พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 648


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๔๘

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจก็เป็นกาลของกุศลกรรมจะทำให้จิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมนั้นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ การรับผลของกรรม หรือการที่จะเป็นผลของกรรมก็ต่อเมื่อ เห็นเมื่อไหร่เป็นผลของกรรม ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นผลของกรรม แล้วก็คิดนึกทรงจำในสิ่งที่เพียงเกิด ปรากฏหมดไปอย่างเร็วว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นานแสนนานมาแล้ว หรือว่าชาตินี้ทั้งชาติตั้งแต่เกิดมาก็ยังคงเป็นคนนั้นคนนี้ เรื่องราวต่างๆ ต่อเมื่อมีการฟัง และมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละอย่าง ก็ทำให้รู้ความจริงว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรมแล้วก็ดับไป จะทำให้เข้าถึงการเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ ทุกขอริยสัจจะ สมุทยอริยสัจจะ นิโรธอริยสัจจะ มรรคสัจจะ พูดย่อๆ แต่ก็ให้เข้าใจได้ว่าอริยสัจจ์มี ๔ ขณะนี้มีทุกข์ไหม สภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ไม่ชื่อว่ารู้ทุกข์ หรือไม่ใช่ปัญญาที่เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ในขณะนี้จะละสักกายทิฏฐิการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม เพราะไม่มีลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดจริงๆ และดับจริงๆ ให้รู้ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมนั้นเท่านั้นที่เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น การรู้ทุกขอริยสัจจะทำให้ละสักกายทิฏฐิ เพราะเหตุว่าไม่มีธรรมที่รวมกัน เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงก็จะทำให้สามารถที่จะละความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นเรา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดในขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิดแล้วดับ ขณะนี้เป็นอย่างนั้น หรือไม่ ไม่เป็น แล้วถามว่าเมื่อไหร่ จะมีคำตอบไหม เพราะเป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของความเห็นถูก เป็นเรื่องของความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังเป็นอย่างนั้นในขณะนี้ แต่ปัญญาไม่ถึงระดับที่จะประจักษ์แจ้งความจริง แต่จากการฟังเริ่มเข้าใจ เริ่มเข้าใจเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องที่จะดำเนินไปสู่การเข้าใจยิ่งขึ้นเป็นสัมมาปฏิปทา หนทางที่จะทำให้รู้สภาพธรรมได้ ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวแม้เล็กน้อย ถ้าไม่มีความยินดี รูปนั้นจะไหวไปได้ไหม หรือว่ามีการคิดนึกเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม ถ้าไม่มีความยินดีในเรื่องที่คิด และกำลังจะคิด จะเกิดคิดได้ไหม

