พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 652


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๕๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ แต่ขณะนี้ไม่ต้องคิดถึงคำอะไรเลย ฟังแล้วเข้าใจไม่ใช่ไปติดที่ "ไม่ให้คิดถึงคำอะไร" นี่ก็ผิดแล้ว ฟังอย่างไรกลายเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังอะไรแล้วก็บอกว่าคนนั้นพูดอย่างนี้ คนนี้พูดอย่างนั้น อย่าอ้างเลย ฟังแล้วเข้าใจว่าอย่างไร สงสัยอะไรก็ถาม คิดอย่างไรก็บอกจะได้รู้ว่าถูก หรือผิด ไม่ต้องไปคิดว่าเพราะคนนั้นพูดอย่างนี้ คนนี้พูดอย่างนั้น แต่พูดแล้วเข้าใจอย่างไร

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏนี่แน่นอน ทำไมพูด เพื่อให้รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ให้ไปคิดอย่างอื่น เพราะกำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ถ้าพูดอย่างอื่นก็ไปคิดถึงอย่างอื่น ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดแม้คำว่า "รูปธรรม หรือนามธรรม" สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถามบ่อย และยังถามต่อไปเพราะลืมที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ว่าสิ่งนี้มีจริงๆ จะใช้คำว่า "ธรรม" ก็ได้ไม่ใช้คำอะไรเลยก็ได้ แต่เพราะมีจริงทุกอย่างที่มีจริงก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย

    เพราะฉะนั้น เวลานี้พูดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาเข้าใจว่ามีจริงๆ แน่นอนเพราะว่า กำลังปรากฏ นี่คือการเริ่มต้นของการที่จะรู้จักธรรมว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ถูกต้องไหม แล้วก็ขณะนี้ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มีธาตุที่กำลังเห็นพอพูดถึงเห็นก่อนฟังธรรมก็ไม่มีใครสงสัยเลย แต่กำลังเห็นสงสัย ว่าเห็นเป็นอย่างไง เพราะว่าแต่ก่อนนี้เห็นเป็นเรา ปฏิเสธไม่ได้เลย ใครถามว่าเห็นไหม ก็ตอบว่าเห็น

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้รู้ความจริงของเห็น การศึกษาธรรมเพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏค่อยๆ เข้าใจว่าเห็นมีไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น คือเริ่มมาตรงลักษณะของสภาพธรรม โดยไม่ต้องใช้คำนามธรรม หรือรูปธรรม ไม่ไปบอกก่อนว่านี่เป็นรูปธรรม หรือนั่นเป็นนามธรรมบอกแล้วก็คือคำที่ได้ยินจำได้แล้วก็ผ่านไปๆ ๆ ก็จะตอบได้ว่าเห็นเป็นนามธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปธรรม แต่แม้ความหมายของรูปธรรมก็ไม่ได้เกิด เพราะเริ่มจะเข้าใจความต่างของธรรมซึ่งหลากหลายมาก ถ้ารู้ว่านี่เป็นธรรมอย่างหนึ่งไม่ต้องเรียกว่านามธรรม หรือรูปธรรมเลย แต่ลักษณะที่ต่างกันนั้นเองก็แสดงความเป็นธรรมที่ต่างกันๆ ๆ

    ด้วยเหตุนี้การที่จะเข้าใจคำที่ได้ยินมานานแสนนานบ่อยๆ จนกระทั่งจำได้ตอบได้แต่ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็โดยการที่เริ่มเข้าใจว่า แต่ละคำที่ได้ยินเป็นลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงกำลังปรากฏแต่ไปจำไว้โดยไม่ได้เริ่มเข้าใจถูกในลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้น ในขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาสงสัยไหม

    ผู้ฟัง ไม่สงสัย

    ท่านอาจารย์ ไม่สงสัย ใครจะไปสงสัย กำลังปรากฏมีจริงๆ เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ต่อไปนี้เวลาที่ได้ยินคำว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หรือสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่สงสัยเลย เริ่มชินเริ่มรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตา พอพูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏนั้นแหละ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ต้องมีเห็น ถ้าไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นก็ต้องเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร ก่อนนั้นก็ตอบว่านามธรรมเลย โดยไม่รู้จักลักษณะของนามธรรม ได้ยินชื่อ เพราะฉะนั้น จะไม่ศึกษาแบบจำชื่อแต่รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้แต่ต้องฟัง และเริ่มรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฏไม่ได้เลยถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งกำลังเห็น

