พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 622


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๒๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ แต่ก่อนนี้ใครเห็น

    ผู้ฟัง เป็นเราเห็น

    ท่านอาจารย์ ถูก หรือผิด เห็นดับแล้ว เราอยู่ที่ไหน เมื่อธรรมนั้นหมดไปแล้ว ยังมีเราหรือไม่ แต่เพราะเหตุว่าเมื่อมีธรรมอะไร เพราะไม่รู้จึงเป็นเราทั้งหมด แต่เมื่อธรรมนั้นดับแล้ว เราอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง จากการฟัง ท่านอาจารย์แสดงว่า เห็นคือจักขุวิญญาณ คือสภาพเห็นที่ทำกิจเพียงเห็นเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เรียกว่าจักขุวิญญาณ เข้าใจเห็นไหม หรือต้องบอกว่า เห็นคือจักขุวิญญาณ

    ผู้ฟัง ไม่ต้องบอกอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เห็น ไม่ได้อยู่ที่ไหน และไม่คิดเรื่องอื่นด้วย เห็นแล้วก็กำลังเห็นด้วยกำลังเห็นไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เห็น เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่ถูกต้องก็คือว่า เมื่อเห็นมี ไม่ต้องไปหาเห็น ไปหารูปร่างหน้าตาของเห็นไม่ได้เลย แต่เมื่อเห็นเกิดขึ้นขณะใด ให้รู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมที่เห็น ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง สิ่งที่เห็น หรือสภาพที่เห็น ก็เป็นสิ่งเกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แสดงว่าการอบรมปัญญาให้เข้าใจธรรมนั้นเป็นการอบรมในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นแล้ว มีแล้วเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ ถ้าผิดจากนี้ก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะไม่สามารถจะรู้สิ่งที่มีแล้วในขณะนี้ แต่ปัญญาสามารถเห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้

    ผู้ฟัง การไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือทำอย่างอื่น ก็แสดงว่าไม่เข้าใจว่า การอบรมปัญญาเข้าใจธรรม คือ เข้าใจเห็นขณะนี้ว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วความเป็นเราที่เห็น เกิดขึ้นหลังจากที่เห็นว่า เป็นธรรมแล้ว

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วสภาพธรรมขณะนี้เกิดดับนับไม่ถ้วน จากการศึกษาทราบว่า จิตที่เกิดขึ้นเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย คือ สภาพธรรมที่เกิดกับจิตนั้น เพียง ๗ ประเภท ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย เพื่อเห็นความละเอียดยิ่ง เวลานี้ทุกคนรู้ว่า ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพียงฟัง แล้วเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่เคยเป็นเรา ก็เป็นธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    นี่คือเริ่มฟังอย่างนี้ เป็นปัญญาหรือยัง

    ผู้ฟัง เป็นปัญญาจากที่ไม่เคยเข้าใจว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปก็ไม่รู้ แล้วจะไปทำอย่างอื่นอย่างใดเพื่อจะรู้สิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น หนทางเดียว คือ ฟังให้เข้าใจความละเอียดของธรรม ไม่ใช่พอได้ยินว่า ความเห็นผิด ก็เข้าใจว่า ทุกขณะที่เห็น ทุกขณะที่ได้ยิน เข้าใจผิด เห็นผิด นั่นเผินมาก และคิดเอง แต่ขณะนี้ความเห็นผิดปรากฏเกิดขึ้นหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะไปรู้ความเห็นผิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ฟังเรื่องความเห็นผิดให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า แม้แต่เจตสิกซึ่งเป็นความเห็นผิดก็ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็นไม่มีการเห็นผิดใดๆ เกิดร่วมด้วย เพราะถึงเวลาเห็นตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้มีอุปปัตติ การเกิดขึ้นของจักขุปสาทรูป และสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และยังไม่ดับ ทั้งสองอย่างเกิดแล้วยังไม่ดับกระทบกัน เป็นปัจจัยให้เกิดธาตุรู้ คือ เกิดเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น เพียงเท่านี้ ไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลย เพราะเป็นเพียงผลของกรรมที่ทำให้ต้องเห็น ยังไม่ได้ทำให้เกิดความเห็นผิด แต่ต้องเห็น แค่เห็น เวลาที่กรรมให้ผลให้เกิดได้ยินก็ทำให้มีเสียงเกิดกระทบกับโสตปสาทรูปที่เกิดแล้วยังไม่ดับทั้งสอง เป็นปัจจัยถึงกาลที่กรรมทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น จิตได้ยินก็เกิดขึ้นทำหน้าที่ได้ยินซึ่งเป็นผลของกรรม เพราะสิ่งที่ได้ยินก็มีทั้งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็เป็นผลของอกุศลกรรม เป็นวาระที่อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วทำให้จิตได้ยินต้องเกิดได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ

