พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 621


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๒๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ เมื่อเกิดขึ้น จากการสืบต่อของสังสารวัฏในอดีตจนถึงขณะนี้ ดับแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ จนถึง ณ ขณะนี้แล้วต่อไปข้างหน้า ก็เป็นแต่ละโลก เราคิดว่า โลกนี้โลกเดียวยาวตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ก็ไม่ใช่ เข้าใจว่าเป็นโลกเดียว เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ไม่ใช่เลย ความจริงเป็นธาตุซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็สืบต่อ

    เพราะฉะนั้น ถ้าปรากฏความจริงก็จะทำให้สามารถละคลายความเข้าใจผิดที่ยึดถือธรรมว่าเป็นเรา

    ผู้ฟัง เราจะรู้ไหมว่า ปัญญาที่จะรู้ว่า ขณะนี้เห็นเกิดขึ้น หรือว่าสภาพวัณรูปที่เห็นยังไม่เป็นใครก็ตาม สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราถึงสภาพธรรมตรงนั้น อันนั้นคือปัญญาใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถ้าถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสติ และสัมปชัญญะ ก็คือปฏิปัตติ ไม่ใช่ปริยัติ

    ผู้ฟัง นั่นคือปฏิปัตติ ปัญญา

    ท่านอาจารย์ สามารถรู้ลักษณะที่เป็นธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่เรา ด้วยสติสัมปชัญญะที่ได้อบรมแล้ว

    ผู้ฟัง อาจารย์อาจจะย้อนถามผมว่า อันนั้นคุณวีระเห็นหรือไม่ หรือรู้หรือไม่ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ อันนี้หมายความว่า การฟังแล้วเข้าใจสามารถรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ และได้ฟังว่า สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เพราะว่าเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ของใครด้วย เกิดแล้วก็ดับ ในขณะที่ฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นความเข้าใจขั้นปริยัติ แต่ยังไม่ถึงการรู้ลักษณะที่เป็นธรรมในขณะที่กำลังเห็น

    ผู้ฟัง ขณะนั้นเข้าใจขั้นปริยัติ หรือเข้าใจขั้นการฟังเรื่องราวว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา แล้วขณะที่คิดนึกถึงเรื่องราวนั้นเป็นปัญญาขั้นคิดนึก หรือพิจารณาถึงเรื่องราวนั้น แต่พอท่านอาจารย์พูดถึงเข้าถึงสภาพธรรมว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นเรื่องของปัญญาขั้นภาวนา ตรงนั้นที่เกิดรู้ต่างกับขณะที่พิจารณาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ส่วนใหญ่เราจะไม่รู้อะไร ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เช่น เราฟังว่า กุศลจิตที่เป็นไปในทาน ขณะที่คิดหรือให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น ขณะนั้นเพราะกุศลจิตเกิด ถ้ากุศลจิตในการให้ไม่เกิด การให้ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ไม่ใช่รูปที่ให้ แต่เป็นจิตที่เป็นกุศลคิดจะให้ในขณะนั้น ขณะนั้นก็มีสติ และโสภณเจตสิกอื่นๆ เกิดร่วมด้วย ใครรู้ ไม่มีใครรู้ แต่รู้ตามที่ได้ฟังว่า ขณะนั้นอกุศลจิตจะไม่เกิดเพราะมีโสภณเจตสิกเกิดพร้อมกัน ที่เป็นทั้งศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ขาดโสภณเจตสิกหนึ่งเจตสิกใดในโสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ประเภทไม่ได้ เกิดแล้วโดยไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟัง จะไม่รู้จักธรรมสักอย่างแม้ว่ามีธรรม ขณะที่กำลังเข้าใจก็เป็นสภาพของความเห็นถูก ความเข้าใจถูกซึ่งเป็นปัญญา ต้องมีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ แต่ก็ไม่รู้ลักษณะที่เป็นธรรมใดๆ เลย เพราะกำลังฟังเรื่องของธรรม จนกว่าวันนี้คุณวีระกระทบแข็งกี่ครั้ง

