะกราบเรียนถามว่า จริงๆ แล้วจิตเห็น จิตได้ยิน หรือสภาพคิดนึกเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็น เป็นได้ยินหรือไม่

    ผู้ฟัง เห็น ไม่ใช่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ต่างกันหรือไม่

    ผู้ฟัง เห็นกับได้ยินต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะเห็นไม่ใช่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แต่เป็นธาตุรู้เหมือนกันหรือไม่

    ผู้ฟัง สิ่งนี้ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เห็น มีอะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ ความหมายว่าสิ่งนั้นปรากฏกับจิตเห็นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเวลาได้ยิน

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ สิ่งใดปรากฏให้จิตได้ยิน

    ผู้ฟัง เสียง

    ท่านอาจารย์ แล้วจิตเป็นสภาพที่รู้เสียงหรือไม่

    ผู้ฟัง จิตเป็นสภาพที่รู้เสียง

    ท่านอาจารย์ แล้วเวลาเห็น จิตเป็นสภาพที่รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเวลาคิดนึก จิตกำลังรู้เรื่องที่กำลังคิดหรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจสภาพรู้อยู่ดี เพราะยังเข้าใจว่า เป็นสภาพที่แตกต่างกัน แต่สภาพที่เป็นสภาพรู้ที่เหมือนกัน ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เห็นรู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ ได้ยินรู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้เสียงที่ปรากฏให้ได้ยิน ตอบท่านอาจารย์ได้หมด

    ท่านอาจารย์ ตอบได้หมดว่า จิตเป็นสภาพรู้ แล้วแต่ว่าจะรู้อะไรทางไหน แต่จิตจะไม่รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง จิตเกิดมาแล้วต้องรู้ สิ่งนี้ก็ตอบได้ แต่ว่าจริงๆ แล้วตอนที่จิตรู้สภาพนั้นจริงๆ เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เดี๋ยวนี้ เห็นปรากฏแล้ว แสดงว่าจิตกำลังเห็นจริงๆ ไม่มีใคร แต่จิตกำลังเห็นจริง เสียงปรากฏ จิตกำลังได้ยินจริงๆ คิด จิตกำลังคิดจริงๆ ไม่มีชื่อ เห็น ได้ยิน ก็มีธาตุหรือธรรมที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

    เพราะฉะนั้น กำลังเห็น กว่าจะรู้ลักษณะของเห็น ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรม จะมีขณะไหนบ้างไหมที่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม

    อ.วิชัย จริงๆ แล้วบุคคลที่ได้ยินได้ฟังก็สามารถเข้าใจส่วนที่เป็นขั้นการฟัง คือเข้าใจได้ว่า สภาพของนามธรรมเกิดขึ้นโดยเป็นสภาพรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ แต่ว่านามธรรมแต่ละประเภท เช่น จิตก็มีหลายประเภทตามสัมปยุตตธรรม คือจิตที่เกิดร่วมด้วยแตกต่างกันก็มี ตามอารมณ์ที่ปรากฏแตกต่างกันก็มี เพราะเหตุว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานโดยการรู้แจ้งอารมณ์ที่กำลังปรากฏ ขณะที่กล่าวอย่างนี้ ขณะนั้นพิจารณาถึงอะไร บางท่านก็พิจารณาถึงสิ่งที่ศึกษามาแล้ว คือนึกถึงว่า เคยศึกษาตอนนั้นตอนนี้ บางบุคคลเมื่อเข้าใจมากขึ้นก็จะพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมี เพราะเหตุว่าไม่ได้กล่าวถึงสิ่งอื่น แต่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีปรากฏอยู่ในขณะนี้ เพราะว่าธาตุที่กำลังเป็นใหญ่เป็นประธานในขณะนี้กำลังเห็น กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่ว่าจิตแต่ละประเภทต้องเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป จิตได้ยินก็เป็นสภาพที่รู้แจ้ง เป็นใหญ่รู้แจ้งเสียงที่กำลังปรากฏ สิ่งนี้ก็กำลังมี

    เพราะฉะนั้น การศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีลักษณะจริงๆ ไม่ใช่เพียงกล่าว และตอบตามที่เคยศึกษามาแล้ว แต่ขณะที่ได้ยิน พิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ว่า สภาพที่เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ขณะที่กล่าว คือความเข้าใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยการพิจารณาถึงลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นขึ้นอยู่กับความรู้คือปัญญา รู้แค่ไหน แม้กล่าวอยู่อย่างนี้ กล่าวอย่างเดียวกัน แต่ว่าความรู้ความเข้าใจของแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุว่าสะสมมาแตกต่างกัน การพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีก็เป็นปัจจัยที่ให้พิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ก็เป็นไปตามเหตุ และปัจจัย