    เพราะฉะนั้น จะรู้ได้ว่าตลอดเวลานี่ เมื่อโลภะเกิดขึ้นทำให้ไม่รู้ ทุกขอริยสัจจะ เป็นเหตุทำให้ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แล้ววันหนึ่งๆ โลภะมาก เท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็ไม่รู้จักมรรคคือหนทางที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ความสงสัยเกิดไหม ขณะนี้เห็นเกิดดับหรือไม่ ฟัง เข้าใจ แต่ว่ากำลังเกิดดับ หรือไม่ และการเกิดดับของเห็น และสภาพธรรมแต่ละอย่างเป็นอย่างไรใช่ไหม บางคนก็ถามว่าเสาทั้งต้นจะเกิดดับได้อย่างไร นั่นก็คือไม่เข้าใจธรรม ธรรมคือไม่ใช่เสาทั้งต้น แต่เป็นลักษณะของรูปธรรม และนามธรรมแต่ละลักษณะซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไป อย่างที่ได้กล่าวถึงจิตเห็น ขณะใดที่จิตเห็นเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท เข้าใจ ถามว่าแล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ ต้องถามไหม เมื่อไหร่ ใครจะตอบได้ต้องเป็นความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจขึ้น และขณะนี้เห็นคน แต่รู้ว่าความจริงไม่มีอะไรในสิ่งที่ปรากฏนอกจากการเกิดดับของสิ่งที่กระทบจักขุปสาทจนกระทั่งเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานให้จำไว้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น วันนี้ถ้ายังไม่เคยเข้าใจอย่างนี้แม้สักเล็กน้อย สิ่งที่ปรากฏทางตาจะเกิดดับให้ปัญญาสามารถเห็นถูกต้องตามเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทปรากฏแล้วดับไปได้ไหม เพราะฉะนั้น กว่าจะคลายการยึดถือ และความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก่อน แล้วปัญญาก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ โดยที่อนัตตา ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยว่าเวลาที่ปัญญาถึงกาลที่สมบรูณ์ที่สามารถที่จะแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมจะเป็นสภาพธรรมใดก็รู้ไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เกิดขึ้น ยังไม่มีขณะนั้นในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อไหร่ก็ตามแต่ เพราะฉะนั้น แม้ท่านพระสารีบุตรท่านก็ทราบไหมว่าท่านจะพบท่านพระอัสสชิเมื่อไหร่ ได้ฟังอะไรก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยแต่เมื่อถึงกาลที่ธรรมใดจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น แต่ละท่านที่สะสมความเห็นถูกในขณะนี้ก็จะเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองไม่เป็นผู้ที่เข้าใจผิด และก็รู้ว่าความรู้ความเข้าใจธรรมที่ได้ฟังในขณะนี้แค่ไหน เพิ่มขึ้นบ้าง หรือยัง หรือว่าเป็นไปโดยไม่ปรากฏเหมือนการจับด้ามมีด เพราะเหตุว่ากว่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ลองคิดดู ถ้าเป็นความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก่อนที่จะเข้าใจอย่างนี้ได้ต้องมีการเข้าใจจากการฟัง และระลึกได้ค่อยๆ เข้าใจจนกว่าเพียงเห็นก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะท่านพระอัสสชิกล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้นกับท่านพระสารีบุตร คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ละความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะรู้ความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ถ้ายังไม่ได้อบรมความเห็นความเข้าใจอย่างนี้ แม้กำลังเห็นขณะนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริงกว่าจะประจักษ์การเกิดดับ กว่าจะละคลายการยึดถือ จนกระทั่งสมบรูณ์ที่จะแทงตลอดโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยความหวังว่าเมื่อไหร่ ถามใครก็ไม่รู้แล้วเขาจะรู้ได้เมื่อไรว่าเมื่อไหร่ เป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ พุทธะคือปัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้เมื่อไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นไม่ใช่มรรค เพราะฉะนั้น ตัณหา หรือโลภะไม่ใช่หนทาง ที่จะทำให้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ พระอัสสชิแสดงกับพระสารีบุตรเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา พระสารีบุตรสามารถที่จะประจักษ์ และตรัสรู้ความจริงที่พระอัสสชิได้แสดง พระอัสสชิก็ฟังมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสกับปุถุชนอย่างเรา เหมือนกับตรัสกับพระอรหันต์ต่างๆ ตรัสกับพระอัสสชิ ทำไมปัญญาต่างกันทำไมถึงตรัสข้อความเดียวกันที่ให้อบรมปัญญาในหนทางเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้แต่ละจิตเหมือนกัน หรือไม่ มีตั้งกี่จิตในห้องนี้ ทีละหนึ่งจิตที่เกิดแต่ละหนึ่งเหมือนกัน หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ ทำไมไม่เหมือน

    ผู้ฟัง สะสมมาต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาฟังธรรมจะให้เหมือนกันได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ แต่ว่าคำสอน สิ่งที่แสดงที่ตรัสเป็นอันเดียวกันทั้งผู้ที่จะอบรม ผู้ที่จะใกล้จะบรรลุเป็นพระอรหันต์กับปุถุชนที่ยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย สอนไม่มีอะไรต่างกันเลยแสดงสิ่งเดียวกันคือสภาพธรรม แต่ปัญญาที่จะประจักษ์ได้ก็ ...

    ท่านอาจารย์ จนกว่าบุคคลนั้นจะเข้าใจขึ้น ไม่ว่าใคร ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ ความจริงเป็นความจริง แต่ผู้ฟังสามารถที่จะอบรมเข้าใจขึ้นจนกว่าจะรู้ความจริง

    ผู้ฟัง ถ้าฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมแล้วจะเป็นการปฏิบัติธรรมที่เป็นปฏิปัตติเข้าถึงสภาพธรรมได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเหตุที่จะให้เกิดได้เลย เพราะเป็นเรื่องของปัญญา แม้ขั้นฟังยังไม่เข้าใจแล้วจะไปมีปัญญารู้ยิ่งกว่านี้ได้หรือ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฎิเวธ ปริยัติคือการรอบรู้ด้วยความเข้าใจในธรรมที่ได้ฟัง มั่นคงหรือยัง ขณะนี้มีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นี้เพียงเท่านี้เอง "เก็บไว้ในหทัย" ทรงจำไว้ในใจหรือไม่ หายไปหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นอีกบ่อยๆ ที่จะเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพียงแค่การนึกถึง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ยากที่จะคิด แล้วถ้าคิดด้วยความเข้าใจจริงๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจะมีกำลังที่สามารถที่จะคลายความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือไม่ พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงให้เกิดความรู้สิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่กำลังปรากฏทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่เว้น ไม่ใช่บอกว่าทางตาไม่ต้องรู้ แล้วก็ไปรู้ทางหู ก็ไม่รู้อย่างนั้น จะเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ

    ผู้ฟัง ถ้ายังไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรม เป็นเห็น เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็ไม่ต้องพูดถึงการปฏิบัติธรรมเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถูกต้องเพราะว่า ปฏิปัตติ ปัตติถึง ปฏิเฉพาะ เพราะฉะนั้น ปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะที่เป็นธรรม ขณะนี้ทุกคนทราบจากการฟังว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม มีลักษณะแต่ละอย่างๆ จากการฟัง อวิชชาไม่มีทางที่จะไปถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นจะรู้ความต่างของสติสัมปชัญญะ กับสติขั้นอื่นที่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา

    เพราะกว่าจะฟังแล้วรู้ ว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ว่าสติขั้นฟังก็คือว่าฟังเรื่องราวด้วยการไตร่ตรอง ด้วยความเข้าใจถูกจนกว่าจะมีความมั่นคงสัจจญาณ มีความมั่นคงว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงที่สามารถที่จะรู้แจ้งได้แต่ด้วยปัญญาที่ละคลายไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ที่ต้องการซึ่งไม่มีทางที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมเลย เพราะผิดตั้งแต่ต้นที่ไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น เวลาที่มีการเข้าใจเพิ่มขึ้นมีปัจจัยที่คิดไหม ขณะนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่คิดเพราะไปจำคำนี้มา ไม่ใช่คิดเพราะว่าเพียงเหมือนท่องแค่พูดแต่เกิดคิด และเข้าใจตามที่คิดด้วย "เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น " แม้เพียงเล็กน้อยนิดเดียวจะเห็นกำลังของกุศลที่สะสมขึ้น สะสมขึ้น สะสมขึ้นจนสามารถที่ทันทีที่เห็น แม้ไม่ต้องพูดเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพียงอาศัยระลึกทุกอย่างที่เป็นกัมมัฏฐาน หรือสติปัฏฐาน เพียงอาศัยระลึก เพราะอะไร มีลักษณะปรากฏให้ระลึกแล้วดับ

    เพราะฉะนั้น ก็เพียงอาศัยให้รู้ว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ อย่างนี้ ลักษณะของแต่ละอย่างก็คือเป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นปฏิปัตติ สติสัมปชัญญะถึงลักษณะด้วยความเห็นถูกด้วยความเข้าใจถูก ไม่ใช่เป็นคำ และไม่ใช่เป็นแต่เพียงคิดแต่มีลักษณะให้รู้ว่าขณะนั้นที่ลักษณะนั้นปรากฏ เช่นขณะนี้แข็งมีแล้วมีธาตุที่รู้แข็งจึงปรากฏได้ อย่างอื่นไม่มีเลย เป็นความจริง หรือไม่ ต้องถึงด้วยปัญญา ขณะนั้นจึงจะเข้าใจถูกว่าแข็งเป็นธรรม และรู้แข็งก็ไม่ใช่เรา แต่กำลังเป็นสภาพที่รู้แข็งในความมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างใดๆ เลย ธาตุรู้ก็เกิดขึ้น และก็รู้แข็ง ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง รบกวนขอคำถามสั้นๆ กราบท่านอาจารย์ที่เรื่องของตั้งตนไว้ชอบ เกี่ยวเนื่องกันว่า ทุกวันนี้ก็พยายามเป็นคนดีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านอาจารย์ก็ให้คำแนะนำ พยายามที่จะทำความดีทุกขณะในชีวิตประจำวัน แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ทุกวัน

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ก็เห็นถูกว่าเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ว่าเป็นอนัตตา เห็นไหม กว่าปัญญาจะรู้ว่า ทั้งๆ ที่คิดแล้วตั้งใจแล้วยังไม่เป็นอย่างที่คิด แสดงความเป็นอนัตตาของธรรมชัดเจนทุกขณะด้วย เดี๋ยวนี้ก็เป็นอนัตตา แต่กว่าปัญญาจะรู้ทั่วในความเป็นอนัตตา ปรากฏให้เห็นว่าบังคับบัญชาไม่ได้ก็ยังกลายเป็นเรา ทำไมถึงไม่เป็นอย่างที่คิดใช่ไหม เพราะปัญญาไม่ได้เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง คือแม้จะตั้งตนไว้ชอบว่าจะเป็นคนดีอยู่ทุกวัน