    ผู้ฟัง นับไม่ถ้วน

    ท่านอาจารย์ กระทบแล้วรู้เฉพาะลักษณะแข็งว่า เป็นธรรมอย่างหนึ่งหรือยัง

    ผู้ฟัง ขณะนี้ก็มีลักษณะแข็งเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ วันนี้ทั้งหมดที่ว่ากระทบแข็งกี่ครั้ง กระทบมาแล้วตั้งแต่ตื่น ที่นอน หมอน แปรงสีฟัน จาน ช้อนส้อม โต๊ะ เก้าอี้ รองเท้า ทุกอย่างแข็ง แต่ขณะที่แข็งนั้นปรากฏรู้เฉพาะลักษณะแข็งขณะนั้นว่า เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แม้ไม่ต้องพูดเลย แต่กำลังรู้เฉพาะธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีลักษณะปรากฏให้รู้ความเป็นธรรมอย่างหนึ่ง หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็คือเพียงฟังเรื่องแข็ง แม้เดี๋ยวนี้ก็มีแข็ง แต่จะเป็นปัจจัยให้รู้ลักษณะของแข็งธรรมดา ปกติ ปัญญาที่เป็นสติสัมปชัญญะ ที่เป็นสติปัฏฐานที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ต้องรู้ลักษณะตามปกติ ตามความเป็นจริงที่เกิดแล้ว สิ่งที่ยังไม่เกิด รู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่ทันจะรู้เพราะยังไม่ได้ฟัง เเละไม่เข้าใจ หรือฟังเข้าใจแล้วก็ลืม จึงใช้คำว่า หลงลืมสติ เพราะสติไม่เกิด แต่ถ้าสติเกิด จะเมื่อไรก็ตาม ไม่ใช่ไปบังคับ หรือไปพยายาม แต่จะมีการรู้เฉพาะลักษณะที่เกิดแล้วปรากฏ

    อย่างแข็งเวลาที่กระทบ อาบน้ำจะเย็นบ้าง แข็งบ้าง ขณะนั้นลักษณะแต่ละอย่างที่ปรากฏแล้วก็หมดไปเลย อาบน้ำเสร็จแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเข้าใจอะไร แต่ถ้าขณะนั้นจะมีการรู้เฉพาะลักษณะหนึ่งตามธรรมดา ขณะนี้ไม่ได้อาบน้ำ เดี๋ยวนี้กำลังนั่ง มีทั้งเห็น มีทั้งได้ยิน และมีแข็งด้วย และแข็งที่กำลังปรากฏจริงๆ เมื่อครู่นี้รู้หรือไม่ หรือฟังเรื่องแข็ง ฟังเรื่องเห็น ฟังเรื่องอื่น แต่ไม่ได้รู้เฉพาะลักษณะของแข็ง ทั้งๆ ที่แข็งนั้นก็ปรากฏ แต่แข็งปรากฏกับกายวิญญาณ จิตที่รู้แข็งโดยอาศัยกายปสาทเกิดขึ้นรู้แข็งแล้วดับ

    เพราะฉะนั้น แข็งขณะนี้ที่ปรากฏ มีจิตที่รู้แข็งเกิดแล้วดับๆ ๆ แต่ถ้าขณะนั้นเข้าใจขั้นฟัง เกิดรู้ตรงแข็ง ไม่มีอย่างอื่นเลย เริ่มเข้าใจว่า แข็งเป็นธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า เป็นธรรม ไม่รู้จักใครเลย รู้แข็งก็ไม่ใช่ไปรู้จักกับเห็น หรือได้ยิน เพราะขณะนั้นเป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้เฉพาะแข็งแล้วก็ดับไป จึงรู้ความต่างขณะที่ฟังเรื่องแข็ง และขณะที่แข็งปรากฏกับกายวิญญาณ แล้วเวลาที่แข็งปรากฏกับสติสัมปชัญญะ

