พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 644


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๔๔

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ อะไรก็ตามที่จริงเป็นธรรมทั้งนั้น จริงเมื่อไร เมื่อเกิดปรากฏว่ามี ถ้าไม่เกิดจะปรากฏว่ามีได้อย่างไร พรุ่งนี้มีไหม ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดใช่ไหม พรุ่งนี้ยังไม่เกิด แต่มีปัจจัยที่จะเกิดเพราะเหตุว่ายังไม่หมดปัจจัยที่จะทำให้เกิด นี่คือการที่จะเข้าใจจริงๆ แต่ละคำต้องไตร่ตรองต้องพิจารณา เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้แม้มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นโดยจะเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรแม้ว่ามีปัจจัยพร้อมที่จะเกิด ก็ไม่รู้ว่าปัจจัยของอะไร จะทำให้เกิดอะไร ที่ไหน อย่างไร

    เพราะฉะนั้น จะรู้ความจริงของสิ่งที่ยังไม่เกิดได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้น ถ้าจะเข้าใจความจริงคือสิ่งที่มีจริงๆ ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่คำว่า " ธรรมคือสิ่งที่มีจริง " ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าคือเดี๋ยวนี้ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นจริงในขณะนี้กำลังปรากฏนั่นแหละเป็นธรรม เห็น กำลังเห็น เห็นเป็นอย่างอื่นได้ไหม เป็นธรรมแต่ปกติเราเห็น เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม กว่าจะหมดการยึดถือเห็นว่าเป็นเราก็ต้องทราบว่าเห็นเกิดแล้วทำไมเป็นเราไปได้ คิดดู เห็นแท้ๆ ขณะนี้เป็นเห็นแล้วทำไมเป็นเราไปได้ เพราะไม่รู้ความจริง นานแสนนานมาแล้วไม่ว่าชาติก่อน ชาติไหนๆ ชาตินี้ และชาติต่อไป ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เห็นเป็นเราเพราะไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ความรู้กับความไม่รู้ต่างกันมาก การศึกษาธรรมไม่ใช่ศึกษาตัวหนังสือ และคิดว่าเข้าใจแต่ต้องรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือในพระไตรปิฎก หรืออรรถกถา หรือแม้เสียงที่มีความหมายที่กำลังเข้าใจก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่แสดง หรือส่องถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เช่นขณะนี้เห็นไม่ต้องเรียกอะไรเลย เห็นก็เป็นเห็น เป็นเรา หรือเป็นเห็น ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกต้องว่าเห็นเกิดเห็นแล้วดับ แต่ดูเหมือนว่าเห็นไม่ได้ดับเลย

    เพราะฉะนั้น การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้นี่เอง ทำให้แต่ละคนหลงผิดในสังสารวัฏฏ์ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงขณะนี้ไม่ได้มีแต่เห็น ได้ยินก็มี คิดก็มี สุขก็มี ก็แสดงให้เห็นว่ามีธรรมตั้งหลายอย่างที่ปรากฏเสมือนว่าพร้อมกัน แต่ว่าความเป็นจริงแต่ละอย่างก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งจะปนกันไม่ได้เลย นี่คือธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ศึกษาธรรม หรือไม่ ต้องเข้าใจว่าธรรมที่มีปรากฏเป็นข้อความในพระไตรปิฎก หรือจากการสนทนาธรรมซึ่งมีการพูดถึงสิ่งที่มีจริงก็เพื่อที่จะให้เข้าใจ และเข้าถึงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จนกว่าจะเข้าใจโดยถ่องแท้ โดยไม่มีความสงสัย โดยละความติดข้อง เพราะเหตุว่ารู้ความจริงว่าทุกขณะที่ไม่รู้ความจริงติดข้องในสิ่งที่มีจริง แต่ปรากฏแล้วหมดไปไม่เหลือเลย และก็ไม่กลับมาอีกเลยด้วย สิ่งที่มีแล้วไม่มีเป็นไปได้ไหม หรือว่าต้องมีตลอดไปสิ่งนั้นแหละไม่ได้หายไปเลยเป็นอย่างนั้น หรือไม่ หรือว่าความจริงมีแล้วหามีไม่ เพียงเกิดขึ้นปรากฏว่ามีแล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้าใช้คำว่าหายไป ของหายหาเจอไหม ของหาย หาเจอไหมแต่เมื่อเป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ให้ทราบตามความเป็นจริง ผู้ที่จะการยึดถือธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ก็ต่อเมื่อสามารถที่จะรู้ความจริงว่าขณะนี้เกิด และดับแล้วไม่กลับมาอีก

