พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 643


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๔๓

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ คิดว่าเขาไม่ดี เขาไม่ดีเราควรจะเป็นอย่างไร ควรจะเกลียด ควรจะโกรธ หรือควรจะไม่ดีอย่างเขา หรือว่าเขาไม่ดีเขาต้องได้รับผล การสะสมความโกรธแล้วก็จะทำให้มีกำลังที่จะประทุษร้ายเบียดเบียน หรือทำสิ่งซึ่งคิดไม่ถึงว่าจะทำได้ ก็ทำได้ ก็เป็นอันตรายของความโกรธ และก็เป็นอันตรายของบุคคลที่สะสมความโกรธ และเมื่อผลเกิดขึ้นก็น่าสงสารจริงๆ เพราะว่าทุกคนจะสงสารสัตว์เดรัจฉาน คนที่เกิดในนรก คนที่เป็นเปรต หรือว่าคนที่กำลังได้รับความทุกข์เดือดร้อน

    เพราะฉะนั้น ถึงอย่างไรก็โกรธแน่ ใช่ไหม แต่ว่าการฟังแต่ละครั้งเป็นสังขารขันธ์ ที่กำลังทำกิจของสังขารขันธ์ อย่างละเอียดละเมียดละมัยเกินวิสัยที่ใครจะไปรู้ได้ว่า จะปรุงแต่งให้ขณะต่อไปหลังจากโกรธเกิดแล้วนี่เป็นอะไร เพราะอาจเป็นการคิดขึ้นได้อย่างหลายคนเคยโกรธไปเติมน้ำมันแล้วก็เด็กที่เติมน้ำมันพูดไม่ดีทำไม่ดี สงสารเลยได้ทันทีแล้วก็เกิดอย่างนั้นโดยที่ไม่ต้องเตรียมตัวเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ความเข้าใจที่เกิดจากการฟังแล้วเริ่มเข้าใจเห็นโทษของอกุศลแล้วเห็นประโยชน์ของกุศล แม้ทีละเล็กทีละน้อยไม่สามารถที่จะไม่ให้ความโกรธเกิดอีกก็จริง แต่เมื่อโกรธเกิดแล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าหลังจากนั้นผลของการที่ได้ฟังได้เข้าใจธรรมจะทำให้มีขณะที่เป็นกุศลเกิดก็ได้ หรือว่าขณะนั้นยังไม่พอ ยังไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้กุศลเกิด ก็เป็นอกุศลในลักษณะหลากหลายซึ่งเห็นความเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นจะไปหวังอะไรกับสิ่งที่หวังไม่ได้เพราะเป็นอนัตตา อะไรจะเกิดเมื่อมีปัจจัยก็ต้องเกิดแล้วก็เปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ประโยชน์ของการฟังเข้าใจธรรมที่มีอยู่ก็จะเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้ธรรมที่เป็นกุศลเกิดแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้แทนที่จะเร่งร้อนเมื่อไหร่เราจะเป็นคนดีอย่างนั้น เมื่อไหร่เขาว่าเราแล้วเราจะไม่โกรธ นั่นคือเรื่องความคิดซึ่งไม่ใช่ความจริง ความจริงคือฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้ธรรมกำลังทำกิจการงานแต่ละประเภทแล้วแต่ว่า แม้ขณะกำลังพูดกำลังคิดก็เกิดเพราะเหตุปัจจัยของแต่ละคนที่ได้สะสมธรรมประเภทนั้นๆ มา