    ผู้ฟัง อย่างขณะนี้เวลามานั่งฟังข้างใน รู้สึกจะตั้งใจฟังมากกว่าอยู่นอกห้องพอฟังเเล้ว มีการระลึกแข็งที่มีปรากฏจริงๆ เรื่องแข็งก็ฟังมานานแล้ว ขณะนี้โอกาสจะระลึกถึงแข็งก็มีบ้างสลับการฟัง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่า คุณวีระตอบเองว่า มีการระลึกรู้ลักษณะของแข็งบ้าง ซึ่งสลับกัน แต่ก่อนไม่เคยพูดอย่างนี้

    ผู้ฟัง ก็หมายความว่า ขณะนั้นมีสติระลึกรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคุณวีระ จะรู้ความต่างของการฟังเรื่องแข็ง กับการที่แข็งปรากฏ ไม่เหมือนที่ปรากฏก่อนๆ คือปรากฏแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้รู้ตรงแข็ง แต่เมื่อครู่นี้แข็งก็ปรากฏ และรู้แข็งบ้าง ไม่ใช่ตลอดไป เพราะมีอย่างอื่นบ้าง แต่แข็งที่กำลังปรากฏกับสติเกิดแล้วโดยน้อยมาก เพียงเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าขณะนั้นไม่ได้รู้เฉพาะอื่น ไม่ได้รู้เฉพาะเห็น ไม่ใช่รู้เฉพาะได้ยิน ไม่ใช่รู้เฉพาะเสียง ไม่ใช่รู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่รู้เฉพาะแข็ง

    นั่นคือความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด หรือไม่เกิด แต่บังคับบัญชาไม่ได้ จะคอย จะพยายาม จะทำ เสียเวลา เพราะเหตุว่าด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นเราทำ ไม่ใช่การเห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่เคยรู้แข็งแต่เกิดรู้บ้าง ซึ่งต่างกับขณะซึ่งไม่เคยรู้เลย และเพียงทางเดียว ซึ่งมีตั้งหลายทาง

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นแต่ละทางๆ ด้วยความอดทน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่ใช่ให้ใครทำอะไร เพราะไม่มีใครจะทำอะไร แต่สภาพธรรมเกิดแล้วทั้งนั้นที่ปรากฏ ถ้าไม่เกิด ปรากฏไม่ได้ เพราะไม่ได้เกิดจะปรากฏได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏแล้วอย่างหนึ่งอย่างใด สามารถที่จะรู้เฉพาะลักษณะนั้นเมื่อไรก็ได้ เมื่อมีปัจจัย คือ บ่ายหน้าไปสู่การที่จะรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ

    วันนี้คุณวีระเห็นอะไร

    ผู้ฟัง วันนี้เห็นวัณณรูป

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยรู้วัณณะ ไม่เคยได้ยินคำนี้ จะเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นรูปร่างห้อง รูปร่างคนที่รู้จักบ้าง หรือตรามูลนิธิ

    ท่านอาจารย์ นั่นอะไรเห็น คุณวีระเห็น หรือจักขุวิญญาณเห็น

    ผู้ฟัง ขณะนั้นวีระเห็น

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงไม่มีคุณวีระ ถ้าไม่มีจิตเห็น เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริง คือ จิตเห็น ขณะนั้นธรรมดาๆ ทุกคนเห็น ต้องเป็นธรรมดา ต้องเป็นปกติ ผิดปกติไม่ได้ ขณะนั้นเห็นคือจักขุวิญญาณ แต่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่จะเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ เดี๋ยวนี้เองเป็นธาตุ หรือธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เห็นไหม หนทางที่จะไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ก็ไปเปลี่ยนลักษณะของธาตุชนิดนั้นไม่ได้ ธาตุชนิดนั้นก็ยังคงเป็นเพียงธาตุหนึ่งเท่านั้นในบรรดาธาตุทั้งหลายที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เมื่อมีจักขุปสาทรูปด้วย ถ้าไม่มีจักขุปสาทรูป สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ ปรากฏให้เห็นไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น วันนี้ตั้งแต่เช้าคุณวีระเห็นอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง วีระก็คงไม่เห็น เพราะเป็นจักขุวิญญาณ

