ปกิณณกธรรม ตอนที่ 730


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๐

    สนทนาธรรม ที่ เรือนทองทิพย์ จ.เชียงราย

    วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘


    ท่านอาจารย์ เข้าใจถูกเพิ่มขึ้น อย่างมั่นคง ที่จะไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เพราะรู้ว่าการที่จะเข้าใจธรรมต้องอาศัยการฟัง และความเป็นผู้ตรง

    ผู้ฟัง อาจารย์กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ในชีวิตประจำวันของเราไม่ได้เห็นธรรมที่มีจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง หรือก็ตามสภาวะที่เกิดปรากฏทุกขณะเลย เป็นบัญญัติเป็นเงาของปรมัตถ์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ คำถามว่า ขณะนี้เข้าใจธรรมมากไหม

    ผู้ฟัง น้อยมาก

    ท่านอาจารย์ น้อยมากเป็นพูดตรง ถ้ามากจะไม่มีคำถามอย่างนี้ เพราะว่าคําถาม หมายความว่าอยากจะรู้คำอื่นๆ อีกมากมายเลย บัญญัติบ้าง อะไรบ้าง เงาของปรมัตถ์บ้าง ต้องรู้ธรรมก่อน ค่อยๆ ศึกษาไป ฟัง ไม่ใช่ว่า เวลาที่มีคนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และถามเรื่องโน้น ถามเรื่องนี้ หรือถามเรื่องนั้น แต่ฟัง แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่าบุคคลนั้นรู้แค่ไหน สมควรหรือยังที่จะกล่าวถึงคำนั้น เพราะว่าเขายังไม่ได้เข้าใจอะไร เมื่อวานนี้ก็มีคนถามเรื่องขันติ แต่ถามหรือสนทนากับเขา แล้วเขาเข้าใจอะไรหรือยัง แล้วเราจะพูดขันติ ตอบให้เขาสมใจว่า ได้รู้แล้วว่าขันติคืออะไร แต่ไม่รู้จักธรรม ไม่มีประโยชน์

    การที่เป็นกัลยาณมิตร เพื่อนที่ดี หวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล แล้วไม่หวังร้ายเลย เพราะเหตุว่าพูดคำจริง ให้เขาไตร่ตรอง ไม่ใช่ให้เขารักเรา หรือชังเรา หรืออะไรเลย แต่ว่าเพื่อความจริง ที่เป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต กว่าจะได้รู้สิ่งที่จริง ก็จะถูกอวิชชาความไม่รู้ทําให้เข้าใจผิดไปมากมายได้ ด้วยความติดข้อง เพราะฉะนั้น กว่าจะละความไม่รู้ก็ต้องอาศัย ความรู้ความเข้าใจจริงๆ แล้วคำที่แต่ละคนถาม หรือคิดจะถาม ถ้าเข้าใจแล้วไม่ต้องถามเลย เพราะเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อน แล้วพอเข้าใจแล้ว แม้แต่เงาของปรมัตถ์หรืออะไรก็ตามแต่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้าพูดเดี๋ยวนี้ อาจจะคิดว่า ได้ยินแล้ว แต่ว่าเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้หรือเปล่า อันนี้สำคัญกว่า พุทธบริษัทมี ๔ ในครั้งนั้น มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ต่างเกื้อกูลกัน ถ้าเป็นคฤหัสที่เห็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนาก็ทะนุบำรุง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุทุกอย่าง เพราะว่าเป็นผู้ที่สามารถที่จะเกื้อกูลให้คนอื่นมีความเห็นที่ถูกต้องได้ เพราะฉะนั้น สำหรับพุทธับริษัทไม่จำกัดเลยว่าไม่ให้ศึกษาธรรม หรือว่าต้องไปศึกษาธรรมกับพระภิกษุเท่านั้น มีการสนทนาธรรมกัน แม้แต่ที่พระราชวังของพระนางสามาวดี ขุชชุตตรา ก็แสดงธรรมกล่าวธรรม เพราะว่าเป็นผู้ที่ได้ไปฟังธรรม ในเมื่อคนอื่นๆ อยู่ในวังนั้นไม่สามารถที่จะไปได้ก็สามารถที่จะช่วยให้คนอื่นให้ได้ฟังธรรมด้วย

    แม้แต่กาละที่มารผู้มีบาป มีความปรารถนาที่จะให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเสีย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า เมื่อพุทธบริษัททั้ง ๔ ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญดีแล้ว มีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง สามารถดำรงพระศาสนาต่อไปได้ และเมื่อถึงเวลาพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ปรินิพพาน เพราะเหตุว่าได้ทรงแสดงพระธรรมไว้ดีแล้ว พร้อมที่จะให้บริษัททั้ง ๔ สามารถที่จะสนทนากันได้ แม้ภิกษุที่ท่านไปสู่เรือนของคฤหัสถ์ เช่น ท่านจิตตคหบดี ท่านก็สนทนาธรรมกัน