    นี่คือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นจะนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ได้ศึกษา โดยไม่ได้เข้าใจเลยว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อที่จะให้เราเห็นถูกเข้าใจถูกในอะไร ก็คือว่าไม่ใช่สาวก ไม่ใช่ผู้ฟัง อีกอย่างหนึ่งมีคำว่าพุทธบริษัท หมายความว่าผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมคำสอนไม่ใช่เพียงแต่เกิดมาแล้วก็ได้ชื่อว่านับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชาวพุทธ แต่ว่าพุทธบริษัท หรือว่าผู้ฟังก็มีทั้งที่เป็นบรรพชิตในสมัยโน้นก็มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สมัยนี้โดยเพศตามพระวินัยมีพระภิกษุแต่ไม่มีพระภิกษุณี แล้วก็ยังมีอุบาสก อุบาสิกา แต่ก็ต้องเข้าใจความหมายของอุบาสก อุบาสิกาด้วย ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ และอาจารย์วิทยากรทุกท่าน สำหรับความหมายของอุบาสก อุบาสิกามีความหมายที่ลึกซึ้ง หมายถึงผู้เข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย จึงจะเป็นอุบาสก อุบาสิกาที่แท้จริง คือต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในพระธรรมต้องมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เห็นประโยชน์ของพระธรรม เพราะเหตุว่าการศึกษาพระธรรมฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเท่านั้น ที่จะทำให้มีความเข้าใจความจริงเข้าใจพระธรรมมากยิ่งขึ้นจึงจะเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงชื่อเท่านั้น แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมีความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ สมัยก่อนตอนเป็นเด็กๆ เราก็เข้าใจว่าอุบาสก อุบาสิกาคือคนที่ไปวัดแก่เฒ่า แต่ว่าถ้าตามความหมายจริงๆ คือผู้ที่นั่งใกล้พระธรรม เพราะฉะนั้น เวลาตอนเป็นเด็กใครบอกว่าอุบาสก อุบาสิกาเราก็คิดถึงคนที่ไปวัดอายุมากแล้ว แล้วก็อายไหมถ้าใครจะบอกว่าเราเป็นอุบาสิกา ฟังดูแปลกๆ ใช่ไหม เหมือนกับว่าต้องนุ่งขาวใส่ขาว หรือว่าดำขาว หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้าใครบอกว่าเป็นอุบาสิกา ควรดีใจ หรือว่าควรที่จะไม่ดีใจ คือผู้ที่นั่งใกล้พระศาสนาคือฟัง มีศรัทธาที่จะเข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครเป็นอุบาสก อุบาสิกาตอนนี้ หรือถูกเรียกว่า "อุบาสก อุบาสิกา" เป็นอย่างไร ยังอายอยู่ไหม เป็นอุบาสกเหมือนกับคร่ำครึ ต้องอยู่วัดทำอะไรก็ไม่รู้ แต่ขณะนี้ทุกท่านกำลังนั่งใกล้พระธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็ตรงกับคำว่าอุบาสก อุบาสิกา เมื่อมีความศรัทธาที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นสิ่งที่เป็นรัตนะที่ประเสริฐยิ่งกว่ารัตนะใดๆ เพราะเหตุว่าเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องแล้วก็ไม่เปลี่ยนเป็นความเห็นผิด ซึ่งความเห็นผิดนี่ง่ายมาก และถ้าพูดถึงสมบัติ หรือรัตนะอื่นๆ ก็นำความปลาบปลื้มมาให้ชั่วครั้งชั่วคราว เห็นบ่อยๆ ก็เบื่อแล้วใช่ไหม ก็เหมือนเดิม หายไปก็เป็นทุกข์เสียดาย แต่ว่าความเข้าใจในพระธรรมไม่หาย วันนี้มีความเข้าใจเท่าไหร่ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิต เวลาที่ได้ยินได้ฟังอีกก็เข้าใจ ถ้าพูดถึงคำว่า "ธรรม" ก็สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นจากที่เคยเข้าใจเพียงแต่ว่าเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็เข้าใจว่าคำสอนก็คือสอนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นตัวธรรมจริงๆ ด้วย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมไม่ว่าจะเมื่อไหร่ จะโดยการอ่าน หรือว่าโดยการฟัง โดยการสนทนาก็เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงนี้แล้วจึงได้ทรงแสดงความจริงนี้ให้คนอื่นซึ่งมีศรัทธาที่จะเข้าใจ เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจเองได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะมีความสนใจศรัทธา แม้ที่จะรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร และทรงแสดงพระธรรมอะไรบ้าง ซึ่งเริ่มต้นก็คือว่าต้องเข้าใจคำว่าธรรม " แข็ง " เป็นธรรมหรือไม่ " เสียง " เป็นธรรมหรือไม่ ถ้าศึกษาแล้วก็รู้เลยว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตาด้วย ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาเปลี่ยนแปลงได้เลย