    เพราะฉะนั้น ชั่วขณะนั้นที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเป็นวิบากที่ต้องได้ยิน ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กำลังจะบอกว่า ไม่มีตัวเราที่ได้รับผลของกรรม หรือได้รับวิบาก เป็นเรื่องของเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมที่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง แล้วจะไปเหมาว่า ขณะนั้นเป็นความเห็นผิดไม่ได้ นั่นคือไม่ได้ศึกษาธรรมให้ละเอียดที่จะรู้ว่า สภาพธรรมคือ จิต เจตสิก เกิดดับเร็วมาก และเป็นประเภทต่างๆ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างก็จะสับสน และปะปนกัน

    เพราะฉะนั้น บางคนก็เข้าใจว่า เมื่อยังไม่ใช่พระโสดาบันก็ยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่แม้คำว่า “เรา” กับ “สิ่งหนึ่งสิ่งใด” ก็ต้องแยกกันแล้ว อย่างโต๊ะเป็นเราหรือไม่ แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น นี่คือการไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ถ้ามีการยึดถือสภาพที่เกิดอย่างรวดเร็วสืบต่อกันว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ดับเลย นั่นเป็นความเห็นผิด แต่ในขณะที่กำลังเห็น เรากำลังเห็นสิ่งหนึ่ง หรือธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏโดยกรรมทำให้เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ยังไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจถูก ถ้าความเห็นผิดไม่เกิด จะรู้ไหมว่า ลักษณะนั้นเห็นผิด

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะจิตเห็นเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์บอกว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น กระทบ เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม อย่างเช่นว่าผมปวดคอ แล้วเวลานั่งรถก็เลือกรถดีๆ ที่ไม่ทำให้กระเทือนคอ แต่ปรากฏว่าเมื่อออกไปนั่งกลับได้นั่งรถที่ไม่น่าจะวิ่งได้ พอวิ่งก็กระเทือนตลอด นั่นก็แสดงให้เห็นว่าแม้เเต่ได้รับกระทบที่แข็ง ที่ไม่ดีอย่างนั้น ที่มีผลทำให้เราปวดคอไม่ทางหาย นั้นเเสดงว่าไม่มีให้ทำให้ผมได้รับสภาพที่เเข็งอย่างนั้น เเต่เป็นผลของกรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้ว ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างนั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ การเชื่อกรรม และผลของกรรมไม่ได้เป็นเรื่องราว แต่เป็นขณะจิต ขณะที่เห็นไม่ใช่กรรม แต่เป็นผลของกรรม ขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นเป็นผลของกรรม

    ผู้ฟัง แต่ทำให้เรามั่นคง และรู้ว่าไม่มีใครเลยที่ทำให้เราได้รับผลที่เเข็งที่ไม่ดีอย่างนั้น ให้เกิดความปวดทรมานอย่างนั้น แต่ว่าเป็นผลของกรรมที่เคยทำมาแล้วในอดีต เป็นปัจจัยให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสสิ่งที่ดี หรือไม่ดี

    ท่านอาจารย์ นี่คือเรื่องราว แต่เป็นกรรม และผลของกรรมจากการเข้าใจขั้นฟัง แต่ถ้ากำลังรู้สภาพธรรมที่เป็นอย่างนั้นจะชัดเจนไหมว่า ไม่ใช่ขณะที่กำลังติดข้อง หรือกำลังไม่พอใจในความรู้สึกที่ปวด หรือเจ็บในขณะนั้น ซึ่งต่างขณะ

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่า ขณะไหนเป็นผลของกรรมจริงๆ ก็คือเดี๋ยวนี้มีวิบากซึ่งเกิดเพราะกรรม ลักษณะของวิบาก หรือผลของกรรมก็คืออย่างนี้ที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ อย่างผมไปรักษากระดูกต้นคอกับหมอเป็นเวลาเกือบเดือนแล้วก็ยังไม่หาย แล้วผมจะโทษหมอว่า รักษาไม่ดี