    ท่านอาจารย์ คิด

    ผู้ฟัง ตั้งใจด้วย และก็ทำได้ด้วย

    ท่านอาจารย์ ทำได้เพราะปัจจัย

    ผู้ฟัง จะเป็นดีกับคนทุกคนทุกขณะ

    ท่านอาจารย์ ทำได้เพราะมีปัจจัยที่จะเกิดดี หรือทำได้เพราะเป็นเราทำดี

    ผู้ฟัง ก็มีความตั้งใจตั้งตนไว้ชอบ

    ท่านอาจารย์ ตั้งใจดับแล้ว ตั้งใจดับไปแล้วแต่สภาพธรรมที่เกิดต่อก็ตามปัจจัย แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง เวลาที่ไม่ดีเมื่อสองสามวันก่อนเป็นวันที่เหนื่อยล้าแล้วก็..

    ท่านอาจารย์ เหนื่อยล้าเป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง แย่รู้สึกขุ่นมัวแม้แต่พยาบาลมาพูดด้วยหวังดีว่าจะช่วยดูแลแม่ ก็บอกว่าไม่ต้องผมจัดการเอง

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบสักนิดหนึ่ง

    ผู้ฟัง พูดสิ่งที่ไม่น่าฟังกับคนอื่นเลย เขาบอกว่าเมื่อกี้ไม่น่าจะพูดอย่างนั้นกับเขาเลย

    ท่านอาจารย์ ถามไม่ทันก็เลยถามรวมว่าทั้งหมดเป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นแล้ว..

    ท่านอาจารย์ แต่ละอย่าง แต่ละอย่างก็แสดงความเป็นธรรมที่หลากหลาย บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าปัญญาถึงกาลที่สามารถจะรู้ ละความเป็นเราได้ เพราะละ ละการยึดถือว่าเป็นเราทีละเล็กทีละน้อย แต่นี่ไม่มีกำลังอย่างนั้นเลย เพราะว่าแม้ทีละเล็กทีละน้อยก็ไม่มี

    ผู้ฟัง ทีละเล็กทีละน้อยหมายถึงอะไร ก็อธิบายอีกครั้ง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นแต่ว่าเป็นคำตอบ แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะที่เป็นธรรมทีละเล็กทีละน้อย อย่างตอนที่กำลังขุ่นใจ เป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ รู้ หรือไม่

    ผู้ฟัง บางครั้งก็รู้ ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ก็คืออนัตตาไม่ใช่เรา แต่ตลอดมานี่เป็นเรา ก็คือไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง อย่างนี้แสดงว่า เราก็เป็นคนดีได้ไม่ตลอด

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา

    ผู้ฟัง วันไหนที่แย่ๆ ก็ไม่ใช่คนดีเลย

    ท่านอาจารย์ ต้องฟัง "ไม่มีเราแต่มีธรรม" ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ดีก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ดีก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถึงจะเข้าใจความเป็นอนัตตาของธรรม

    ผู้ฟัง โดยปกติไปที่ไหนจะเป็นคนที่อ่อนน้อม พูดจากับผู้อื่นด้วยดี

    ท่านอาจารย์ เพราะสภาพอ่อนน้อมเกิดในขณะนั้น ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง พออีกวันก็เป็นคนพาล ร้ายพูดจา..

    ท่านอาจารย์ เพราะสภาพร้ายเกิด สภาพธรรมร้ายๆ มีปัจจัยก็เกิด ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ตั้งตนไว้ชอบ คิดว่าตั้งตนว่าดีได้ก็จะดีตลอดไป แต่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ ขอโทษ ฟังธรรมต้องฟังให้ละเอียด ไม่ใช่เราตั้งตนไว้ชอบ

    ผู้ฟัง เป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ชาตินั้นก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วสภาพธรรมเลวๆ ไม่ดีก็เกิดขึ้นได้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องเพราะยังมีปัจจัยที่จะเกิด

    ผู้ฟัง ได้ความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจความเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง เรียนถามคุณคำปั่นที่ว่า "ปุพเพกตปุญญตา" ความหมายของคำว่า "ปุพเพ" หมายถึงชาติที่แล้ว หรือชาติก่อนๆ นี้ หรือจะหมายถึงในชาตินี้ที่ได้กระทำบุญไว้ก่อน

    อ.คำปั่น ถ้าหากว่าได้ฟังตั้งแต่ต้นซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้ย้ำอยู่เสมอว่าขณะนี้ที่ฟังธรรมเข้าใจ ก็จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้าใช่ไหม เราก็เกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ก็ได้สะสมมาทั้งสิ่งที่ดี และสิ่งที่ไม่ดี แต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้มีโอกาสมาเกิดในถิ่นที่เหมาะ มีโอกาสได้มาฟังธรรมจากผู้ที่เข้าใจธรรม มีโอกาสได้ตั้งตนไว้ชอบในทางที่เป็นกุศล แล้วก็ในขณะเดียวกันก็ได้สะสมเป็นบุญต่อไปด้วย