    ผู้ฟัง นั่นหมายความว่าก่อนฟังพระธรรมก็จะไม่เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อฟังพระธรรมแล้วก็ทำให้นิสัยในการพูดคำไหนเปลี่ยนด้วย ก็จะต้องรู้ว่าคำนี้หมายถึงอะไร มิใช่พูดโดยไม่รู้ อันนี้ก็เป็นประโยชน์จากการที่ว่าฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลัง ก็คือจะรู้เข้าใจความหมายเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณมีทรัพย์สมบัติมากไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทราบว่าจะตอบว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็มีใช่ไหม มีบ้าน มีอาหาร มีเสื้อผ้า

    ผู้ฟัง ปัจจัยสี่ไม่ขาด

    ท่านอาจารย์ มีญาติพี่น้อง มีเพื่อนฝูงไหม สักวันหนึ่งก็จะถึงเวลาที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ตามคุณอรวรรณไปเป็นเพื่อน ไปเป็นญาติ ไปเป็นของคุณอรวรรณได้เลย เหมือนชาติก่อน คุณอรวรรณเป็นใคร มีบริวาร มีเกียรติยศ มีสมบัติ มีชื่อเสียงแค่ไหน

    ผู้ฟัง ไม่รู้เลยสักอย่าง

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ชาตินี้อีกไม่นานก็ไม่รู้เลยว่าเคยเป็นใคร แต่ว่าความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังสามารถที่จะติดตามไปได้ พอฟังเข้าใจได้มากกว่าการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่สามารถจะเป็นสมบัติคือปัญญาที่ติดตามไปได้ ถ้าไม่มีปัญญาก็คือว่าเกิดแล้ว เกิดอีก ก็ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า เกิดมาเพื่ออะไร เพราะเกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคน คนที่ไม่ตายไม่มี แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพาน ไม่มีใครที่เกิดแล้วไม่ตาย แต่ก่อนตายเกิดมาทำอะไร สนุกสนาน อร่อยเพลิดเพลิน แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหน หายไปหมด คิดถึงแต่ละวันๆ ที่ผ่านไปจนถึงวันที่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย แต่สิ่งที่ได้เกิดมาในชาตินี้จนกว่าจะถึงตายก็ได้สะสมสืบต่อเป็นอุปนิสัยเป็นสิ่งที่มีกำลังที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ไม่ต้องมีชื่อเพราะว่าตอนนี้ยังไม่ได้เกิดใช่ไหม พอถึงเวลาเกิดจริงๆ เขาก็เรียกชื่อใหม่เป็นคนใหม่ แต่ว่าไม่ใช่คนนี้แน่นอน