    ท่านอาจารย์ ถามถึงคุณวีระ ไม่ได้ถามถึงจักขุวิญญาณ แต่วันนี้ตั้งแต่เช้าคุณวีระเห็นอะไรบ้าง เห็นคุณกุลวิไลไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นตั้งแต่เช้า เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ รู้ไหมว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    ผู้ฟัง ตอนนั้นไม่ได้คิดเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่รู้จักธรรมที่เป็นวัณณ ที่ใช้คำว่า "วัณณ" ตั้งแต่เกิดจนตาย จะเป็นภาษาอะไรก็ตามแต่ จะเห็น ได้ยิน จะสุข จะทุกข์ จะคิด จะนึก ไม่รู้จักธรรมเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ขณะที่เห็น ฟังแล้วพยายามเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ เราไม่ต้องพยายามทำ พยายามทำได้อย่างไร เอาอะไรมาพยายาม ธรรมทั้งหมดเลย จะเข้าใจ ไม่เข้าใจ กำลังเริ่มเข้าใจ ทั้งหมดเป็นธรรม ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด ถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีอะไร แต่ไม่เข้าใจว่า ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ใช่เราทำความพยายาม หรือทำความเข้าใจ ไม่ต้องทำแต่เข้าใจสิ่งที่มี

    ผู้ฟัง และขณะที่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีปัญญา หรือมีปัญญาน้อยๆ ขณะนั้นก็เป็นตัวตนที่ทำอยู่

    ท่านอาจารย์ ใครไม่มีความเห็นผิดว่า เป็นตัวตน มีไหม ในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น ต้องมี แต่ไม่ใช่ใครเลย เป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็สามารถรู้ได้ว่า ฟังธรรม เข้าใจธรรมแค่ไหน ระดับไหน ลืมบ่อยไหม บางทียังไม่ทันออกจากห้องก็ลืมแล้ว บางคนบอกว่า ฟังธรรมพอออกจากห้องก็ลืม แต่ยังไม่ทันออกไปไหนก็ลืมว่า ขณะที่กำลังเห็นเป็นธาตุ หรือธรรมหนึ่งเท่านั้นที่สามารถปรากฏให้เห็นได้

    ผู้ฟัง ขณะที่ท่านอาจารย์พูดถึงความรู้ที่เข้าไปถึงว่า เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏให้เห็นได้ ขณะนี้ที่มีบางช่วงเวลาที่ระลึกได้ของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แม้ขณะที่กำลังฟังขณะนี้ ขณะนั้นเป็นปัญญาขั้นภาวนา หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ภาวนาคืออะไร

    ผู้ฟัง ก็เมื่อครู่พูดถึงปฏิปัตติ

    ท่านอาจารย์ คืออบรม ขณะนี้ที่ได้ยินเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้มีจริงๆ เป็นธรรม แต่ยังไม่รู้ว่า เห็นเป็นธรรม ลักษณะที่เป็นธรรมต้องเป็นธาตุรู้ ได้ยินคำว่า “ธาตุรู้” ก็เข้าใจความหมาย แต่ธาตุรู้ยังไม่ได้ปรากฏสภาพที่เป็นธาตุรู้ เพราะถ้าปรากฏต้องไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลยทั้งสิ้น จึงสามารถรู้รอบในธาตุรู้ที่ไม่มีรูปใดๆ เจือปน และไม่มีอย่างอื่นเจือปนด้วย เป็นเฉพาะธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกเป็นสุข เพราะความรู้สึกเป็นสุขไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ ซึ่งเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ เช่น ทางตา ถ้าถามว่า เห็นไหม ตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ตอบว่าเห็น

    ท่านอาจารย์ ตอบอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราเห็น ธาตุที่สามารถเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งว่า สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ธาตุนี้กำลังทำหน้าที่เห็นว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้ นี่คือเห็น

    ผู้ฟัง ขณะเห็นเป็นธาตุรู้ที่ทำหน้าที่เห็น

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ใช้คำว่า มโน หรือมนัส หทย เป็นใหญ่ เป็นประธาน เพราะจะมีธาตุรู้ที่เกิดร่วมกัน แต่ต้องแยกออกไปไม่ใช่ธาตุรู้

