พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 647


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๔๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ อยู่ในประเทศที่สมควรแล้วต่อไปเป็นอะไร

    ผู้ฟัง คบสัตบุรุษ

    ท่านอาจารย์ คือผู้ที่สามารถที่จะสนทนาธรรมได้ ให้เข้าใจขึ้น และต่อไปอะไร

    ผู้ฟัง ตั้งตนไว้ชอบ

    ท่านอาจารย์ กำลังตั้งตนไว้ชอบ หรือไม่ หรือจะไปตั้งเมื่อไหร่ หรือที่ไหน อย่างไร

    ผู้ฟัง ขณะฟังเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แต่จากการฟังธรรมแล้วเห็นโทษของอกุศล แม้ความคิดว่า จะไม่เป็นอกุศลเหมือนเดิมเช่นแต่ก่อนเป็นคนที่โกรธง่าย แล้วก็ผูกโกรธแล้วก็ไม่ลืม วันนี้เป็นอย่างนี้หรือไม่ ยังเป็นอยู่หรือไม่ ตั้งตนไว้ชอบคือตรงนี้ ไม่ใช่ที่อื่น ไม่ใช่ฟังแล้วก็ผ่านไปๆ เหมือนเดิม แต่ว่าจากการที่ได้ฟังเข้าใจเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แต่โกรธจนกระทั่งผูกโกรธไม่ใช่แม้เพียงเล็กน้อย มากจนไม่ลืมแล้วก็ไม่ให้อภัยด้วย ยังอภัยไม่ได้เหมือนเดิมหรือไม่ และตั้งตนไว้ชอบคำนี้มีความหมายว่าอย่างไร จะไปตั้งตนเมื่อไหร่ แต่ในขณะที่กำลังฟังเปลี่ยนสภาพของอกุศลด้วยปัญญาที่เห็นโทษของอกุศล ทำให้เป็นผู้ที่มีแม้ความคิดที่จะละอกุศล ตั้งต้นตรงนี้คือสัมมัปปธาน ความเพียรที่จะเจริญกุศล เพียรที่จะละอกุศล เพียรที่จะให้กุศลที่เกิดแล้วเจริญขึ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งขณะจิต ซึ่งนามขันธ์ ๔ สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ต้องไม่ลืมว่าสังขารขันธ์ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น จากคนที่มีกิเลสมากๆ ชอบไหม หรือว่าคนกิเลสน้อยดีกว่า คนที่มีเมตตา มีความไม่โกรธ มีความหวังดี แม้แต่จะคบใครก็เพื่อประโยชน์ของคนที่เราคบด้วย ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเองเลยทั้งสิ้น ดีไหม แล้วจะเป็นอย่างนี้เมื่อไหร่ จะตั้งตนไว้ชอบเมื่อไหร่ แม้ความคิดยังไม่ได้คิด แล้วจะถึงเวลาที่เป็นอย่างนี้ได้วันไหนก็ไม่ถึง แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ทุกคนพอใจเคารพยกย่องเป็นผู้ที่จิตใจดีมีเมตตา มีความกรุณามีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน ก็ดูก็ดีแล้วทำไมเราถึงจะยังคงมีสิ่งที่ไม่ดี ไม่เริ่มตั้งตนไว้ชอบ

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษาสำหรับผู้ที่ว่าง่ายสะดวกใจใครชี้โทษก็น้อมรับแล้วก็เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่มีคนบอกโทษให้แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม เพราะว่าส่วนใหญ่ก็จะถามว่าคนว่าง่ายเป็นอย่างไร จะกลายเป็นคนเชื่อง่าย หรือเปล่าซึ่งไม่ใช่เลย เชื่อง่ายกับว่าง่ายไม่เหมือนกัน ว่าง่ายต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษเมื่อคนอื่นชี้โทษแล้วก็พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามโดยการที่ไม่โกรธเคืองว่าคนนี้มาชี้โทษเราแต่กลับเห็นว่าเป็นประโยชน์