    เพราะฉะนั้น เพียงแต่ว่าสิ่งที่ได้สะสมมาแล้วก็ปรากฏเป็นอุปนิสัยต่างๆ กันบางคนก็มีทานนุปนิสัย เป็นผู้ที่ชอบให้ทานคนอื่น ง่ายมากไม่ลำบากเลยพร้อมที่จะให้ บางคนก็สีลุปนิสัยหมายความถึงความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจาที่ดี ที่เป็นฝ่ายกุศลที่สะสมมาก็ยังติดตามไปเป็นผู้ที่ไม่พูดคำหยาบ มีไหม ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ปู่ ย่า ตา ยายก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าอัธยาศัยก็เป็นแต่ละอย่างตามการสะสม บางคนก็ไม่พูดคำไม่จริงก็ตามอัธยาศัยที่สะสมมา เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่เกิดมาแต่ละชาติสะสมสิ่งที่จะติดตามไปในชาติต่อไป

    เพราะฉะนั้น อย่างอื่นนอกจากนี้ติดตามไปไม่ได้เลย แต่ความดีความชั่วซึ่งเกิดแต่ละขณะจะสะสมสืบต่อติดตามไปแต่ละชาติ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่ได้ฟังพระธรรมก็เป็นชาติหนึ่งในหลายๆ ชาติที่ผ่านมาแล้วซึ่งก็มีศรัทธาที่จะได้ฟังคำจริงเป็นคำที่แสดงให้ได้เข้าใจความจริงของชีวิตที่เราเข้าใจว่าเป็นเรา และเป็นของเรา ได้ถูกต้องว่าแท้ที่จริงทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย คิดก็ไม่เหมือนกันชอบก็ไม่เหมือนกัน ความสนใจที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต่างกันไป บางคนวาดรูปเก่งมาก คนอื่นทำอย่างนั้นได้ไหม ก็ไม่ได้

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกขณะที่เกิดขึ้นอยู่ในจิต และก็สะสมเป็นบุคคลต่างๆ ในชาติต่อๆ ไปตามจิตที่ได้สะสมมา เหมือนชาตินี้ก็ชั่วคราวแล้วก็จากไป แต่ว่าความดีความชั่วที่สะสมอยู่ก็ติดตามไปด้วย แล้วเมื่อไหร่จะละความชั่วกันเสียที ไม่มีใครชอบความชั่วเลยใช่ไหม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เป็นปัญหาที่เป็นการเบียดเบียนประทุษร้ายมาจากอกุศล หรือความไม่ดีงามเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ ที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ถ้ายังมีอยู่ตราบใดที่จะให้ไม่มีปัญหา หมดปัญหา หรือว่าให้สุขสบายกันทั่วหน้าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งถ้ามีความดีมากกว่าความชั่วก็สามารถที่จะทำให้คนที่อยู่รวมกันสุขได้ตั้งแต่ในครอบครัวจนกระทั่งถึงเพื่อนฝูง จนกระทั่งถึงส่วนรวมทั้งหมด เพราะฉะนั้น จะไม่เกิดอีกได้ไหม ไม่ได้ จะเกิดที่ไหนเลือกได้ไหม จะเกิดเป็นใคร ก็เลือกไม่ได้เพราะไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งหมด เป็นธาตุซึ่งทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่าแต่ละขณะนี้เป็นธาตุอะไรบ้าง มีปัจจัยอะไรที่ทำให้แต่ละธาตุเกิดขึ้น เป็นเหตุ และผลที่จะตามมาเมื่อไหร่โดยสถานะใด

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมไม่ใช่ทำให้เราง่วง หรือไม่ได้ทำให้เราคิดว่าแล้วจะไปเอาธรรมนี่ใช้ประโยชน์อะไร เริ่มเห็นแก่ตัวแล้วใช่ไหม มีตัวที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็อยากจะได้ประโยชน์อยากจะได้ผล แต่ลืมว่าแท้ที่จริงเกิดแล้วก็ตายด้วยความไม่รู้แล้วด้วยความติดข้อง ด้วยความเป็นเรา และด้วยความหวังประโยชน์ทุกชาติไป แล้วจะมีสุขได้อย่างไร