    อ.กุลวิไล เชิญคุณนิรันดร์

    ผู้ฟัง ขอเรียนร่วมสนทนาด้วยว่า จากที่เราโกรธแล้วเรามักจะเดือดร้อนก็เป็นตัวเราที่เป็นคนไม่ดีเป็นเราที่โกรธ จะมีมากกว่าที่โกรธด้วยซ้ำ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่รู้เลยว่าขณะนั้นก็เป็นธรรม ขณะนี้ธรรมทั้งหมดไม่รู้ซักอย่าง ถ้ารู้อย่างหนึ่งก็แค่อย่างนั้น แล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่รู้อีกว่าธรรมซึ่งเกิดต่อก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เราหวังไม่ได้ว่าอะไรจะเกิด เป็นการจะรู้ลักษณะของธรรมอะไรเมื่อไหร่ก็หวังไม่ได้ แต่ว่าฟังสะสมปัจจัย สังขารขันธ์ที่จะให้สภาพธรรมที่เป็นความเข้าใจธรรมค่อยๆ เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง นั่นคือหนทางที่จะอบรมที่จะดับความโกรธทึ่จะไม่ให้เกิดขึ้นอีก

    ท่านอาจารย์ หนทางเดียวด้วย ไม่ต้องความโกรธ ไม่ว่าอะไรที่เป็นธรรมแล้วไม่รู้ว่าเป็นธรรม กำลังสนุกสนานควรรู้ไหมว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ควร แล้วที่บอกว่าให้มีเมตตา ให้ทำเมตตา

    ท่านอาจารย์ ให้อีกแล้ว ใครให้ได้

    ผู้ฟัง คำสอนก็แสดงว่าจงเป็นผู้มีเมตตา

    ท่านอาจารย์ อะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ ผู้ฟังก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง แล้วแต่ว่าเมตตาจะค่อยๆ มีปัจจัยขึ้น

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ได้คือความสำคัญที่สุด

    ผู้ฟัง แม้มีเมตตาขณะหนึ่ง แต่ต่อไปความโกรธก็เกิดมาได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอนตราบใดที่ยังมีปัจจัยที่จะให้ความโกรธเกิด เห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ ด้วยปัญญา เพราะแม้ขณะนั้นก็เป็นอนัตตาก็ไม่เห็นว่าเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ขอถามเรื่องเวทนาเจตสิก คือว่าในชีวิตประจำวันเรามีความต้องการสุขเวทนา ต้องการความสุขทางกาย

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าถ้าพูดว่าความรู้สึกเข้าใจไหม หรือต้องพูดเวทนาถึงจะเข้าใจ

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกที่เป็นสุขเป็นทุกข์ ดีใจเสียใจนำไปสู่สังสารวัฏฏ์การเกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นใหญ่ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นใหญ่แน่นอน

    ท่านอาจารย์ เวลาทุกขเวทนาเกิดขึ้นเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ เป็นใหญ่ ธรรมอื่นไม่ปรากฏความใหญ่เพราะกำลังเป็นทุกข์

    ผู้ฟัง และก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ นั่นก็จะหมดสังสารวัฏฏ์ได้อย่างไร ก็เห็นได้ว่าแม้แต่เวทนาก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังสารวัฏฏ์

    ผู้ฟัง จะนำมาซึ่งการเกิดได้อย่างไร เป็นแค่เวทนาความรู้สึก

    ท่านอาจารย์ เกิดเพราะความไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจว่าเวทนาเกิดเพราะความไม่รู้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์เกิดมารู้อะไร

    ผู้ฟัง เกิดเป็นคน

    ท่านอาจารย์ อะไรเกิด

    ผู้ฟัง ก็เกิดจากท้องพ่อท้องแม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ความไม่รู้นี้แหละจะทำให้เกิดสังสารวัฏฏ์

    ผู้ฟัง จะนำมาสู่ความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกดีใจเสียใจได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อเกิดแล้วมีรูปร่างกายไหม

    ผู้ฟัง มีร่างกาย มีแขนขา มีหัวใจ มีปอด

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่ให้เป็นทุกข์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ก็ต้องเจ็บป่วย ก็ต้องเป็นโรคเป็นภัย เกิดแก่เจ็บตาย

    ท่านอาจารย์ เป็นทุกข์แล้วก็อยากให้หมดทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง เวลาเป็นทุกข์ก็อยากให้หมดไป ให้โรคภัยหายไป