    ท่านอาจารย์ ตอนที่โทษหมอเป็นวิบาก หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นอกุศลจิต นี่ก็เริ่มแยกความต่างของวิบากซึ่งเป็นผล กับกุศล หรืออกุศลซึ่งเป็นเหตุ

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วไม่ใช่หมอรักษาเราไม่ดี แต่เป็นผลของกรรมที่ทำมาแล้วในอดีตที่ทำให้ได้รับความเจ็บปวดอย่างนั้นต่อไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจมั่นคง เห็น เมื่อไร ที่ไหน ยังไม่ต้องเป็นเรื่องราว เป็นหมอ หรือใคร ได้ยิน ยังไม่ต้องเป็นเรื่องราว ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นผลของกรรม หลังจากนั้นแล้วไม่ใช่ นี่พูดตามที่สามารถปรากฏให้เข้าใจได้ ยังไม่พูดถึงความละเอียดของจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างละเอียด

    ผู้ฟัง เช่นนี้ผู้ฟังก็ต้องอบรมเจริญปัญญา ก็ต้องเริ่มเข้าใจความจริงว่า เห็นเป็นสภาพธรรมอย่างนั้น หรือ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะไปรู้อะไรได้ มีสิ่งที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตายแล้วจะรู้อะไร ถ้าไม่เข้าใจคือรู้สิ่งที่ปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด และเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมคืออะไร และศึกษาธรรมคืออะไร ศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ โดยอาศัยชื่อต่างๆ ที่ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จนกว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ถ้าคุณนิรันดร์เข้าใจธรรม จะสนใจสิ่งที่กำลังปรากฏเท่าเก่าไหม ถ้าเริ่มเข้าใจว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ นี่เพียงเริ่ม ไม่เคยคิดมาก่อนเลยในสังสารวัฏว่า สิ่งที่ปรากฏที่ติดมากมาย เป็นผู้หญิงสวยๆ เป็นเครื่องดนตรี เป็นต้นไม้ ดอกไม้ เป็นอาหารที่ประณีต ทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ รสอร่อยไม่ได้ปรากฏเลย เพียงสีสันที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง แล้วจำได้ว่า เป็นคน เป็นดอกไม้ เป็นอาหาร แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่เพียงเริ่มฟังให้รู้ความจริง ซึ่งอีกไกลกว่าความจริงนี้จะปรากฏว่าเกิดแล้วก็ดับ แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้เลยจะนำไปสู่การเข้าใจถูกในธรรมไหม เพราะเรากำลังฟังธรรม และทุกอย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ได้ห้ามให้คิด หรือให้มอง แต่ให้เข้าใจถูกต้อง เพราะตลอดชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด คิดก็เป็นธรรม ชอบก็เป็นธรรม ไม่ชอบก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี่ถ้าปัญญาไม่สามารถจะเห็นถูก ดับกิเลสไม่ได้จริงๆ เพราะนี่เป็นหนทางที่จะต้องอบรมตามลำดับ คือ เริ่มจากการฟัง บางคนได้ยินธรรมนิดหน่อย ก็สติปัฏฐานแล้ว ปฏิบัติแล้ว แต่ไม่มีปัจจัยทำให้สติมีกำลังสามารถเกิด และเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟังเลย

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะรู้ว่า อะไรเป็นปัจจัยทำให้ความเข้าใจจากขั้นการฟังถึงระดับขั้นที่ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจริงๆ เขาไม่รู้หรอกว่า เพราะปัญญาอย่างเดียว ความเห็นถูกที่เข้าใจขึ้นๆ นั่นเอง เพราะขณะใดที่เข้าใจถูกต้อง ขณะนั้นมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ว่าเป็นกุศลประเภทใดทั้งสิ้น เป็นทาน เป็นศีล เป็นความสงบของจิต หรือฟังธรรมเข้าใจก็มีสติเกิดขึ้นแล้ว