    เพราะเหตุว่าอกุศลทั้งหลายเบียดเบียนทำให้ผู้ที่เกิด และก็มีอกุศลในขณะนั้นต้องเป็นไปตามอกุศลนั้นๆ และผลของอกุศลก็มีมาก อย่างที่เราเห็นก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมดทั้งเหตุ และผล ถ้าเข้าใจขึ้นก็ดีขึ้นใช่ไหม สามารถที่จะรู้ว่าใครก็บันดาลไม่ได้ กำลังโกรธเกิดขึ้นไปบอกคนอื่น ช่วยทำให้หายโกรธหน่อยได้ไหม ไม่ได้ แม้ตัวเองคิดเท่าไหร่ๆ ก็ยังโกรธอยู่ ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้โกรธหายไปด้วยความคิด แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับอกุศลโดยสิ้นเชิงไม่มีการเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษของอกุศล เห็นโทษของความไม่รู้ ก็ศึกษาธรรม เพราะเหตุว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พ้นจากอกุศลทั้งหลายได้

    ผู้ฟัง ในการศึกษาก็ต้องละเอียดรอบคอบ ถึงจะสามารถเข้าใจได้ ถ้าเผินคิดว่าง่าย เข้าใจแล้วไม่ฟังอีกแล้วก็จะไม่มีทางทำให้ปัญญาเข้าใจมากขึ้นได้เลย

    ท่านอาจารย์ แค่ฟังเป็นธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา ลืมแล้ว ลืมเร็วมากเพราะว่าไม่คุ้นเคยต่อการที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม แต่คุ้นเคยต่อการที่จะจำว่าเป็นสัตว์บุคคลเป็นเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้น ก็ตามการสะสม เมื่อการฟังแล้วความเข้าใจว่าเป็นธรรมยังน้อยมาก ทันทีที่ได้ฟังก็แทบจะกล่าวได้ว่าก็ลืมเลยว่าเป็นธรรม ใครรู้บ้างว่าแข็งขณะนี้เป็นธรรม ไม่มี ฟังแล้วใช่ไหม สิ่งที่มีจริงคือแข็ง ในสังสารวัฏฏ์ แข็งเป็นขณะหนึ่งที่ปรากฏว่ามีจริงๆ ในสังสารวัฏฏ์ และก็มีอย่างอื่นอย่างรวดเร็ว หายไปแล้วแข็ง ทุกอย่างหายไป หายไปๆ โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย และก็ไม่รู้ด้วยว่าหายไปแล้ว สิ่งใหม่ที่เกิดก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่ได้ดับไปแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ไป หลงไปตลอดชีวิตจนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคง ทุกคำที่ได้ยิน สามารถที่จะรู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นความจริงอย่างนี้ตามที่ได้ฟังจนกว่าจะถึงวันนั้น เหมือนบุคคลที่ได้เฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมท่านก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเพราะเข้าใจตั้งแต่นานแสนนานมาแล้วที่ค่อยๆ สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเมื่อไหร่กำลังได้เฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ หรือว่าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรากฏให้เห็น พระสุรเสียงก็ไม่ใช่ที่ทรงในกาลครั้งนั้น แต่คำ และความหมายก็ยังคงส่องถึงสภาพธรรมที่มีจริงเหมือนเดิมที่ได้ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่ลืมป่านนี้คงสะสมไว้มากที่สามารถที่จะเข้าใจได้ทันทีว่าเห็นขณะนี้ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งเพียงเห็น และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งเพียงปรากฏให้เห็นได้ ในเมื่อเสียงมีแต่ก็ไม่ปรากฏให้เห็นได้ แข็งมีก็ไม่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น แต่ละอย่างก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วก็ไม่เหลือเลย