    อ.ธีรพันธ์ ไม่ต้องห่วงว่าชาติปางก่อน ขณะนี้ก็กำลังเป็นปางก่อนไปแต่ละขณะๆ ที่เรียกว่าปางก่อนเพราะว่าจิตเกิดดับแต่ละขณะๆ ที่ผ่านมาถอยไปอีก จากชาตินี้ไปชาติที่แล้ว ถอยไปอีกๆ ๆ บำเพ็ญบุญอะไรมาบ้าง บำเพ็ญอกุศล หรือกุศล จึงเป็นปัจจัยให้ชาตินี้มีความเป็นไปอย่างนี้ มีความประพฤติอย่างนี้ แล้วก็กำลังเจริญ ถ้าเป็นการเจริญสิ่งที่ถูก มีความเห็นถูกก็เป็นการตั้งตนไว้ชอบ มีการบำเพ็ญบุญที่สำคัญมากซึ่งจะเป็นปางก่อนของชาติหน้า ขณะนี้กำลังเป็นปางก่อนของชาติหน้าที่สัมผัสได้จริง เห็นได้จริง ถ้าเป็นกุศล ถ้าเป็นความเห็นถูกก็เป็นปัจจัยให้ชาติต่อไปได้พบกัลยาณมิตร คบสัตบุรุษ ได้เข้าหาท่านได้ศึกษาธรรม และมีการพิจารณาอย่างถูกต้อง ซึ่งขณะนี้ไม่ควรจะปล่อยให้เลยไป แต่ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ กำลังเป็นปางก่อนแต่ละขณะๆ

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ จะกราบเรียนถามถึงสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏมีจริงๆ ให้เข้าใจความจริงแม้ว่ามีจริงก็ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น การฟังไม่เดือดร้อนอะไรเลย เพียงแต่ฟังแล้วก็เข้าใจเรื่องของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเท่านั้นเอง ฟัง และก็เข้าใจเรื่องของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพราะว่าไม่เคยรู้ความจริงนี้มาก่อนเลย

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏเป็นทั้งรูป และนาม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปถึงคำนี้ก็ได้ แค่เป็นสิ่งที่มีจริง แน่นอนใช่ไหม เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะไปคิดถึงคำว่ารูป และนาม ขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้คืออะไร แต่ละอย่างต้องตรง และก็ชัดเจน เราจะไม่กล่าวลอยๆ แต่เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดก็มีสิ่งนั้นที่กำลังปรากฏให้เริ่มรู้ให้เริ่มเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น กล่าวว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แค่นี้ไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่าสิ่งที่จริงในขณะนี้คืออะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่พูดว่าเป็นอะไร อะไรมีจริงขณะนี้

    ผู้ฟัง ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้แม้แต่คำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ทุกคนต้องเริ่มคิด เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะกำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่ให้เราไปคิดเรื่องอื่น และไปคิดเองยาวๆ ชื่อนั้นชื่อนี้ แต่ว่าแม้เพียงขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา การฟังก็เพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ให้รู้เสียง หรือไม่ ขณะที่พูดว่า "สิ่งที่ปรากฏทางตา"

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ให้รู้แข็งหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะเวลาพูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเสมอ เวลาที่มีคนไปเฝ้าก็พูดถึงสิ่งที่มีจริงให้คนนั้นมีความเข้าใจในสิ่งที่มีจริง ซึ่งคนนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจด้วยตัวเองได้ แม้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ก็ลืมที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ทั้งๆ ที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น สัจจธรรมความจริงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยตลอด โดยประการทั้งปวง เพื่อไม่ให้คนที่ทูลถาม หรือเฝ้าฟังพระธรรมในขณะนั้นคิดอย่างอื่น หรือว่าสนใจอย่างอื่น แต่ว่าเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ขณะนี้ซึ่งทุกคนกำลังมี ก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังฟังเพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน

    ธรรมต้องเป็นความที่มั่นคง และค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏโดยถ่องแท้เพียงฟังเล็กน้อย แต่ในขณะนี้ที่ฟังก็พิจารณาแล้วก็ยืนยัน และก็มั่นใจ มั่นคงว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้มีใครหลอกว่ามีจริง หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี ถ้าคนอื่นบอกว่าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เลย จริง หรือไม่


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    21 มิ.ย. 2567