    เพราะฉะนั้น ไปสนใจสติ โดยไม่รู้ว่า สติสามารถเกิดได้โดยไม่มีปัญญา แต่ทุกครั้งที่ปัญญาเกิดมีสติเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาไม่ต้องห่วงสติเลย ถ้าไม่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม จะไปขอให้ใครบอกเรื่องสติปัฏฐาน ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด คือ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมแล้วไม่ต้องห่วง เพราะเมื่อปัญญาเจริญขึ้น ความรู้มากขึ้น แม้เพียงการมอง ที่เคยมองแล้วไม่เคยรู้เลยว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไปติดข้องแล้วเพราะไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น ถ้ายิ่งเข้าใจจนถึงมีศรัทธาบวชเป็นบรรพชิต ลองคิดดู ถ้าใครฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจจะบวชไหม บวชทำไม เพื่ออะไร นอกจากเห็นว่า ชีวิตของคฤหัสถ์เต็มไปด้วยกิเลส แต่ถ้าได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม ได้ใกล้ชิดพระบรมศาสดา ชีวิตก็จะห่างไกลจากกิเลส และสามารถเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้น พระวินัยที่ทรงบัญญัติแต่ละข้ออุปการะเกื้อกูลต่อการขัดเกลากิเลสจนถึงสิ้นอาสวะ อาสวะไม่ใช่อนุสัยกิเลส อนุสัยกิเลสหลับก็มี เกิดมาก็มีอนุสัยกิเลส เพราะยังมีกิเลสจึงต้องเกิด แต่จิตที่ทำกิจปฏิสนธิเป็นวิบากจิตไม่มีกิเลสเกิดร่วมด้วย นี่คือความละเอียดยิ่ง การที่ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อเกื้อกูลอุปการะเพื่อการดับอาสวะซึ่งขณะที่หลับไม่รู้ว่ามีกิเลสเลย แต่ตื่น คนไม่ฉลาดก็ไม่รู้ว่ามีกิเลส ใครบ้างที่รู้ตัวว่า พอตื่นก็มีกิเลส แต่ตามความเป็นจริงทรงแสดงสภาพของจิตทีละ ๑ ขณะโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้เห็นว่า ยังไม่ทันรู้เลยว่าสิ่งที่เห็นเป็นผู้หญิง สวยหรือไม่สวย เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้ กิเลสก็เกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ต้องมีปัญญาจริงๆ จึงจะเห็นถูกต้องว่า คำสอนของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมเท่านั้นที่สามารถทำให้ผู้ได้ฟังอบรมเจริญปัญญามีความเห็นถูกต้อง เพราะว่าทุกข์ทั้งหมดมาจากกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีอกุศลธรรม ทุกข์ใดๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่ามีอกุศลธรรม ก็มีการเบียดเบียน มีการประทุษร้าย หรือแม้แต่อกุศลที่เกิดขึ้นก็เบียดเบียนทำร้ายตัวเองก่อนจะทำร้ายใคร

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริงของธรรม เป็นผู้ทรงบัญญัติพระวินัยแต่ผู้เดียว ท่านพระสารีบุตรก็บัญญัติไม่ได้ ใครก็บัญญัติไม่ได้ เพราะไม่รู้ถึงเหตุที่ค่อยๆ สะสมจนสามารถดับกิเลสอาสวะซึ่งเกิดได้เร็วมาก เพราะได้สะสมมามากมายมหาศาล เพียงแค่ตื่นลืมตา ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร ก็มีอาสวะ มีกิเลสเกิดขึ้นแล้ว

    เพราะฉะนั้น การเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ไม่ว่าเมื่อไร ชาติก่อนๆ ชาตินี้ ชาติต่อไป ธรรมไม่เปลี่ยน เป็นสิ่งเดียวที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เริ่มคิด และเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านี้ จะนำมาซึ่งการคลายความติดข้องต่อไปอีกไหม ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้น และสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับไม่สามารถปรากฏความจริงได้เลย ถ้ายังมีความไม่รู้ และความติดข้องเป็นเครื่องกั้น ปรากฏจริง เกิดดับไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่า เป็นสภาพธรรม แล้วยังมีความติดข้องฉาบทาไว้อีก