    ผู้ฟัง การฟังบ่อยก็ทำให้ลืมน้อยลงเช่น ขณะนี้สติขั้นคิดก็ว่าเป็นธรรมมากขึ้น ตรงนี้ก็จะเหมือนได้มีสติขั้นคิดบ่อยขึ้น เท่าที่สังเกตุ อาบน้ำก็จะสนใจอะไรเย็นๆ ร้อนๆ หรือขณะนี้เหมือนกัน แต่ก่อนนี้นั่งมองก็จะมองอะไรไปเรื่อย ค่อยคิดว่าเป็นธรรมมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ทุกท่านได้สะสมศรัทธาถึงกับได้มาฟังที่นี่ และลองคิดดูฟังแล้วก็ลืม และศรัทธานั่นก็น้อยเพราะเหตุว่าคิดถึงเรื่องอื่นมีเรื่องอื่นที่น่าคิดเยอะแยะที่น่าสนใจแม้ในขณะนี้กำลังฟังก็อาจคิดถึงเรื่องอื่นได้ แล้วลองคิดดูว่าถ้ามีความสนใจในสิ่งอื่นมากขึ้นๆ มากกว่านี้ ศรัทธาที่จะฟังก็ไม่ได้มีการเจริญเติบโตขึ้น จนกระทั่งบางคนก็ไม่เห็นประโยชน์ แล้วก็ไม่ฟังอีกเลย ลองคิดดูน่าเสียดายไหม โอกาสที่ระหว่างที่สนใจเรื่องอื่นกับการที่จะได้ฟังสิ่งที่มีประโยชน์ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้ฟังอีกเมื่อไหร่ จากโลกนี้ไปแล้วจะได้ฟังอีกหรือไม่ ก็ไม่รู้ แม้พรุ่งนี้ ใครจะทำอะไร อยู่ที่ไหนจะได้ฟัง หรือไม่ได้ฟังก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นภัยจากการที่ว่ามีศรัทธาเพียงเล็กน้อยแล้วก็ไม่สะสมเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมีกำลัง อย่างอื่นก็มีกำลังมากกว่า สภาพธรรมมีจริงๆ อย่าง "หิริ" ความละอายต่ออกุศล "โอตตัปปะ" การเห็นโทษภัยของอกุศล ตรงกันข้ามกับ "หิริ" ละอายอกุศลไม่อยากมีเพราะว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีเห็นความน่ารังเกียจ "โอตตัปปะ" เห็นโทษเลยว่าถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะอกุศลทั้งหลายก็เกิดขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เราไม่รู้จักสภาพธรรมที่เป็นหิริโอตตัปปะแต่กำลังฟังมีทั้งศรัทธา มีสติ มีหิริ มีโอตตัปปะ เป็นการสะสมสืบต่อของสภาพธรรมซึ่งใครก็ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ได้เลย จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้นการฟัง และเข้าใจขึ้น เราจะไม่รู้เลยว่าผลของการฟังจะเกิดเมื่อไหร่ แทนที่อกุศลจิตจะเกิดขณะนั้นมีปัจจัยที่เป็นกุศลที่จะเกิดเพราะอาศัยการฟัง ด้วยเหตุนี้การฟัง จึงเป็นสิ่งที่จะทำให้มีการเข้าใจธรรมขึ้น ทำไมเราฟังเสียงอื่นได้ เสียงนกอย่างนี้ยังชอบ นกมีกี่ประเภทเสียงไม่เหมือนกันเลย นกตัวนิดเดียวเสียงดังกว่าเราอีก ใช่ไหม ตัวเล็กๆ แต่เวลาร้องนกเสียงดัง และก็เป็นภาษาของนก เราก็เลยสนใจเรื่องนกตัวเล็กตัวใหญ่ เสียงไม่เหมือนกัน ภาษาของนกแต่ว่าเสียงนั้นทำให้เข้าใจธรรม หรือไม่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความสนใจที่สะสมในอหิริกะ อโนตตัปปะ ไม่เห็นว่าขณะนั้นเป็นอกุศลเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เกิดแต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้น การที่จะละคลายอกุศลจะยิ่งยากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เริ่มต้นให้มีความมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ใครจะรู้ว่าขณะต่อไปจะเป็นอะไร ซึ่งขณะต่อไปหมายความถึงว่าไม่ใช่ชาตินี้ก็ได้ และก็ไม่ได้สนใจแต่เพียงเสียงนกใช่ไหม แค่ได้ยินเสียงนกยังคิดไปถึงว่าตัวเล็กนิดเดียวแต่เสียงดังตั้งแค่นี้ เพียงแค่เสียงก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายโดยไม่รู้เลยว่าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรมเลย เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรมก็อดทน เห็นคุณค่า และก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่ารัตนะใดๆ ทั้งสิ้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    18 มิ.ย. 2567