    ผู้ฟัง แต่ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เห็นมีแต่ไม่รู้จักว่าเป็นธรรมที่เป็นธาตุรู้ จะบอกว่าเห็นไม่มีไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง เห็นมี

    ท่านอาจารย์ เห็นมีแต่ไม่รู้จัก

    ผู้ฟัง ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังเพื่อที่จะให้รู้จัก ไม่ใช่ฟังให้จำชื่อ

    ผู้ฟัง แล้วฟังอย่างไงถึงจะรู้จัก

    ท่านอาจารย์ ฟังอย่างไงต้องการอะไร หรือไม่

    ผู้ฟัง ต้องการ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้จัก ไม่มีทางรู้จักเพราะต้องการ ไม่อย่างนั้นทุกคนรู้จักหมดเลย อยากรู้จักอะไรก็รู้จักเพราะอยาก แต่ลืมไปทุกอย่างที่ขณะนั้นปรากฏแต่ไม่รู้ความจริงเพราะความต้องการปิดบัง

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ แต่ทุกอย่างเป็นอนัตตา ต้องการแต่จะโกหกว่าไม่ต้องการก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องการเป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังจนกว่าจะรู้ ไม่ใช่ฟังอย่างไงจะรู้ ฟังอย่างไงจะรู้เป็นเราต้องการจะรู้หาวิธีฟังอย่างไงก็ผิด ไม่มีทางที่จะฟังอย่างไงแล้วรู้ได้เลย นอกจากฟังอะไร มีสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังพูดเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ทราบว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ทราบชื่อ ทราบด้วยว่าเป็นรูป แต่เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือไม่ คือเดี๋ยวนี้จะเป็นธรรมก็ต้องในขณะที่กำลังปรากฏแล้วค่อยๆ รู้ว่าเป็นธรรมเท่านั้นเอง เป็นธรรมเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง อย่างนั้นก็ที่ตอบท่านอาจารย์มาว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วเป็นธรรมแล้วคิดว่ารู้จักก็คือไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาเป็นผู้รู้ ไม่ใช่คนอื่นจะไปรู้ใจของคุณสุกัญญา

    ผู้ฟัง คืออวิชชาปิดบังทั้งหมด แล้วก็ความอยากนี่คิดว่ารู้แต่จริงๆ ก็คือไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้

    ผู้ฟัง ก็ฟังมาสิบกว่าปี

    ท่านอาจารย์ แค่สิบกว่าปี แค่สิบกว่าปี อวิชชาที่สะสมมาในแสนโกฏิกัปป์อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ก็เหมือนอย่างท่านอาจารย์กล่าว จำได้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังใหม่ไม่ต้องไปคิดถึงชื่อไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่ต้องมีใครมาบอกแต่สิ่งที่กำลังปรากฏมีจริงๆ จะได้ถามน้อยลง เป็นอย่างไร อะไร อย่างไรเพราะว่าชื่อนี่ตอบได้ทั้งนั้นเลย แต่ว่าลักษณะแท้ๆ เดี๋ยวนี้มีค่อยๆ เข้าใจเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง และเกิดแล้วดับแล้วเร็วมากด้วย ความไม่รู้ทำให้จำว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงไม่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ปัญญาของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เมื่อไม่รู้สิ่งที่ปรากฏกับผู้รู้ทุกอย่างโดยประการทั้งปวง แล้วยังมีโอกาสได้ฟัง คิดดูก็แล้วกัน ยังมีศรัทธาที่จะฟังเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าประเสริฐกว่าสิ่งใด ทรัพย์สมบัติเงินทอง รูปร่างกายทั้งหมดก็ติดตามไปไม่ได้เลย ความดีความชั่วสำหรับคนที่ไม่เข้าใจธรรมก็ติดตามไปเป็นการสะสมของดีชั่ว แต่โอกาสที่ได้ฟังแล้วเข้าใจก็ไม่สูญหายเลย สะสมไปที่จะมีศรัทธา จากศรัทธาระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของการฟังจนกระทั่งระดับที่สามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ เมื่อมีสิ่งที่ปรากฏก็ต้องมีธาตุรู้แต่ว่าธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่มี หรือ มี หรือไม่มีธาตุรู้