    ท่านอาจารย์ แล้วทุกข์นั้นเป็นใคร

    ผู้ฟัง ก็เป็นตัวเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่รู้เหมือนขณะเกิด ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดเพราะเกิดด้วยความไม่รู้

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าท่านอาจารย์จะไล่ไปจนถึงว่าเวทนานี่เกิด เพราะตั้งแต่เกิดมามีรูปขึ้นมา หรือ

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นความไม่รู้ว่าเป็นธรรมที่มีปัจจัยเกิด ใครบังคับไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง เราจะไม่ให้สุขเวทนา หรือทุกขเวทนาเกิดก็ไม่ได้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่ามีปัจจัยที่จะเกิด

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นคำตอบ

    ผู้ฟัง แล้วเราจะดับทุกขเวทนา สุขเวทนา โสมนัสเวทนาได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เกิดเพราะความไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้แล้วจะเกิดไหม

    ผู้ฟัง ถ้ารู้ รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง รู้ว่าเวทนาเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธรรมมีปัจจัยก็เกิด เมื่อหมดปัจจัยจึงไม่เกิด

    ผู้ฟัง เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

    ท่านอาจารย์ ก็เกิดอย่างนี้

    ผู้ฟัง หมายถึงท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีปัจจัยให้รูปเกิด หรือ ที่จะเกิดขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ ถ้าหมดปัจจัยของสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้ เฉพาะอย่าง เฉพาะอย่าง

    ผู้ฟัง ปัจจัยอะไรที่ทำให้สิ่งนั้นเกิด

    ท่านอาจารย์ จิตเกิด หรือไม่

    ผู้ฟัง จิตเกิด

    ท่านอาจารย์ มีปัจจัยให้จิตเกิด หรือไม่

    ผู้ฟัง มีปัจจัยให้จิตเกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัจจัยจิตจะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่มีปัจจัยให้จิตเกิด จิตก็เกิด

    ผู้ฟัง แม้แต่ผัสสะก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิด

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมด

    ผู้ฟัง เป็นไปได้ หรือที่จะดับผัสสะ ดับเวทนา ดับสังขาร อะไรต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ด้วยอะไร อะไรจะไปดับธรรมเหล่านี้ได้

    ผู้ฟัง ต้องเป็นปัญญาที่พระพุทธเจ้าแสดง

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจถูกแล้วนี่

    ผู้ฟัง แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจโดยละเอียด

    ท่านอาจารย์ ก็ผมจะเข้าใจได้อย่างไร พิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟังแล้วเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง หนทางที่ท่านอาจารย์บอกคือเริ่มที่จะอบรมปัญญาความเข้าใจสภาพธรรมทุกอย่างที่จะเป็นปัจจัยให้ดับเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเวทนา

    ท่านอาจารย์ แน่นอนเพราะว่าทุกอย่างเกิดเพราะไม่รู้

    ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณมาก

    อ.ธีรพันธ์ ทั้งหมดก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เพราะว่าปัญญาไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นดับโทสะได้ทันที ค่อยๆ รู้ว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าโทสะจะเกิดขึ้นทั้งวันทั้งปี เดี๋ยวก็มีการเห็น เดี๋ยวก็มีความชอบใจบ้าง ลืมไปแล้วที่โกรธไปเมื่อครู่ ลืมทันทีเลย ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้ก็โกรธ เดี๋ยวก็ชอบแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าชอบก็ดี หรือว่าโกรธก็ดีก็เป็นธรรม หรือแม้กระทั่งธรรมอื่นที่ไม่ใช่กุศล อกุศล เป็นวิบากเป็นการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้โผฏฐัพพะ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงขณะนั้นไม่ได้เป็นกุศลอกุศลใดๆ ทั้งสิ้นเป็นอพยากต

