พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 620


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๒๐

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ผู้ฟัง คือฟังธรรมแล้วก็มีความเข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ กำลังค่อยๆ บ่ายหน้าไปสู่ทางที่จะรู้ธรรม

    ผู้ฟัง จากเดิมเป็นเราเห็น คือจริงๆ เป็นสภาพเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง ถึงแม้ยังไม่ประจักษ์ลักษณะจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องประจักษ์ เพราะไม่ใช่คุณสุกัญญาประจักษ์ แต่เป็นปัญญาที่อบรมแล้ว นี่ยังไม่ได้บ่ายหน้า ค่อยๆ จะบ่ายหน้าไปสู่ลักษณะที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วจะให้ประจักษ์อย่างไร

    ผู้ฟัง แล้วการประพฤติปฏิบัติตาม จะเกิดด้วยเหตุ และปัจจัย

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจขณะนี้เป็นปัจจัย การที่จะถึงเฉพาะลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ด้วยความเห็นถูก จะมีไหม

    ผู้ฟัง มีไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นั่นคือความหมายของ ปฏิปัตติ

    ผู้ฟัง ปฏิปัตติกับประพฤติปฏิบัติ เหมือนกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้า ปฏิปัตติ คือ รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ถึงด้วยสติ และปัญญาที่ได้อบรมแล้ว

    ผู้ฟัง แต่ประพฤติปฏิบัติตามก็คือค่อยๆ บ่ายหน้า

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ทั้งหมดเป็นธรรม

    ผู้ฟัง รูปที่มีใจครองกับไม่มีใจครองจะต่างกันไหม เพราะจากการศึกษาธรรม รูปก็คือรูป

    ท่านอาจารย์ มีสมุฏฐานให้รูปเกิดไหม มีอะไรเป็นสมุฏฐานให้รูปเกิด

    ผู้ฟัง มีกรรม อุตุ จิต อาหาร

    ท่านอาจารย์ และรูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน

    ผู้ฟัง ไม่ได้เกิดข้างนอก รูปข้างนอกไม่มีกรรมเป็นสมุฏฐานได้ เพราะต้องเกิดกับรูปที่มีใจครองเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ นี่คือการตอบคำถาม รูปภายนอกไม่ได้เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน ไม่มีจิตเเน่นอน เพราะไม่ได้เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน

    ผู้ฟัง แต่ลักษณะของรูป อย่างไรก็คือรูป คือไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เปลี่ยนไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง รูปบางรูปมีสมุฏฐานให้เกิดหลายอย่าง

    ท่านอาจารย์ รูปหนึ่งที่เกิดต้องมีสมุฏฐานเดียว แต่ละรูปมีสมุฏฐานหนึ่ง รูปหนึ่งที่เกิดจะมี ๒ สมุฏฐานไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่ประเภทที่เกิด

    ท่านอาจารย์ อย่างมหาภูตรูปเกิดเพราะกรรมก็มี เกิดเพราะจิตก็มี เกิดเพราะอุตุก็มี เกิดเพราะอาหารก็มี แต่รูปที่เกิดเพราะกรรมไม่ได้มีจิตเป็นสมุฏฐาน หรืออุตุเป็นสมุฏฐาน หรืออาหารเป็นสมุฏฐานในขณะนั้นเลย

    ผู้ฟัง อย่างธาตุดินที่มีสมุฏฐานจากจิต หรือจากกรรม จะต่างกันไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ธาตุดินเป็นธาตุดิน

    ผู้ฟัง ก็ไม่ต่างกัน แม้เกิดจากอุตุก็ไม่ต่าง สถาพของดินก็คือ แข็ง หรืออ่อน เพราะฉะนั้น สภาพของดินไม่ว่าจะอยู่ภายนอก หรือภายในก็มีลักษณะเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ควรถือว่า เป็นเรา แข็งที่ตัวก็เหมือนแข็งข้างนอก

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นธาตุลม ธาตุไฟ หรือธาตุน้ำ ไม่ว่าเกิดภายนอก หรือภายในก็เช่นเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ ลักษณะไม่เปลี่ยน

    ผู้ฟัง เราต้องเข้าใจอย่างไรถึงจะคิดได้ว่า สภาพเหล่านั้นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ธรรมมี แต่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม เปลี่ยนธรรมที่มีที่เกิดแล้วเพราะปัจจัยต่างๆ ให้เป็นอื่นไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็มี สิ่งนั้นเกิดขึ้นปรากฏว่า มีจริงๆ อย่างเสียง มีจริงๆ ปรากฏเมื่อจิตได้ยิน เพราะฉะนั้น เสียงเป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เสียงเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพิ่งรู้ หรือรู้มาก่อนแล้วว่า เสียงเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เพิ่งรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แม้เสียงเป็นธรรม ก็ไม่เคยรู้ว่า เสียงเป็นธรรม ทั้งๆ ที่เสียงก็เป็นธรรม เห็นเป็นธรรม เมื่อไร