    เพราะฉะนั้น การที่สภาพธรรมจะปรากฏได้ด้วยความรู้ที่ค่อยๆ เข้าใจตั้งแต่ขั้นปริยัติ คือ รอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟัง อย่างเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างเดียว ได้ฟังแล้วเข้าใจเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวก็ลืม แล้วก็ลืม แล้วก็ลืมตลอดไปทั้งวัน จนกว่าจะได้ฟังอีก ก็เป็นได้ หรือถ้าสะสมความเห็นถูก ระลึกได้ เมื่อไร ใครจะรู้ ระลึกรู้อะไรได้ ใครจะรู้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมมีปัจจัยเกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีที่เกิดปรากฏขณะนี้ เพราะสิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยใหม่ๆ ทุกขณะ ตราบใดที่ยังมีปัจจัยอยู่ ก็ต้องมีสภาพธรรมเกิด เกิดแล้วด้วย และไม่รู้ในสิ่งที่เกิดแล้ว ก็ไปคิดเรื่องอื่นมากมาย แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เกิดแล้วดับแล้ว เกิดแล้วดับแล้วอยู่ตลอดเวลา ก็ยังไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ไม่ต้องมีใครบอก เพราะรู้ว่า เพียงปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ความใส่ใจในนิมิต รูปร่างสัณฐาน ในอนุพยัญชนะ เพราะเป็นความละเอียด ทุกคนเกิดเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน โดยรูปร่าง โดยนิมิต แต่อนุพยัญชนะ ความละเอียดของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผิวพรรณวัณณะไม่เหมือนกันเลย ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าไม่มีการเห็นจะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไหม ก็ไม่ได้ และสิ่งที่ปรากฏก็เกิดดับจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตลวงให้เห็นว่า ไม่ได้ดับเลย แล้วยังยึดติดในสิ่งนั้นมากมาย

    นี่จากการค่อยๆ สะสมความรู้ความเข้าใจจะชั่วแอก หรือไม่ชั่วแอก ก็เข้าใจถูกต้อง และถ้าเข้าใจขึ้น เเละเห็นโทษ ซึ่งปกติชอบดู ชอบมองสิ่งต่างๆ และคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย ขณะนั้นก็จะเห็นโทษว่า เพราะเห็นจึงคิด วิตก วิจารสิ่งต่างๆ เพิ่มทั้งวันจากสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง เห็นโทษแล้วอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไฟร้อน เข้าใกล้ไฟไหม จับไฟไหม

    ผู้ฟัง เจอผู้หญิงทุกวัน แล้วจะหลีกเลี่ยงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์ไม่หลีกเลี่ยง แต่ปัญญาเริ่มเห็นถูกว่า เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริง นี่คือการศึกษาธรรม ชั่วแอกก็คือศึกษาธรรม

    ผู้ฟัง ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และท่านอาจารย์กล่าวว่า การละโลภะ ความติดข้องได้ ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจว่า เห็นเป็นธรรม โลภะที่ติดข้องก็เป็นธรรม ไม่มีตัวเราที่จะไปละโลภะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะละโลภะอะไรได้

    ผู้ฟัง ไม่มีทาง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ผมเชื่อมั่นว่า หนทางเดียวที่ละโลภะ ความติดข้องได้ ต้องเห็นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ไม่ใช่พูดว่า เห็นว่าเป็นธรรม ต้องเข้าใจคำว่า “ธรรม” สิ่งที่มีจริงๆ กำลังเป็นรูปร่างสัณฐาน แท้ที่จริงก็คือสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับ เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดจะประมาณจนเสมือนว่า พร้อมกันทันทีที่เห็นก็มีนิมิต ตั้งขึ้นพร้อมนิมิต

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าทรงแสดง และท่านอาจารย์นำมากล่าวว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และยากที่คนทั่วๆ ไปจะเข้าใจได้ ที่ผมมากล่าวอย่างนี้ ท่านผู้ฟังก็อาจจะพูดว่า ทำไมผมมีกิเลสมาก ทำไมไม่ละกิเลส แต่ผมละแล้วโดยฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า นั่นคือไม่ใช่เรา นั่นคือความจริงที่ทรงแสดงว่า ต้องละความไม่ใช่เราก่อนละโลภะ ละโทสะ ละมานะ

    ท่านอาจารย์ ละแล้ว หรือยัง

    ผู้ฟัง ละความไม่รู้ก่อน

    ท่านอาจารย์ ฟังเข้าใจขณะไหน ก็ละความไม่รู้ ซึ่งเกิดจากการฟัง เท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง ผมจึงกล่าวว่า ผมมาถูกหนทางแล้ว คือละด้วยการฟังแล้วเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังแล้วก็ละ คือ ไม่ต้องการเป็นพระโสดาบัน หรือไม่ต้องการให้สติปัญญาเกิด นั่นคือโลภะ ฟังเพราะรู้ว่า เป็นธรรม เข้าใจเมื่อไรก็ละความต้องการ ถ้ายังไม่ละความต้องการตราบใด ไม่มีทางรู้ความจริงของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง จริงๆ ไม่มีตัวเราที่ต้องการ หรือไม่มีตัวตนจะไปละกิเลสได้เลย ไม่มีทาง

    ท่านอาจารย์ เราก็ผิดแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    11 มิ.ย. 2567