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ข้อความแต่ละข้อของจักร ๔ ได้อยู่ในประเทศที่สมควร ฟังแล้วธรรม อยู่ตรงนี้แล้วก็ได้สนทนาธรรม คบบัณฑิตคือพระธรรม แล้วก็อยู่ที่ตั้งตนไว้ชอบ หรือไม่ ก็ไม่ใช่เราแต่ว่าสะสมอกุศลมากมายหนาแน่น แข็งเหมือนหินดาน จะปลูกเมล็ดพืชลงไปได้ไหมที่จะให้งอกงาม กับดินดีก็ต่างกันแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ได้ฟังธรรมในครั้งพุทธกาลก็ต่างกันไปตามประเภทของการสะสมของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น พระธรรมแสดงธรรมตามความเป็นจริงให้ผู้ฟังพิจารณาไตร่ตรองเห็นประโยชน์แล้วก็อบรม เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะละอกุศลได้ทันทีทั้งหมดแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีการสะสมมาพร้อมที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็ให้ทราบว่าภาวนาคือการอบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกจนกว่าจะสามารถรู้ความจริงของธรรมว่า ไม่มีเราเลยซึ่งยากกว่าการที่เพียงแต่จะให้ทาน หรือว่ามีความประพฤติทางกายทางวาจาที่ไม่เป็นโทษ หรือว่ามีความสงบของจิตแต่ว่ารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ให้อภัยง่ายกว่าให้อย่างอื่นไหม ให้อย่างอื่นต้องไปหามา ไม่มีจะให้ก็ให้ไม่ได้ วัตถุให้ไม่ได้เลยถ้าไม่มี แต่ให้อภัยได้ทันที ไม่ต้องหาสิ่งที่เป็นวัตถุอะไรมาได้เลย เพราะฉะนั้น สภาพจิตของใครเป็นอย่างไรคนนั้นเท่านั้นที่รู้

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ เรื่องให้อภัย นึกถึงเมื่อวานที่สนทนาเรื่องมานะเจตสิก ท่านอาจารย์บอกว่าการให้อภัยง่ายไม่ต้องมีอะไรก็ให้ได้เลย แต่ว่ามานะคือความสำคัญตนกับความผูกโกรธไม่มีเมตตาก็ให้อภัยไม่ได้

    ท่านอาจารย์ รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง นี่คือประโยชน์ของพระธรรม ไม่ใช่ให้บิดเบือนว่าเราเป็นคนดี แต่ว่าไม่ดีเป็นธรรมที่สะสมสืบต่อไปอีกทุกขณะที่เกิดขึ้นไม่ได้หายไปจากจิตใจเลย ใครจะไปช่วยตักตวงออกไปก็ไม่ได้ นอกจากปัญญาที่เข้าใจประโยชน์

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ เมื่อชาตินี้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเข้าใจก็สะสมความเข้าใจ หมายความว่าการสะสมการฟังให้เข้าใจขณะนี้ก็จะเป็นปัจจัยให้ไปอยู่ที่ที่มีที่ฟังธรรมเช่นนี้อีก และก็คบสัตบุรุษ ตั้งตนไว้ชอบ ก็เป็นทุกคนที่กำลังเป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ อุตส่าห์มีตั้ง ๓ แต่อัตตสัมมาปณิธิยังไม่มี ยังไม่ได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือขณะนี้ตั้งตนไว้ชอบ

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์พูดถึงความเป็นผู้ว่าง่าย ความเป็นผู้ว่าง่ายนี้ต้องเป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกที่อ่อนโยนต้องเป็นไปในกุศลน้อมรับคำเตือน น้อมรับคำพร่ำสอนด้วยความเคารพ ซึ่งในคำบรรยายของท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงเรื่องของท่านพระราธะเถระ ซึ่งท่านเป็นผู้บวชเมื่อแก่โดยมีท่านพระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาชย์ ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็พร่ำสอนอยู่เสมอว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ซึ่งท่านพระราธะก็น้อมรับคำพร่ำสอนของท่านพระสารีบุตรโดยเคารพ ไม่นานเลยเพียงสองสามวันเท่านั้น ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อันนี้เป็นผลจากความเป็นผู้ว่าง่ายก็คือน้อมรับคำพร่ำสอนด้วยความเคารพ

    ผู้ฟัง คุณคำปั่นได้พูดถึงความเป็นผู้ว่าง่าย อยากให้แสดงเพิ่มเติม ความเป็นผู้ว่ายาก