    ผู้ฟัง ก็เพิ่งทราบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แม้มีเห็นนานแสนนาน กี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่รู้ว่า เห็นเป็นธรรม เป็นธรรมหมายความว่าไม่ใช่ใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เกิดแล้วก็ดับไป สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดที่จะไม่ดับไม่มี ทุกอย่างเป็นธรรม หลากหลายมาก แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นธาตุแต่ละชนิดเกิดเมื่อมีปัจจัยแล้วดับไปเลย ในสังสารวัฏไม่กลับมาอีก

    ผู้ฟัง อย่างนี้ก็หมายความว่าจากการศึกษา เพื่อมีสติปัญญาเกิด ก็รู้ตามที่ได้ศึกษามา

    ท่านอาจารย์ ก็ยังไม่ถึงเลย ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจความเป็นจริงว่า เป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งกำลังปรากฏ และไม่สามารถที่จะรู้ถึงความลึกซึ้งของธรรมใดๆ ได้ ถ้าขณะนี้ไม่เข้าใจว่า ความเข้าใจธรรมมี ๓ ขั้น ขั้นปริยัติ รอบรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้หมายความว่า เรารู้พระไตรปิฎก และอรรถกถาทั้งหมดด้วยความเข้าใจทั้งอรรถ พยัญชนะ และโวหาร แต่หมายความว่า แม้แต่เพียงคำเดียวที่ส่องถึงลักษณะที่มีจริงๆ ของธรรม แม้แต่จะเข้าใจว่า เป็นธรรมซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดแล้วดับแล้วอยู่ทุกขณะ ก็ยากจะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น การฟังก็เพื่อละความไม่รู้ แต่บางทีเวลาได้ยินอะไรก็อยากเข้าใจให้หมด ทุกอย่าง คิดว่าจะเข้าใจได้โดยเพียงการฟัง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่คำว่า “ธรรม” ฟังแล้วหลายครั้ง รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เมื่อฟัง แล้วก็มีลักษณะของสภาพธรรมกำลังปรากฏ เช่น เห็นขณะนี้ก็มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น จะได้ประโยชน์จากการฟัง ก็เมื่อขณะนั้นฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น แล้วเริ่มเข้าใจความจริง ลักษณะจริงๆ ที่เป็นธรรมของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังได้ฟัง ซึ่งก็ยากมากเพราะสะสมความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนานมาก บางสูตรเราอาจจะเข้าใจตามนั้น เช่น สูตรที่กล่าวว่า พอเห็นน้ำในทะเลหรือมหาสมุทร พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า น้ำในทะเลหรือมหาสมุทรยังน้อยกว่าน้ำตาของคนในสังสารวัฏ แค่น้ำตา วันนี้มีน้ำตาหรือยัง ยังไม่มี แล้วถ้ามีจะเป็นหยดหนึ่งๆ กว่าจะเต็มมหาสมุทรที่มาก

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีแล้วไม่รู้มากกว่า ก็จะไปคอยหาน้ำตาในมหาสมุทร แล้วก็คิดแต่เรื่องอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นโวหารเทศนาให้เห็นความจริงว่า สังสารวัฏยาวนานด้วยไม่รู้ความจริง ทั้งๆ ที่ความจริงคือเป็นธรรมเกิด แล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครบังคับได้เลย แต่ก็เข้าใจว่า เราเกิด เราตาย โดยไม่รู้เลยว่า เป็นธรรมทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะเป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ไม่เที่ยง อย่างเร็วสุดจะประมาณได้ ปรากฏพร้อมนิมิต ไม่ว่าจะเห็น ขณะนี้ก็เหมือนเห็นคนทันที แสดงว่า ความเข้าใจของเรายังห่างไกลต่อการเข้าถึงแม้ความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งสามารถเริ่มเข้าใจได้ แต่ก็ติดในเรื่องราว และคิดว่าเราจะไปสามารถรู้ได้ว่า ขณะนี้มหาภูตรูป อ่อน หรือแข็ง เกิดเพราะกรรม หรือเกิดเพราะจิต หรือเกิดเพราะอุตุ โดยไม่ได้คิดว่า ที่ทรงแสดงความละเอียดถึงอย่างนั้น เพื่อให้เข้าใจในความเป็นอนัตตาจริงๆ ของธรรมซึ่งแต่ละลักษณะมีจริง เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แต่ละอย่างๆ ไม่ต้องไปคิดมากมาย สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็เป็นอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ขณะนี้ก็เป็นอย่างนี้ แต่ที่แล้วมาเข้าใจถูกในลักษณะชองสภาพธรรม มีการได้ยินได้ฟังแค่ไหน ชาตินี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ปัญญาทันทีที่ได้ฟังเรื่องธรรม ทั้งๆ ที่ธรรมกำลังปรากฏ สามารถที่เข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรม ซึ่งเฉพาะอย่างๆ ปรากฏได้ทีละอย่าง ไม่พร้อมกันเลย เกิดปรากฏแล้วก็ดับไป