    ผู้ฟัง ส่วนใหญ่ก็จะรู้อารมณ์ คือรู้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ชีวิตประจำวันอยู่กับอารมณ์ที่ปรากฏ จะไม่ค่อยเข้าใจในสภาพรู้อารมณ์นั้น

    อ.วิชัย สิ่งนี้ก็เป็นความคิดของเราที่คิดขึ้นว่า จากการได้ยินได้ฟังว่า สภาพรู้ ธาตุรู้คือรู้อารมณ์ต่างๆ แต่ขณะนี้เราไม่ได้สนใจขณะก่อนๆ เลย เราไม่ได้สนใจสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อาจจะคิดถึง แต่รู้ไหมว่า ขณะนั้นเป็นจิตที่กำลังคิดถึงว่า มีอารมณ์ต่างๆ กันในชีวิตประจำวัน แต่ในขณะนี้กำลังมี เพราะฉะนั้น เหตุปัจจัยที่กล่าวถึงขณะนี้บ่อยๆ เพื่อให้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่กำลังมีปรากฏอยู่ ที่ปัญญาพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ หรือแม้จะคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ก็พิจารณาถึงนามธรรมที่คิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นปกติอย่างนี้ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นที่จะน้อมพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้โดยตลอด

    ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์อธิบายให้ละเอียดขึ้นไปว่า ขณะเห็น ๑ ขณะ จะต้องอาศัยหลายๆ เหตุ หลายๆ ปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นเห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นแล้วรู้สึกอะไรหรือไม่

    ผู้ฟัง ขณะที่เห็น ก็ดูเหมือนพร้อมกับคิด มีจิตคิดด้วย

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เห็น รู้สึกอะไรหรือไม่ กำลังเห็น ไม่ได้พูดถึงคิด พูดถึงเห็นเดี๋ยวนี้รู้สึกอะไรหรือไม่ มีความรู้สึกอะไรหรือไม่

    ผู้ฟัง มีความรู้สึก

    ท่านอาจารย์ รู้สึกอะไร เคยเสียใจไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ เป็นความรู้สึกเสียใจหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เคยดีใจหรือไม่

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ดีใจ เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งหรือไม่

    ผู้ฟัง คนละอย่างแล้ว

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังเจ็บกาย เป็นความรู้สึกเจ็บหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ขณะที่สบายกาย เป็นความรู้สึกหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แล้วขณะที่ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ มีหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นมีความรู้สึกอะไรหรือไม่

    ผู้ฟัง รู้สึกเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ นี่คือความลึกซึ้งของธรรมที่กล่าวว่า ในขณะหนึ่งที่จิตเกิดขึ้นมีสภาพธรรมอะไรเกิดร่วมด้วย ถ้าเอ่ยชื่อของสภาพธรรมนั้นๆ โดยลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ปรากฏ เพียงจำชื่อ ใช่ไหม ผัสสะ สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ มนสิการ เป็นเพียงชื่อ แต่สิ่งที่สามารถปรากฏให้เริ่มเข้าใจได้ก็คือ ขณะใดก็ตามที่จิตเกิดต้องมีสภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง สภาพธรรมนั้นคือความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๕ ทาง ดีใจ เสียใจ เป็นทางใจ สุข ทุกข์เป็นทางกาย เฉยๆ เป็นได้ทั้งกาย และใจ นี่คือความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งไม่เคยรู้ แล้วเข้าใจว่า เป็นเราทั้งหมด ความรู้สึกก็เป็นเรา ดีใจก็เป็นเรา เสียใจก็เป็นเรา เจ็บก็เป็นเรา สบายก็เป็นเรา แต่ความจริงเป็นธรรมซึ่งเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็เกิดไม่ได้ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้เพียงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้ถึงปัจจัย คือสภาพธรรมที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น หรือแม้ไม่ใช่ในขณะเดียวกัน แต่เคยมีแล้วในอดีตที่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมนี้เกิดก็ได้