    ผู้ฟัง ขอกราบเรียนขอความกรุณาท่านอาจารย์ขยายความที่ว่า การศึกษาธรรมจะเข้าใจได้ต้องฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง ว่าเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แต่ละท่านที่มาที่นี่ก็คงจะตอบได้ว่าท่านศึกษาธรรมทำไม แต่สำหรับดิฉันเวลาที่ศึกษาธรรมตั้งแต่เริ่มศึกษาก็เพราะเหตุว่าไม่รู้จักธรรม แล้วก็ไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เวลาที่เราศึกษาอะไรก็หมายความว่าเพื่อเข้าใจสิ่งที่เรากำลังศึกษา ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ได้ยินคำว่า "ธรรม" มาตั้งแต่เกิด หรือว่ารู้ความก็ได้ยินแต่คำว่าธรรม หลายๆ คำ แต่ว่าแต่ละคำที่เราได้ยินเรามีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่เราได้ยิน และฟัง และคิด และพูดตาม หรือไม่

    เพราะฉะนั้น การศึกษาทุกอย่างศึกษาเพื่อเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เหมือนเข้าใจ หรือว่าเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะคำนี้ "ธรรม" ความหมายก็คือว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเพราะว่าเวลาที่เราพูดถึงความเป็นธรรม ความยุติธรรม หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งนั้นต้องมีจริง เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระ เพราะว่าพูดอะไรก็ไม่รู้ในสิ่งที่ไม่มี และไม่ปรากฏ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือเวลาได้ยินคำไหน ควรพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจความจริงของคำที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น คงไม่ลืมพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นรัตนะ ๓ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธรัตนะ พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นเข้าใจตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเป็นธรรมรัตนะ และผู้ที่อบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริงตามที่ได้ฟัง และเข้าใจก็เป็นสังฆรัตนะ เป็นพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้น จะขาดอันหนึ่งอันใดก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น เพียงได้ยินคำว่าพระธรรม หรือธรรมจะลึกซึ้ง หรือว่าเราคิดเอาเองก็ได้ ซึ่งความจริงไม่มีใครสามารถที่จะคิดอะไรที่เป็นธรรมได้เลย เพราะเหตุว่าขณะนี้เป็นธรรม แล้วก็คิดอะไรที่จะเป็นเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏ คิดเองไม่ได้เลย แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทรงแสดงความจริงปรากฏทุกขณะมีจริงๆ เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจพระธรรมซึ่งเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา เราจะคิดว่าเราเข้าใจง่ายๆ เข้าใจทั้งหมด โดยไม่ต้องไตร่ตรองพิจารณาก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ประมาทฟังคำไหนอย่าเพิ่งคิดว่าเข้าใจทั้งหมด แต่ว่าฟังแล้วก็พิจารณาแล้วก็ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจขึ้น โดยเฉพาะพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นสิ่งลึกซึ้งยิ่ง เพราะพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน แม้แต่หลังจากที่ทรงรับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรก็ยังต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีสี่อสงไขย์แสนกัปป์ ไม่ใช่ชาติ แต่เป็นกัปป์ กัปป์หนึ่งๆ ก็นานมากเพื่อรู้ความจริงที่กำลังมีกับทุกคน กำลังปรากฏด้วยแต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่านั่นคือธรรม

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นธรรม พูดแค่นี้ใครจะเข้าใจได้ คนที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลยเข้าใจไหมว่าขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครที่จะสามารถไปสร้างไปทำ ไปบันดาลให้เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งนี้เกิดแล้วปรากฏว่ามีเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่าธรรม เพื่อที่จะศึกษาธรรม เพื่อที่จะเข้าใจธรรม และก็รู้จักว่าเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำก็ควรจะได้พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ เป็นการสนทนาที่ต้องไตร่ตรองด้วย ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นธรรมก่อนอื่นเลย ขณะนี้สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ขณะนี้เป็นธรรม ยากไหม แค่นี้ไม่รู้เลย เป็นธรรม ขณะนี้สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เดี๋ยวนี้อะไรกำลังมีจริงๆ