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็ต้องมี

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ตอบแล้ว มีแต่ไม่รู้ เพราะเป็นเราไปหมด แต่ที่ว่าเป็นเราทั้งหมดเป็นธาตุรู้สิ่งต่างๆ จึงปรากฏได้ ถ้าไม่มีธาตรู้ก็ไม่มีอะไรจะปรากฏได้เลย กว่าจะค่อยๆ เข้าใจแต่ไม่ใช่ฟังอย่างไร ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากคำที่ได้ยิน ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ต่อเมื่อธาตุรู้นั้นขึ้นเพราะสิ่งที่กำลังปรากฏกระทบกับจักขุปสาท ธาตุรู้ก็เกิดขึ้นเห็นต่อจากนั้นก็ไม่ปรากฏแล้ว ดับแล้ว จนกว่าสิ่งที่สามารถกระทบโสตปสาทรูปธาตุรู้ก็เกิดขึ้นได้ยินสิ่งที่กระทบโสตปสาทรูปแล้วก็ดับ เราอยู่ที่ไหน แต่ธาตุรู้ไม่ได้ดับหมดไปเลยเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็ยังสามารถที่จะรู้ว่ามีธาตุรู้ยังไม่หมดไป

    ผู้ฟัง คือฟังแล้วก็จำได้แล้วก็พูดตามได้แต่ว่าไม่ได้รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วท่านที่รู้แล้วมีไหม

    ผู้ฟัง ต้องมี

    ท่านอาจารย์ แล้วก่อนจะรู้ท่านเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ก็ต้องเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมที่กำลังมีจริงๆ จากผู้รู้ ใครก็ตามที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นสาวกทั้งนั้น ไม่พูดถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ การฟังบ่อยๆ ๆ นี่ก็เป็นความทรงจำก็จำๆ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ เหมือนกับว่าจำแล้วก็พูดตาม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตาต้องพูดตามไหม

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตานี่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องพูดตามใช่ไหมว่ามีจริงๆ

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนนี้ไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจธรรม ไม่ต้องไปคิดถึงชื่อ ไม่ใช่ไปจำชื่อตอบชื่อ

    ผู้ฟัง ถ้าไม่จำชื่อก็จะไม่รู้ว่าจิตเห็นต่างกับจิตได้ยิน

    ท่านอาจารย์ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตาชื่ออะไร

    ผู้ฟัง จริงๆ เขาไม่มีชื่อ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจไหมว่ามีจริงๆ

    ผู้ฟัง เข้าใจว่ามีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงไม่ต้องเรียกว่าธรรมก็ได้ ไม่ต้องเรียกว่ารูปธรรม หรืออะไรเลยทั้งสิ้นก็มีจริงๆ ให้เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริง มีจริงบังคับบัญชาไม่ให้มีไม่ได้เลย เกิดแล้วเป็นอย่างนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ผู้ฟัง ผู้ศึกษาก็ให้เข้าใจว่าใช้ชื่อเพื่อบอกสิ่งต่าง สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เสียง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีชื่อแล้วจะรู้กันได้อย่างไร

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ในการศึกษาถ้าจะเข้าใจคือสนใจลักษณะ ชื่อบอกถึงลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจธรรม ศึกษาธรรม ธรรมไม่ใช่สิ่งลอยๆ มีจริงๆ และไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ถ้าไม่พูดไม่เรียกไม่ใช้คำเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ถูกต้องตามความเป็นจริง อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็มีจริงๆ แค่ปรากฏ มีจริงๆ แค่ปรากฏ ถูกไหม เมื่อเห็นด้วย แค่นี้คือสิ่งที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจจนกว่าจะมั่นคงเป็นสัจจญาณ

    ผู้ฟัง แล้วอะไรไปจำชื่อแล้วไม่สนใจลักษณะ

    ท่านอาจารย์ สนใจมีจริงๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถามถึงอะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ถามถึงธรรมที่สนใจ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมที่สนใจก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งสนใจ

    ผู้ฟัง การสนใจชื่อกับเรื่องราว ก็เป็นเครื่องกั้น จะเล่าว่าไปทะเลมาแล้วคุยกับอาจารย์ธิดารัตน์ในห้องน้ำก็ไปคิดถึงเรื่องจงอยปากยุง เรื่องมหาชนก เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับทะเลเยอะแยะไปหมดเลย

    ท่านอาจารย์ จริงไหม

    ผู้ฟัง จริงแต่ไม่สนใจสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมทำไมจะเจาะจงรู้สิ่งที่ปรากฏ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่ปรากฏ จะรู้สิ่งใดต่อเมื่อสิ่งนั้นปรากฏ แล้วค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งนั้นว่าเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ ใช้คำว่า "ขันธ์" ขันธะหนึ่งเท่านั้นเองเกิดแล้วก็ดับ จะประณีต หรือจะทราม หรือจะหยาบ หรือจะละเอียดก็คือสิ่งนั้นแหละก็เกิดเป็นอย่างนั้นแล้วดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ทุกอย่างบ่งถึงความเป็นจริงของธรรม