    ผู้ฟัง แล้วในช่วงที่สลับกันอย่างรวดเร็ว สามารถระลึกได้ว่า ธาตุรู้เป็นอย่างนี้ แล้วมาเปรียบเทียบกับธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ขณะนั้นไม่มีปัญญา หรือปัญญาขั้นการฟังเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าเปลี่ยนความคิด เพราะว่าแต่ก่อนก็มีเห็นแล้วก็คิด มีได้ยินแล้วก็คิด ได้กลิ่นก็คิด ลิ้มรสก็คิด รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็คิด และแม้สิ่งเหล่านี้ไม่ปรากฏก็คิดเรื่องอื่น แต่ทำไมคิดเรื่องนี้ถ้าไม่มีปัจจัยจากการได้ฟัง เริ่มจำ แค่จำ ไม่ได้ถึงลักษณะเฉพาะที่เป็นอย่างนั้น แต่เริ่มจำ

    ผู้ฟัง จำเรื่องที่ท่านอาจารย์พูด

    ท่านอาจารย์ เริ่มจำว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้เป็นธาตุ มีจริง เป็นธาตุเดียวในบรรดาธาตุทั้งหมด ไม่ว่านามธาตุ หรือรูปธาตุที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ถ้าตาบอดเดี๋ยวนี้ทันที ธาตุนี้ไม่ปรากฏ เพราะไม่มีปัจจัย คือไม่มีจักขุปสาทที่ทำให้จิตเห็นเกิด เเละสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เมื่อไม่มีจักขุปสาทจึงไม่มีรูปใดที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ทางตา

    ผู้ฟัง ถ้าคิดก็เป็นธาตุคิด

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ธาตุทั้งหมดเลย จะเรียกธาตุอะไรก็ได้ โลภธาตุ โทสธาตุ โมหธาตุ อิสสาธาตุ มัจฉริยธาตุ เมื่อเป็นธาตุก็เป็นธาตุ

    ผู้ฟัง ถ้ารู้จักธาตุคิดขณะนั้น คิดอยู่ก็รู้ว่าคิด ขณะนั้นเป็นปฏิปัตติปัญญา หรืออบรมปัญญา

    ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ถามถึงสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้น สามารถรู้ความต่างของขณะที่มีสติสัมปชัญญะกับไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่สภาพนั้นก็มี เช่น เห็นมี ได้ยินมี แข็งมี ก็ไม่รู้เฉพาะลักษณะแต่ละลักษณะทีละอย่าง ถ้ายังไม่รู้เฉพาะลักษณะก็ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ไม่ใช่สติปัฏฐาน ไม่ใช่ปัญญาที่ฟังแล้วจึงเกิดรู้เฉพาะสิ่งนั้น ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้

    ผู้ฟัง ตกลงเห็น สติ และปัญญามีโอกาสเกิดขึ้นได้บ้างแล้ว

    ท่านอาจารย์ หวังอะไรหรือไม่ หรือฟังเพื่อละความไม่รู้

    ผู้ฟัง ที่กระผมถามเพื่อทำความเข้าใจปัญญาขั้นภาวนา ก็คือ ๑ ใน ๓ ของปัญญา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปริยัติ จะมีปฏิปัตติไหม จะมีปฏิเวธไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้ฟังก็คงไม่มี

    ท่านอาจารย์ ข้ามขั้นไม่ได้เลย เป็นผู้ตรง รู้ขั้นไหน ไม่หลงผิด กำลังรู้เฉพาะลักษณะที่แข็งนิดเดียว สงสัยได้ เพราะแค่นิดเดียว