    ผู้ฟัง เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ เห็นขณะนี้มีจริงๆ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย เห็นกำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เห็นมีจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะรู้ไหม ว่าเห็นไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เห็นเกิด เห็นเป็นธรรมเพราะมีจริง

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ฟังก็ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็คือเป็นเราเห็น ธรรมทุกอย่างที่มีเป็นเราเป็นเขาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นลักษณะที่สามารถจะปรากฏว่ามีจริงๆ แต่ละทาง เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากจนกระทั่งแม้ขณะนี้ได้ยินคำว่า "เห็นเป็นธรรม" เพราะเห็นมีจริงๆ เห็นไหมใครจะยอมคิดว่าไม่ใช่เราที่เห็นซึ่งความจริงเป็นเรา หรือเปล่า เห็นเป็นเราหรือไม่ แต่เพราะไม่รู้ความจริงว่าเห็นขณะนี้ ลักษณะจริงๆ ของเห็นคืออะไร ไม่มีการที่จะคิดไตร่ตรองเลยทั้งสิ้น เพราะว่าไม่ว่าอะไรจะปรากฏก็จำสิ่งที่เห็นว่าเป็นเรื่องราวเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นโลกแต่ว่าลืมว่าต้องมีสภาพรู้ คือเห็นจึงมีเรื่องราวของสิ่งที่เห็นได้ เช่นเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์ท่านวิทยากร ดอกไม้ แจกัน เยอะแยะเลย

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องราวของสิ่งที่เห็น เป็นเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ไม่ใช่สภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ ให้เห็น นี่คือความละเอียดของธรรม เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมไม่ใช่ให้ไม่รู้ ไม่เข้าใจแล้วก็ไปทำอะไรเพื่อที่จะรู้แจ้งนิพพาน อย่างเมื่อวานนี้ก็มีชาวศรีลังกาซึ่งท่านมามูลนิธิเป็นครั้งแรก ท่านก็ถามถึงเรื่องสึนามิเพราะเหตุว่าสูญเสียทั้งมารดา บิดา น้อง และคนที่รักด้วยหมดเลย เพราะฉะนั้น ในใจของท่านก็มีแต่เรื่องของสิ่งที่เกิดกับท่าน และก็ท่านเองเวลาที่จบการสนทนาแล้วท่านก็บอกว่าทำไมไม่ได้ฟังเรื่องธรรมอย่างนี้ เพียงแต่ว่าแม้แต่ที่ศรีลังกาเองก็พอถึงวันพระเขาใช้คำว่า " Poya " วัน Poya เขาก็ไปวัดเป็นประจำทุกวัดมีคนไปมากแล้วก็สวดมนต์ แต่งสีขาวเป็นส่วนใหญ่ สีอื่นมีไม่มาก นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเราเห็นแต่ว่าเราเข้าใจความจริงอะไร แม้แต่ความจริงขณะนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ก็มีเห็น และมีเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า เห็นต้องเกิดเมื่อมีปัจจัย

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น ภาษาบาลีก็ทรงใช้คำว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" หมายความว่าธรรมทั้งหมดไม่เหลือเลยไม่เว้นเลยทุกอย่างเป็นอนัตตาหมายความว่าไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นลักษณะของธรรมแต่ละอย่างซึ่งเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นอย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ใครก็เปลี่ยนแปลงธรรมที่เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เห็นเกิดขึ้นเห็น ใครจะไม่ให้เห็นได้ไหม เห็นเกิดแล้ว และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เกิดแล้ว แต่สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือมีใครเข้าใจว่าเห็นขณะนี้ที่กำลังเห็นต้องเกิดขึ้นเห็น มิฉะนั้นถ้าไม่เกิดจะเห็นได้อย่างไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ความละเอียดของสภาพธรรมตั้งแต่เกิดจนตายชาติหนึ่งๆ ทุกชาติ วันหนึ่งๆ จนถึงแต่ละขณะหนึ่งๆ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงว่าทั้งหมดเป็นธรรม ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรม แต่ก็เป็นธรรมที่ละเอียดมาก แล้วก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว สิ่งที่ชาวบ้านไม่สามารถจะรู้ได้ หรือแม้แต่ชาวพุทธที่เข้าใจว่า นับถือพระรัตนตรัยแต่ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็จะเป็นเพียงการนับถือชื่อ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงชื่อของผู้ที่เข้าใจว่าเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเลิศกว่าบุคคลทั้งสิ้นในสากลจักรวาล เวลาที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกที่จะตรัสรู้ในสมัยหนึ่งๆ ของการตรัสรู้ก็จะต้องมีเพียงหนึ่ง แสดงถึงความเป็นเลิศซึ่งไม่มีผู้ใดเปรียบปาน