    ผู้ฟัง คำถามคือต้องฟังแล้วเข้าใจมั่นคงมากพอถึงจะใส่ใจเรื่องชื่อกับเรื่องน้อยลง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง โดยไม่ต้อง มันเหมือนกับต้องไปสนใจเรื่องชื่อ เรื่องพยัญชนะ เรื่องอะไร

    ท่านอาจารย์ มีชื่อเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อให้รู้ลักษณะต่างๆ กัน

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่ต้องกล่าวถึงชื่อใดๆ ทั้งสิ้น แล้วธาตุรู้ก็มีทั้งจิต และเจตสิก ก็ต้องเอ่ยชื่อเพราะว่า ธาตุรู้มีอยู่สองประเภท

    ท่านอาจารย์ ทุกคนมาที่นี่คงไม่หวังว่าจะเงียบ ไม่ได้ยินอะไรเลย มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ แล้วทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ ถ้าไม่พูด ถ้าไม่ใช้คำ

    ผู้ฟัง ถ้าสิ่งที่ปรากฏนั้นเกิดขึ้นแล้วหมดไปก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แล้วไม่ต้องเอ่ยชื่อใดๆ ทั้งสิ้น

    ท่านอาจารย์ แต่ที่ใช้เพราะเป็นธรรมอย่างหนึ่งเพื่อให้เข้าใจถูกว่ามีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้ว เป็นแต่ละหนึ่งจึงใช้คำว่า "ขันธ์" เกิดแล้วก็ดับไปแต่ละอย่างหลากหลายสุดที่จะประมาณได้

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์ย้ำแล้วว่าฟังสิ่งที่มีขณะนี้ให้เข้าใจ มีลักษณะให้รู้ขณะนี้ แต่อย่างกรณีเหมือนกับเรียนปรมัตถธรรมสังเขปก็จะมีรายละเอียดที่เป็นอะไรมากมาย ต้องฟังเยอะมาก ฟังชื่อฟังเรื่องเยอะมากๆ

    ท่านอาจารย์ เจตสิกมีทั้งหมดเท่าไร

    ผู้ฟัง ๕๒

    ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง อย่างเจตนานี่ก็คือความตั้งใจจงใจขวนขวายก็พูดตามได้ แต่ไม่รู้หรอก ว่าลักษณะของตั้งใจจงใจขวนขวายเป็นอย่างไร สามารถพูดว่ามนสิการคือใส่ใจในอารมณ์ แล้วใส่ใจในอารมณ์

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย

    ผู้ฟัง สิ่งที่จะสนทนาคือว่าแล้วปัญญาที่จะรู้ตรงลักษณะตรงนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฟังธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง จริงๆ ให้เข้าใจเห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ควรรู้ไหมว่าจิตมีเท่าไหร่ ควรรู้เพื่อที่จะได้ละความเป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นเห็น จะใช้คำว่าวิบาก ผลของกรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต อกุศลจิตระดับไหนอย่างไรก็ให้รู้ว่าไม่เป็นเรา เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เวลาฟังธรรมไม่ได้รู้จุดประสงค์ว่าฟังเพื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าเป็นอนัตตา และเป็นธรรม ไม่ว่าจะทรงแสดงเรื่องจิตแต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ โดยชาติ โดยกิจการงาน หรือว่าโดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เพื่อให้เห็นว่าทั้งหมดไม่ใช่เราไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นธรรมแต่ละอย่าง ยิ่งเข้าใจความละเอียดขึ้นยิ่งเห็นว่าเป็นธรรมยิ่งขึ้นเพื่ออะไร เพื่อสะสมเวลาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม จึงสามารถที่จะเห็นว่าเป็นธรรมแล้วละการยึดถือว่าเป็นเรา ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ มีแต่ต้องเข้าใจจุดประสงค์ว่าเรียนเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจว่าเป็นอนัตตา เพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม และรู้ว่าเป็นชีวิตประจำวันด้วย ไม่ใช่ว่าเราเรียนๆ ไปแล้วขณะนี้เป็นธรรม หรือไม่เป็นก็ไม่รู้ จะมีประโยชน์อะไร