    อ.คำปั่น ถ้าเข้าใจถึงความเป็นผู้ว่าง่าย ความเป็นผู้ว่ายากก็ตรงกันข้ามกัน คือไม่รับคำพร่ำสอน หรือว่าไม่ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนด้วยความเคารพ ความเป็นผู้ว่ายากก็เป็นเหตุที่จะทำให้เพิ่มอกุศลมากยิ่งขึ้น เป็นผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลสมากยิ่งขี้น ยากที่จะแก้ไขได้

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ ที่ว่าเห็นแล้วลึกซึ้งนี่ แต่ปุถุชนเห็นแล้วก็ไม่ลึกซึ้งอะไร จะมีความต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปุถุชนแปลว่าอะไร ใคร ปุถุคือหนา ใช่ไหม หนาด้วยกิเลส ด้วยอวิชชาด้วยความไม่รู้ก็เห็นว่าเห็นเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรลึกซึ้งเลย แต่ความจริงต้องค่อยๆ พิจารณา จะได้พ้นจากความหนาด้วยความไม่รู้ คือค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีแล้วก็ไม่รู้แน่นอน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยการไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจขั้นต้นคือขั้นได้ยินได้ฟัง และเข้าใจเรื่องของสิ่งที่มี แต่ความลึกซึ้งก็คือว่าเพียงเข้าใจอย่างนี้แต่ยังไม่รู้สภาพที่แท้จริงของธรรมซึ่งมีจริงๆ เพราะเกิดแล้วก็ดับเร็วมาก

    เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามแม้มีจริงเพราะเกิดดับเร็วมาก แล้วจะรู้ความจริงเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นก็ต้องอาศัยการฟัง และเริ่มเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมนั้นว่าเป็นจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เห็นในขณะนี้กำลังมี คนที่บอกว่าไม่ลึกซึ้งเพราะไม่รู้แต่ความจริงเห็นขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้เลย เพราะเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย กำลังเห็นเปลี่ยนไม่ได้เลย เห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากขณะนี้กำลังเห็น ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น นี่แสดงให้เห็นว่าการฟังต้องฟังด้วยความละเอียด ด้วยความแยบคายคือถูกต้อง ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ปรากฏแต่พูดถึงเห็นที่กำลังรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จริงๆ ลักษณะนี้กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดแล้วก็เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ดับไป มีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดขึ้น เห็นจึงเกิดได้ ถ้าไม่มีจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่ปรากฏขณะนี้แม้มีก็ไม่ปรากฏ แต่เมื่อรูปนี้เกิด และจักขุปสาทรูปก็เกิด แล้วรูปที่เกิดนี้แหละกระทบจักขุปสาทรูปเป็นปัจจัยให้มีธาตุรู้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น แม้แต่ธาตุ หรือธรรมแต่ละอย่างก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็หลากหลาย และรวดเร็วจนไม่รู้ในความเป็นธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือความลึกซึ้งของธรรม

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้มีรูปที่กำลังกระทบคือสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้กระทบกับจักขุปสาทยังไม่ดับเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น จะไม่เรียกว่าจิตก็ได้ หรือจะอธิบายให้เข้าใจก็คือว่าธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เมื่อธาตุนี้เกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น เมื่อมีการกระทบกัน การประจวบกัน อุปัตติของทั้งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา และจักขุปสาทรูปเป็นปัจจัยให้ธาตุนี้เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ที่มองดูเหมือนกับว่าเห็นไม่ดับเลยเพราะความรวดเร็วเกิดดับสืบต่อของนามธาตุซึ่งเป็นจิต และเจตสิก ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยแต่เป็นธาตุที่มีจริงๆ จะไม่ให้ธาตุนี้เกิดก็ไม่ได้ เหมือนแข็งเกิดเป็นแข็งจะไม่ให้แข็งเกิดก็ไม่ได้ ร้อนเกิดเป็นร้อนจะไม่ให้ร้อนเกิดก็ไม่ได้ เย็นเกิดเป็นเย็นก็จะไม่ให้เย็นเกิดก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่มีในขณะนี้เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น และเมื่อเกิดแล้วจึงปรากฏ และที่จะเกิดได้ก็เพราะมีปัจจัยที่จะให้ธรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นแล้วก็ดับไป นี้คือความลึกซึ้งของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพชาติ จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงโดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวงเพื่อที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกให้มีความเห็นที่ถูกต้อง จนสามารถที่จะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเที่ยงแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ผู้ฟัง แม้แต่ผู้ฟังได้ยินได้ฟังอย่างนี้แต่ก็ยังเป็นเราที่เห็นยังไม่เห็นว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าฟังอย่างนี้เห็นได้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีมากไหม แค่เพียงฟังก็บรรลุแล้วรู้แจ้งแล้ว แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมลึกซึ้ง ฟังเพื่อให้เริ่มคิด เพื่อให้เริ่มเข้าใจ จริงหรือไม่ ไม่ได้ให้ต้องเชื่อแต่สิ่งที่มีเป็นธรรมดาเกิดแล้วจึงมีเป็นอย่างนี้ตามเหตุตามปัจจัย และใครก็บังคับไม่ได้ด้วย ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ไม่ให้ดับก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจความหมายของคำว่า "อนัตตา" ซึ่งตรงกันข้ามกับ "อัตตา" เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว หลอก และลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วไม่ดับเลย ไม่เห็นแม้แต่การเกิด และดับ