    ผู้ฟัง เพราะเราอยู่ในความไม่รู้มา

    ท่านอาจารย์ ใช่

    ผู้ฟัง อยากจะถามอีกนิดหนึ่งว่า เวลาทำบุญทำทาน เมื่อครู่อาจารย์พูดถึงการให้ขั้นทาน ขณะที่เราจะทำกุศลให้ทานหรือใส่บาตร ขณะนั้นปัญญาที่ต้องเกิดขึ้นกับสติเท่านั้นในโสภณธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อย่างนั้น สติเกิดโดยไม่มีปัญญาเกิดได้ แต่ทุกครั้งที่มีปัญญาเกิดต้องมีสติเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง แล้วปัญญาขั้นทานเป็นอย่างไร ไม่ได้ระลึกธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เวลานี้มีเห็น มีแข็งก็ไม่อยากจะรู้ ถ้าปัญญาเดี๋ยวนี้ไม่มี กำลังให้ทานจะมีปัญญาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทราบว่า จะเอามาจากไหน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาเดี๋ยวนี้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ รู้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่ขั้นฟัง แต่กำลังรู้เฉพาะลักษณะ ปกติธรรมดาจริงๆ แต่ก็ยังรู้ว่า ขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะของแข็ง จะต่างกับขณะที่กำลังให้ทาน หรือกำลังรับประทานอาหาร หรือกำลังไปไหนมาไหน ไหม

    ผู้ฟัง คงต่างกันมาก

    ท่านอาจารย์ ปัญญารู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏทีละอย่าง ได้ไหม ถ้ามีปัจจัยที่จะเกิด เกิดได้ แต่ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้น การฟังไม่ต้องไปรอว่า แล้วเมื่อไรจะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรม คิดเท่าไรก็ไม่เกิด เพราะกำลังเป็นเราคิด เราอยาก เราหวัง เรารอ เราคอย ไม่รู้ความเป็นอนัตตา ลืมแล้ว ฟังธรรมแล้วลืมหมด อนัตตาก็ลืม สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นก็ลืม

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ธรรมเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ ทรงแสดงว่า ไม่มีตัวเราที่จะพิสูจน์ธรรม แล้วธรรมจะถูกพิสูจน์ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปัญญาไม่ใช่เรา แต่ปัญญามีจริงๆ ปัญญา คือความเห็นที่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วปัญญาจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นปัญญาแล้วต้องรู้ได้ แต่รู้ได้ตามลำดับขั้น ถ้าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วไม่เคยฟังเลยว่าเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับไป สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ และเห็นที่กำลังมีในขณะนี้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟัง จนกว่าปัญญาเข้าใจ ไม่ใช่คุณนิรันดร์เข้าใจ

    ผู้ฟัง จริงๆ ไม่มีตัวเราที่จะไปทำ หรือต้องการพิสูจน์ธรรมว่า ธรรมในขณะนี้คืออย่างไร เป็นธรรม แล้วไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องฟัง แล้วมีความเข้าใจตั้งแต่คำแรกที่ได้ยิน คือ “ธรรม” ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดแล้วปรากฏว่ามีลักษณะอย่างนั้น แล้วก็ดับไป ไม่มีใครไปยับยั้ง หรือไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกอย่างที่มี เกิดแล้วปรากฏโดยที่ไม่มีใครทำเลย ไม่มีตัวตนที่จะไปทำได้ แต่สภาพธรรมแต่ละอย่างก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยของสภาพธรรมนั้น

    ผู้ฟัง แต่เมื่อปัญญายังไม่รู้ ยังไม่มีเข้าใจว่า อย่างเห็นขณะนี้เป็นธรรม ย่อมเห็นว่า เห็นเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ตรงตามที่พูดเลย ฟังแล้วก็จริง และเป็นอย่างที่คุณนิรันดร์กล่าว และเข้าใจขึ้นด้วย

    ผู้ฟัง จะเห็นความต่างกันอย่างไรว่า เห็นขณะนี้เป็นสภาพธรรม กับเห็นขณะนี้เป็นเรา เพราะเห็นก็คือเห็น ไม่แตกต่างกันระหว่างเห็นที่เป็นธรรมกับเห็นที่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเห็น แต่ไม่รู้ว่า เห็นเป็นธรรม แต่ก่อนนี้ใครเห็น

    ผู้ฟัง เป็นเราเห็น

    ท่านอาจารย์ ถูก หรือผิด เห็นดับแล้ว เราอยู่ที่ไหน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    11 มิ.ย. 2567