    ด้วยเหตุนี้การศึกษาพระธรรมเพื่อรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยรู้ถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรม เมื่อทรงตรัสรู้แล้วเพื่ออนุเคราะห์คนอื่นให้มีความเข้าใจถูกด้วย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ศึกษาเพียงชื่อ ศึกษาเพียงเรื่อง ศึกษาเพียงจำ ไม่ได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงที่ในชาติหนึ่งมีโอกาสได้ยินชื่อมาก พอตายไปก็ลืม เพราะเคยได้ยินภาษาไทย ชาติหน้าจะใช้ภาษาอะไร มีโอกาสจะนึกถึงภาษาไทยที่ใช้ไหมว่า ขณะนี้เห็นมีจริง มีโอกาสไหม ชาติก่อนใช้ภาษาอะไรก็ไม่ทราบ เคยจำได้ เคยรู้เรื่องบางคำที่อาจจะเคยได้ยินธรรม แต่ชาตินี้ก็นึกไม่ออก ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เคยได้ฟังธรรมในภาษาอะไรมาแล้ว แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อย ไม่ว่าจะในภาษาอะไรสามารถเข้าใจได้ เคยฟังภาษาบาลีมาแล้วได้ไหม ภาษามคธี ภาษาอะไรก็แล้วแต่ เคยไหมในสังสารวัฏฏ์ จำได้ไหม พูดได้ไหม เข้าใจไหม ไม่ได้ ทั้งๆ ที่จำมาแล้ว

    ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าสามารถเข้าใจธรรมในภาษานั้นๆ ไม่ว่าจะได้ยินในภาษาใด ก็ยังสามารถเข้าถึงความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ เพราะเคยเข้าใจมาแล้ว

    ผู้ฟัง อย่างจิตเห็นเกิดขึ้น มีเห็นจริงๆ แล้วความจริงของเห็นจริงๆ ยังไม่รู้จริงๆ ว่า เห็นจริงๆ เป็นอย่างไร เพราะความเคยชินที่เห็น เกิดเห็นอยู่เป็นประจำ แต่ไม่รู้ความจริงของเห็นจริงๆ หรือได้ยินจริงๆ คำว่า จริงตรงนี้ ยังไม่จริง

    ท่านอาจารย์ เห็นจริงหรือไม่

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ รู้ความจริงของเห็นหรือยัง

    ผู้ฟัง ไม่ได้รู้ความจริงของเห็นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ตอนนี้ยังรู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จะรู้ได้หรือไม่

    ผู้ฟัง จะรู้ได้

    ท่านอาจารย์ เมื่อไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องฟังให้เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นคำตอบทุกอาทิตย์

    ผู้ฟัง ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้น ขอเรียนถามอาจารย์วิชัยนิดหนึ่ง อย่างจิตเห็น ๑ ขณะ จะต้องอาศัยจิต เจตสิก และต้องอาศัยจักขุปสาทรูป อาศัยรูปทั้งสีให้เกิดขึ้น ขอให้ช่วยอธิบาย เพราะขณะนี้กำลังอยู่ในชั่วโมงพื้นฐานอภิธรรม ก็อยากให้ผู้มาใหม่ที่ชวนมาได้เข้าใจว่า จิตเห็นเกิดขึ้นต้องอาศัยจิต เจตสิกอะไร

    อ.วิชัย ก็เป็นพระปัญญาธิคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงแม้นามธรรมที่เกิดขณะหนึ่ง ไม่ใช่มีจิตอย่างเดียวที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่ว่า จิตที่เกิดขึ้นต้องมีเวทนา คือ ความรู้สึกเกิดร่วมด้วยทุกขณะจิตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง โสมนัสบ้าง โทมนัสบ้าง หรือว่าอุเบกขาบ้าง ก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในอารมณ์ที่ปรากฏในขณะนั้น ก็มีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ว่าขณะนั้นไม่ใช่มีเฉพาะจิตหรือเวทนา แต่ยังมีผัสสะ สัญญา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ และมนสิการ ซึ่งนามธรรมที่เกิดขึ้นต่างก็ต้องอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าจะเกิดลำพังอย่างเดียวไม่ได้ จิตก็ต้องอาศัยเวทนาที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น เวทนาก็อาศัยจิตเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ผัสสะก็ต้องอาศัยจิต อาศัยเวทนาที่เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น จิต เวทนา ก็ต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น นามธรรมที่เกิดขึ้นแต่ละประเภท ก็ต้องต่างอาศัยเป็นปัจจัยแก่กัน และกัน จะแยกกันไม่ได้ เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันก็ต้องเป็นปัจจัยแก่กัน และกัน เพราะฉะนั้น จิตเห็นขณะหนึ่งมีจิตเป็นใหญ่ เป็นประธานรู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ แล้วต้องมีเวทนา ความรู้สึก สัญญาต่างๆ ต่างก็เป็นปัจจัยแก่กัน และกัน และเกิดขึ้น แต่ที่กล่าวถึงนี้คือนามธรรม แต่นามธรรมที่เกิด ต้องรู้อารมณ์ที่ปรากฏ ถ้าไม่มีอารมณ์ที่ปรากฏ จิตจะเกิดได้ไหม นามธรรมจะเกิดได้ไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    20 มี.ค. 2567