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีแล้วใช่ไหม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีแล้วแต่ความจริงต้องเกิด และก็ต้องมีจิตที่กำลังเห็นด้วย คนตาบอดไม่มีจักขุปสาทไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆ ปรากฏให้เห็นว่ามีจริงทางตาเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีจริง

    ผู้ฟัง แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเข้าใจว่าเห็นเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่ เมื่อเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง เมื่อไหร่ที่จะเข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง เป็นคำตอบที่ต้องฟังไปเรื่อยๆ ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อการฟังธรรม ว่าขณะนี้จิตเจตสิกสภาพนามธรรมเกิดแล้วดับเร็ว นี่คือความจริง เมื่อไหร่จะรู้ก็คือเข้าใจ และคลายความไม่รู้ เพราะความไม่รู้นี่มาก นี่พูดถึงนามธรรมซึ่งละเอียดกว่ารูปธรรม พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเหมือนง่าย ใช่ไหม ปรากฏแล้วแต่ไม่ได้รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ปรากฏให้เห็นจริงๆ นั้นเป็นธรรมแน่นอนมีจริงๆ ปรากฏให้เห็นได้ แต่ไม่มีอะไรที่อยู่ในสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ในความคิด และความไม่รู้ มีคน มีวัตถุสิ่งต่างๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น อวิชชา และปุถุชนไม่สามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ ว่าจริงๆ แล้วธาตุชนิดนี้เกิด กระทบจักขุปสาทจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป นี่คือความจริงของสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้ กระทบกายปสาทไม่ได้ กระทบหูก็ไม่ปรากฏ กระทบได้สิ่งเดียวคือจักขุปสาทซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน แล้วเราจะรู้ไหมทำไมบางคนตาบอด บางคนก็ไม่บอดเพราะอะไร การเห็นไม่ใช่ว่าเลือกเห็นตามใจชอบ กำลังนอนหลับสนิทนี่เห็นไหม ไม่เห็น ให้เห็นไม่ได้หรือ เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จึงเข้าใจความหมายของคำว่าธรรม เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงไม่เป็นธรรมเลย เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ แล้วตั้งแต่เกิดมาแล้วก็ไม่ได้ฟังพระธรรมเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาตลอดใช่ไหม เห็นพ่อ ห็นแม่ เห็นเพื่อน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นดอกไม้ เห็นต้นไม้ โดยความรวดเร็วแล้วไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นดับแล้ว แต่ว่าการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วก็ทำให้ปรากฏเป็นนิมิต รูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้เกิดการจำ ซึ่งจำก็มีจริง ขณะนั้นกำลังจำสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่จำสิ่งที่ปรากฏจะรู้ไหมว่าอะไรปรากฏ ก็ไม่รู้เลย และก็เมื่อไม่เห็นแล้วยังจะจำได้นึกออกในสิ่งที่เคยปรากฏ เพราะมีสภาพธรรมที่จำ ไม่ให้สภาพนี้จำได้ไหม ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จำเป็นธรรมอย่างหนึ่งขณะนี้ก็มี เมื่อจิตเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเกิด ต้องมีสภาพนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมจิตเกิดร่วมกับจิต เกิดในจิต รู้อารมณ์เดียวกันแล้วก็ดับพร้อมกัน นี่คือความรวดเร็วของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับไม่ใช่เพียงแต่จิต เจตสิกด้วยก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้มากมายมหาศาลจนกว่าจะมีการฟัง เริ่มเข้าใจ แล้วจะมีคำถามไหมว่าเมื่อไหร่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยความเป็นธรรม เพราะว่ากว่าจะเข้าใจได้แม้ฟังขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถูกต้องไหม มีใครบ้างที่รู้ว่าไม่มีอะไรในสิ่งที่ปรากฏเลยทั้งสิ้นเป็นแต่เพียงธาตุ หรือธรรมที่ปรากฏเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งเป็นรูปร่างสัณฐานให้จำ และคิดว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ไม่รู้ความจริง เห็นแล้วก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นใช่ไหม ถ้าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับไม่ปรากฏรูปร่างสัณฐานที่จะเป็นคนเป็นสัตว์เลย แต่เป็นความจริงที่สามารถกระทบจักขุปสาทปรากฏให้เห็นแล้วก็ดับไป ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ก็จะไม่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว เร็วมากแล้วก็ดับ มีท่านผู้หนึ่งท่านก็สงสัยว่า ท่านก็ได้ฟังธรรมบ่อยๆ ก็พูดแต่ว่าเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับตลอดเวลาไม่หยุดเลย จะมีประโยชน์อะไรที่จะได้ยินคำนี้บ่อยๆ ถ้าไม่เห็นประโยชน์ก็จะไม่รู้เลยว่ามีความติดข้องในสิ่งที่เกิดดับโดยไม่รู้ว่าเกิดดับ ถ้ารู้ว่าเกิดแล้วดับไปเลยก็จะรู้ได้ว่าหลงติดข้องในสิ่งที่ปรากฏแล้วหมดไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่เฉพาะในขณะนี้ ในสังสารวัฏฏ์