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมก็เป็นเพียงชื่อของบุคคลซึ่งทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกของผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทพ หรือพรหมซึ่งสามารถที่จะได้ยินได้ฟังคำเทศนาแล้วก็พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตัวเอง ไม่ใช่ว่าตามคนหนึ่งคนใด "เขาว่า" หรือว่า "อาจารย์ว่า" หรือว่า "เพื่อนฝูงว่า" หรือ "หนังสือเล่มนั้นเล่มนี้เขียนว่า" ไม่ใช่อย่างนั้นเลยไม่เป็นประโยชน์เลย แม้แต่พระไตรปิฏกซึ่งได้จดจำจารึกตั้งแต่เมื่อสมัยที่เริ่มทำสังคายนาครั้งแรกหลังจากที่ปรินิพพานได้ ๓ เดือน ต่อจากนั้นก็มีการกระทำสังคายนาเพื่อให้ได้เข้าใจถูกต้องว่าถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังคลาดเคลื่อน หรือว่ายังไม่เข้าใจชัดเจนก็จะได้เพิ่มอรถกถา แล้วก็การที่จะได้ร่วมกันพิจารณาข้อความที่ได้จารึกไว้ เพราะเหตุว่าสมัยแรกนี่เป็นมุขปาถะหมายความว่าท่องจำตามๆ กันมาไม่ใช่มีการจดจารึก

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นแต่ละกาลแต่ละสมัย ซึ่งเมื่อถึงสมัยนี้พระธรรมคำสอนก็ยังมีพร้อม ทั้งพระไตรปิฎกซึ่งใช้คำว่า "พระบาลี" เวลาที่พูดถึงคำสอนโดยตรงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งแสดงโดยภาษามคธี คนยุคนั้นก็ใช้ภาษานั้นฟังภาษานั้นแล้วก็เข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่คนยุคนี้สมัยนี้โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษานี้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้แต่แม้กระนั้นข้อความที่ทรงแสดงไว้ไม่ได้เปลี่ยนเพราะเหตุว่าเป็นสัจจธรรมเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคนซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความเคารพในพระธรรมอย่างสูงที่จะต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อที่จะไม่กล่าวตู่ หรือว่าไม่เข้าใจพระธรรมผิด เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย เพราะเหตุว่าเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงกาลที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงรู้ได้ ก่อนนั้นรู้ไม่ได้เลย กำลังเป็นพระโพธิสัตว์ กำลังบำเพ็ญคุณความดีอย่างมากมายมหาศาลก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงเหมือนกับว่าที่ได้ตรัสรู้ และได้ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรมแล้วก็เป็นผู้ที่ตรง และก็ไม่ลืมสิ่งที่ได้ฟัง และก็พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง แม้เพียงเล็กน้อยว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ทุกกาลแล้วก็เป็นสิ่งซึ่งต้องเข้าใจโดยการที่ไตร่ตรองตั้งแต่คำแรกว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถูกหรือไม่ อะไรก็ตามที่จริงเป็นธรรมทั้งนั้น จริงเมื่อไร เมื่อเกิดปรากฏว่ามี ถ้าไม่เกิดจะปรากฏว่ามีได้อย่างไร พรุ่งนี้มีไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    18 มิ.ย. 2567