    ประโยชน์ก็คือค่อยๆ เข้าใจมั่นคงว่า เป็นธรรม และเป็นอนัตตา และไม่เที่ยง บางทีได้ยินคำว่า “ธรรม” และได้ยินคำว่า “เป็นอนัตตา” พอลืมคำว่า “ไม่เที่ยง” อยากได้ธรรมนั้น อยากได้ธรรมนี้ อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รูป เสียง กลิ่น รส อะไรๆ ลืมว่าเพียงปรากฏแล้วก็หมดไปแต่ละทาง เช่น อยากได้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก่อนจะมีดอกไม้บูชาพระ อยากได้ดอกไม้ไหม กำลังเห็นดอกไม้ที่บูชาพระบรมสารีริกธาตุ สวยงามดี พอใจ แต่ไม่เข้าใจถึงความไม่เที่ยงของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นซึ่งเกิดแล้วดับจริงๆ

    เพราะฉะนั้น การที่ทรงแสดงความละเอียด คือเราเคยเห็น เคยพอใจในทุกสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมากมาย โดยไม่รู้ความจริง มีกิเลส ก็ไม่รู้ว่ามีกิเลส สำหรับบางคนมีอกุศลมาก ก็ไม่รู้ ไม่ใช่ผู้ประเสริฐ หรือผู้ที่เป็นกุศล ทำบุญทำทาน แต่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม เข้าใจว่าเที่ยง เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่ใช่ผู้ประเสริฐ แต่ว่าใครก็ตามที่ได้มีบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน ต้องใช้คำนี้จริงๆ ที่ทำให้ในอดีตจะเคยเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์ หรือจะได้เคยฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ณ พระวิหารต่างๆ เหมือนอย่างข้อความเมื่อครู่ ถ้าเราจะลืมเรื่องห้องนี้ แล้วได้ยินเสียงที่กล่าวถึงการสนทนาธรรมของท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ เหมือนอยู่ที่นั่น ได้ฟัง ๒ ท่านสนทนากัน ก็เป็นเสียงแต่คนละภาษาแน่ แต่อรรถความหมายกล่าวถึงเรื่องอย่างนี้ พอจบก็ไม่มีแล้ว ความคิดที่เหมือนได้ยินทั้ง ๒ ท่านสนทนาธรรมก็ไม่มี เพราะเป็นเพียงเสียงที่ปรากฏ แล้วแต่ใครจะคิดอะไร เรื่องของความคิดมีมากมายมหาศาล แต่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏ หรือความคิดต่างๆ ก็เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไปชั่วขณะที่แสนสั้น ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะทำให้มั่นคง ปัญญา และสังขารขันธ์ในขณะนี้ที่เริ่มเข้าใจก็จะใช้คำว่าน้อมไป หรือบ่ายหน้าไปสู่ความจริงซึ่งขณะนี้กำลังเป็นความจริงอย่างนี้ แต่ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมาก จึงใช้คำว่า “จิรกาลภาวนา” อุปมาเหมือนการจับด้ามมีด ด้ามมีดนั้นจะใหญ่สักแค่ไหน เริ่มได้เลย ลองดูว่า ก่อนตายด้ามมีดจะสึกไหม เพียงวัตถุ แต่เมื่อวานนี้ก็พูดเรื่องขยะ มากไหม ยังไม่เห็นขยะในใจ เห็นขยะที่บ้านก่อนก็ได้ ทุกบ้านมีขยะ แต่เป็นเพียงรูป เอาไปทิ้งได้ แต่อกุศลทั้งหลายเป็นขยะในใจ อะไรจะเอาออกไปทิ้งได้ ถ้าจะอุปมาน้ำในมหาสมุทรก็คือน้ำตาในสังสารวัฏที่ยาวนานมาก แล้วขยะในมหาสมุทรก็เช่นเดียวกัน หรือจะพูดถึงภูเขาซึ่งสูงมาก ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีที่เก็บถ้าเป็นรูปธรรม แต่เพราะเป็นนามธรรม ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นธาตุที่สะสมสิ่งที่เคยเกิดแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดอีกต่อไป จึงใช้คำว่า “สังสารวัฏ” หมายความถึงการเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย ในอดีตเป็นอย่างนี้ อนาคตก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้ายังคงมีปัจจัยให้สังสารวัฏเกิดขึ้นเป็นไป ก็ต้องเป็นไปอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น การฟัง เราสามารถจะรู้ได้แค่ไหน มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ไปคิดถึงเรื่องสมุฏฐานต่างๆ แต่ไม่เข้าใจว่า ทรงแสดงไว้เพื่อให้เห็นว่า ธรรมหลากหลายมาก ไม่มีใครบังคับบัญชาเลย แม้แต่กรรมก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิด ให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมเกิด ซึ่งใช้คำว่า “วิปาก” เป็นผลของกรรม แสดงให้เห็นว่า เมื่อกรรมมีแล้วเป็นปัจจัยให้ผลของกรรมเกิด โดยที่ใครก็ทำไม่ได้ จิตก็ทำไม่ได้ อุตุ อากาศ วิชาการต่างๆ ก็ไม่สามารถทำให้จิตหรือวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดได้ แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วก็จะเห็นได้ว่า กรรมที่ได้กระทำแล้วสามารถทำให้สิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดได้ เพราะเหตุว่าชาติก่อนเราอยู่ที่ไหน และเดี๋ยวนี้ปฏิสนธิจิตเกิดที่นี่ มาอย่างไร ไม่ต้องอาศัยพาหนะใดๆ เลย แรงกรรมสามารถทำให้เกิดแล้วเป็นอะไรต่อไปอีก เพราะเหตุว่าแม้แต่เกิดชาตินี้ก็ประมวลมาซึ่งกรรมที่มีแล้วที่ยังไม่ได้ให้ผล ก็สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดผลได้ เมื่อมีปัจจัยที่สมควร