    พราะฉะนั้น แต่ละสภาพธรรมที่เกิดเป็นแต่ละหนึ่งไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาเลย เพราะฉะนั้น จะเป็นอันเก่าไม่ได้ แต่ว่าเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนี้ดับกิเลสไม่ได้เลย เพราะว่าสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน เพราะฉะนั้น พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตื่นจากกิเลสคือความไม่รู้ เพราะว่าไม่รู้เลยว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดเมื่อมีปัจจัยแล้วก็ดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น การฟังเรื่องความไม่เที่ยง เรื่องสิ่งขณะนี้ที่ปรากฏให้รู้ว่าเกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเพื่อจะได้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่าไม่มีใครในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเลย

    เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ได้ฟังอย่างนี้แล้วไม่ลืม เวลาเห็นก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะคลายการที่ยึดถือคนในสิ่งที่ปรากฏไหม ไม่มี ไม่มีคนมีแต่รูปร่างสัณฐานที่จำรูปร่างนี้ แล้วรู้ด้วยว่านี่คนนี้ไม่ใช่คนนั้น เพราะฉะนั้น ความจำนี่ละเอียดมาก และเกิดกับจิตซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งๆ เป็นโลกของความคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏถ้าไม่มีสิ่งใดปรากฏจะไปคิดถึงสิ่งนั้นได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือเป็นลักษณะที่อ่อน หรือแข็งก็คิดถึงไม่ได้ถ้าไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น โลกของความคิดไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่สว่าง ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่อ่อนแข็ง คิดเป็นธาตุที่เป็นนามธาตุ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย เพราะฉะนั้น จะเป็นสิ่งที่ปรากฏสว่างเหมือนสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธาตุรู้มืดสนิทแต่คิดได้ ยังไม่ทันเห็นอะไรเลยก็คิด เพราะนั้น ให้ทราบว่าทันทีที่กำลังนอนหลับสนิทมีจิตเกิดดับแต่ไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีแม้แต่คิด หรือฝัน แต่ก็ยังมีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ที่เกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ยังสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ไม่ได้เลย เพื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ซึ่งเป็นผลของกรรม ไม่เห็นไม่ได้เลย แล้วจะรู้ไหมว่าเห็นเมื่อไหร่ก็คือผลของกรรม กรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัยให้เมื่อมีสิ่งนั้นกระทบแล้วแต่ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจก็เป็นวาระของกุศลกรรมจะทำให้จิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมนั้นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    21 มิ.ย. 2567