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้ก่อนว่าธรรมมีจริงๆ ถ้าใช้คำว่า "มีจริง" เมื่อไหร่ เมื่อปรากฏ เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ สิ่งนั้นแหละเป็นธรรม ที่เมื่อยังไม่รู้ก็ฟังความละเอียดเพื่อให้เห็นว่าเป็นอนัตตา แต่ว่าคนฟังอยากจะรู้ลักษณะของธรรม เจตสิกแต่ละ ๑ ที่เกิดร่วมด้วยเป็นอย่างไร อะไรต่างๆ แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าทั้งหมดเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรม ทำไมพูดเรื่องขันธ์ ทำไมพูดเรื่องธาตุ ทำไมพูดเรื่องอายตนะ ถ้าไม่รู้จะละไหม

    เพราะฉะนั้น สะสมความเข้าใจจนกว่าจะถึงเวลาที่ละได้ เพราะมีกำลังที่เกิดจากความเข้าใจโดยการรอบรู้เป็นสัจจญาณ ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้เลย ใครมาบอกว่าละอย่าไปติดข้อง ไม่รู้เลยว่าละอะไร แต่พอเข้าใจมากขึ้นเพิ่มขึ้น ก็สามารถที่จะถึงเวลาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ทำไมแม้รู้ก็ยังไม่ละ ความเข้าใจยังไม่พอ เพราะฉะนั้น ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธเกื้อกูล ไม่ใช่ว่าปริยัติไม่มีประโยชน์ ปริยัติไม่ใช่ท่อง ไม่ใช่สอบ ไม่ใช่ตอบ ไม่ใช่ได้คะแนนแต่ปริยัติคือฟังรู้ว่า ขณะนี้ธรรมที่มีไม่รู้เลยว่าเป็นอนัตตาอย่างไร

    เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อให้มีความเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไปตอบได้ จักขุวิญญาณมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท ถ้าเพียงแต่เรารู้ว่าจิตเกิดขึ้นต้องเป็นไปอย่างนี้ ใครก็ไปบังคับบัญชาไม่ได้เลย และความละเอียดก็คือกล่าวถึง ๑ ขณะซึ่งต่างกันไป แม้แต่สัมปฏิจฉันนะกับสันตรีรณะ อุเบกขาสันตรีรณะกับสัมปฏิจฉันนะมีเจตสิกเกิดเท่ากัน หรือไม่ ฟังแล้วก็มีเหตุผลที่จะเข้าใจถึงความเป็นอนัตตา ความละเอียดยิ่งของธรรมซึ่งใครเป็นผู้ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงเพื่ออะไร อุปาการะไม่ว่าจะเป็นคำภีร์ไหนคำไหนก็เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาของธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ นั่นหมายถึงว่าที่พระองค์ทรงกล่าวหลายนัยเช่น ปรมัตถธรรมมี ๔ อริยสัจจ์ ๔ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ก็เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรม และเป็นอนัตตาอย่างไร และเป็นขณะนี้อย่างไรด้วย เช่นแต่ก่อนท่องขันธ์ ๕ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณแต่ไม่รู้ว่าขณะเห็นก็เป็นขันธ์มีขันธ์อะไรอย่างนี้ครบ ซึ่งเมื่อศึกษาให้เข้าใจขณะนี้ก็สามารถเข้าใจได้ว่าขันธ์ก็ไม่ใช่ท่องแบบนั้นแต่ก็คือขณะเห็น ได้ยินขณะนี้เอง ขณะคิดนึกเป็นขันธ์เป็นธาตุอย่างไรซึ่งความเข้าใจเช่นนี้เมื่อบ่อยๆ เนืองๆ และก็ฟังมากก็จะสามารถที่จะน้อมไปเข้าหาลักษณะที่ปรากฏขณะนี้ได้ เหมือนปัญญาจะเจริญขึ้น

    ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นจากปุถุชนก็ไม่มีทางที่จะเป็นพระอริยบุคคลถ้าไม่มีการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกที่มั่นคงขึ้น

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ในกลุ่มสนทนาธรรมเวลาพูดถึงขันธ์ ถึงอายตนว่าขณะนี้ไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้อยู่ในอะไร แต่ก็เป็นพูดจากความจำโดยที่ปัญญาขั้นที่จะรู้ตรงนั้นยังไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดพร้อมเจตสิก จิตเห็นขณะนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร

    ผู้ฟัง ๗ เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง เกิดที่ไหน จิตเห็นเกิดที่จักขุปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ รู้หรือ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    27 มิ.ย. 2567