    เพราะฉะนั้น แสดงความเป็นอนัตตาเพื่อให้สามารถละความไม่รู้ เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ เพียงแค่ว่า เป็นธรรม ยังไม่ต้องไปถึงรูปเกิดจากสมุฏฐานอะไร แต่การศึกษาธรรมที่จะทำให้เข้าใจจริงๆ ก็คือศึกษาสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏให้เข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่อ่านพบในตำรา แล้วสงสัยไม่รู้จบ เพราะไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะฟังข้อความต่างๆ ในพระไตรปิฎก ตามเหตุตามผลที่ทรงแสดงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวงก็เพียงให้เข้าใจขั้นความเห็นถูกในขณะที่ฟัง รู้ว่าเป็นธรรม แต่เดี๋ยวก็ลืม ฟังเท่าไรก็ยังไม่พอ แต่รู้จุดประสงค์ว่า ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น จะมีคำถามมากเพื่อทดสอบว่า ที่ฟังมาแล้วเริ่มละคลายการยึดถือสภาพธรรม เพราะเข้าใจขึ้นหรือไม่ ทุกคำถามก็ถามสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้

    ถามว่าเห็นขณะนี้แล้วก็มีได้ยินด้วย เห็นกับได้ยินรู้จักกันไหม เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีก และความจริงก็ห่างกันมากด้วย เห็นต้องอาศัยจักขุปสาท ที่อยู่กลางตา เป็นรูปที่มองไม่เห็น แต่เป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษสามารถกระทบกับสิ่งที่สามารถกระทบได้ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ เป็นสิ่งเดียวที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท แต่ก็ยังไม่ปรากฏ ถ้าจิตเห็นไม่เกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้จึงปรากฏได้ว่า มีจริงๆ กำลังปรากฏ แต่ชั่วคราวมาก คือ ปรากฏแล้วก็ดับไป ทุกขณะเป็นอย่างนี้ที่แสนเร็ว กว่าจะถึงทางหู เสียงปรากฏ เสียงไม่ได้อาศัยจักขุปสาท เสียงต้องกระทบรูปที่สามารถกระทบเสียงได้ คือ โสตปสาทที่อยู่กลางหู มองไม่เห็นแต่มี เพราะฉะนั้น ในขณะที่เสียงปรากฏ ก็รู้ได้ว่า เพราะมีโสตปสาท และมีเสียงกระทบ และจิตได้ยินเกิดขึ้นเมื่อไร เสียงจึงปรากฏว่า มีเสียงจริงๆ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ทั้งจิตได้ยิน และจิตเห็น ไม่ได้รู้จักกันเลย เป็นธาตุที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก ทุกๆ ขณะเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อไม่รู้ การจำ ไม่ว่าสิ่งใดปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมกันเป็นเราอยู่ในโลก โดยที่ไม่รู้จักโลก แต่เข้าใจว่า ขณะนี้เกิดที่โลกนี้ อยู่ในโลกนี้ เห็นคนในโลกนี้ รู้เรื่องของโลกนี้ แต่โลกคือ ๑ ขณะจิต จะเกิดที่ไหนก็ตามแต่เป็นโลก เพราะเหตุว่ามีการเกิดขึ้นแล้วดับไป

    เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เป็นจริงขณะนี้อย่างนี้ จนกว่าจะเข้าใจ และละคลายการยึดถือสภาพธรรม แม้ในขั้นการฟังเพื่อละความไม่รู้ซึ่งเกิดจากไม่เคยฟังเท่านั้น แต่ยังไม่ถึงลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ

    ผู้ฟัง ฟังแล้วไพเราะ อย่างน้อยก็ไม่เสียชาติเกิดที่ได้ฟัง แม้เป็นเพียงปัญญาขั้นฟัง ถ้าเทียบกับบุคคล ๔ จำพวก ก็คือไม่รู้ ขั้นฟังเข้าใจว่า มีขยะมากมาย ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ คิดว่าเป็นคนดี

    ท่านอาจารย์ แล้วขยะเน่า หรือยัง

    ผู้ฟัง เน่าแล้ว พิการซ้ำซ้อน

    ท่านอาจารย์ หมักหมมจนมีกลิ่น แต่เป็นนามธรรมก็เลยปลอดภัย ไม่ได้กลิ่นของขยะที่เป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง ก็ทราบว่าปัญญาน้อยจนเหมือนเด็กพิการซ้ำซ้อน ท่านอาจารย์ก็เหมือนหมอที่มีเมตตาพร่ำสอนพวกเรา ก็คิดว่าขั้นฟังกว่าจะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเป็นจิรกาลภาวนา

    ท่านอาจารย์ แล้วทราบไหมว่า ทำไมถึงถามว่า จิตเห็นกับจิตได้ยินรู้จักกัน หรือไม่ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในโลกของความจริงจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ จะรู้จักใครที่ไหน เกิดขึ้นเห็น พอเห็นแล้วก็ดับไป ไม่มีทางที่จะรู้จักกับจิตได้ยินได้

    เพราะฉะนั้น ในโลกของสัจจธรรม ความจริงแท้จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ เป็นโลกหนึ่งๆ ถ้าไม่มีจิตเกิด ไม่มีโลก ไม่มีการรู้สิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ว่าโลกที่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก ถึงเร็วอย่างไร โลกนั้นก็ดับแล้วไม่กลับมาอีก โลกใดที่เกิดแล้วก็ดับแล้ว และไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ความจริงจะต่างกับสิ่งที่กำลังปรากฏเหมือนอย่างที่เราเห็นในขณะนี้ไหม มีคนในห้องนี้ มีดอกไม้ มีคน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ นั่นไม่ใช่จิตที่เกิดทีละ ๑ ขณะ และมีสิ่งที่ปรากฏกับจิตนั้นเพียง ๑ อย่าง ยังไม่ปรากฏซ้ำจนเป็นสัณฐานต่างๆ หรือเป็นเรื่องราวต่างๆ

    เพราะฉะนั้น ทุกคนเข้าใจว่า มีเราอยู่ในโลก ๑ เรา มี ๒ อยู่ในโลก มี แต่ตามความเป็นจริง จิตหนึ่งคือโลกหนึ่ง ปะปนกันไม่ได้เลย เกี่ยวข้องกันไม่ได้เลย เมื่อเกิดขึ้น จากการสืบต่อของสังสารวัฏในอดีตจนถึงขณะนี้ ดับแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ จนถึง ณ ขณะนี้แล้วต่อไปข้างหน้า ก็เป็นแต่ละโลก เราคิดว่า โลกนี้โลกเดียวยาวตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ก็ไม่ใช่ เข้าใจว่าเป็นโลกเดียว เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ไม่ใช่เลย ความจริงเป็นธาตุซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็สืบต่อ

    เพราะฉะนั้น ถ้าปรากฏความจริงก็จะทำให้สามารถละคลายความเข้าใจผิดที่ยึดถือธรรมว่าเป็นเรา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    11 มิ.ย. 2567