    ขณะนี้ เป็นโอกาสหนึ่ง ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งก็จะไม่มีอย่างนี้อีก เพราะอะไร สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก ถ้าจะมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่ใช่วันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง ให้ทราบว่าเกิดแล้วดับแล้ว ชอบอะไรก็ตาม ลืมไปแล้ว สิ่งที่ชอบ เกิดแล้วดับแล้ว แต่ยังชอบสิ่งที่ไม่มีแล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่คือปัญญา กว่าจะถึงการที่จะรู้ความจริงที่สามารถที่จะละกิเลสได้ ต้องมีความรู้ขั้นการฟังก่อน พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษามากไหม นี่เราพูดแล้วกี่คำ ชั่วโมงหนึ่งแล้วใช่ไหม กี่คำ แต่ ๔๕ พรรษา ทุกคำ สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ต้องตามลำดับ พูดถึงนิพพานเดี๋ยวนี้ได้ไหม จะเข้าใจได้อย่างไร ในเมื่อที่กำลังมีขณะนี้ ก็ยังไม่เข้าใจเลย เห็นเดี๋ยวนี้ กล่าวว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แค่ฟัง แต่ก็ไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม

    แต่ใครก็ตาม ถ้าไม่มีการเข้าใจสิ่งที่ดีตามปกติในชีวิตประจำวัน ละหรือดับกิเลสไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าชีวิตปกติประจำวัน เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาแล้ว แต่ละหนึ่งคน เปลี่ยนกันไม่ได้เลย แม้แต่จะคิด แม้แต่จะพูด แม้แต่การนั่ง การยืน การเดิน เป็นการสะสมอย่างละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าชีวิตประจําวันเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนี้ แล้วไม่รู้ ไม่มีทางที่จะดับกิเลส ไม่มีทางที่จะรู้ความจริง เพราะมีความเป็นเรา

    แต่ว่าขณะนี้ ได้ฟังพระธรรม ได้ยินว่า เห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างมีจริงๆ เมื่อเกิดขึ้น แต่ก็ดับไป จึงไม่ใช่เรา นานไหม กว่าจะทั่ว เพราะเหตุว่า เรายึดถือสิ่งที่มีตามที่ได้สะสมมาต่างหากว่า เป็นเรา ไม่ใช่ไปยึดถืออย่างอื่นที่คนอื่นมี แต่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก็ยึดถือว่าเป็นตัวเรา เห็นเมื่อไร คิดเมื่อไรก็เราทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงตามปกติได้ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย เพราะขณะนี้ ก็มีความเป็นเรา ขณะที่กำลังฟัง เปรียบเทียบได้ คนที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่อยากมีกิเลส เขาบอกว่าเขาไม่อยากมีกิเลส เพราะอะไร ไม่อยากให้โกรธเลย โกรธแล้วไม่สบายใจ พอโกรธเกิดก็เดือดร้อน เที่ยวไปถามใคร ทำอย่างไรจะไม่โกรธตอบหน่อยสิ จะให้นับ ๑- ๑๐ ก็ยังไม่หาย เพราะฉะนั้น จะไปหาทางที่จะไม่ให้โกรธเกิดได้ ลืมเลย ลืมว่าโกรธเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ถึงรู้แต่ยังมีความเป็นตัวตน พอคิดว่า ฟังธรรมมามาก ระงับกิเลสได้ แต่ก่อนเราไม่เคยเป็นอย่างนี้ เราเคยพอโกรธก็พูดเลย ทำเลย ว่าเลย ทันทีเลย แต่เดี๋ยวนี้ เราเย็นลงนะ เราสามารถที่จะเงียบได้นะ แต่ลืมว่าเป็นตัวตน คือเป็นเรา

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ การละกิเลสต้องตามลำดับ พระโสดาบันบุคคลละกิเลสอะไร ยังเหลือกิเลสอะไร เพราะอะไร เพราะว่าไม่สามารถที่จะดับโลภะ โทสะ โมหะ ติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้ทันทีเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรา จะละได้อย่างไร เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องละก่อน คือการที่เคยเห็นผิด เข้าใจผิด ในทุกสิ่งตั้งแต่เกิดว่า เป็นเรา จนกระทั่งไม่เหลือเลย วันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้า ถ้ามีเหตุที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิด ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิด แล้วรู้ ทีละเล็กทีละน้อย จนครบถ้วน ผู้นั้นรู้เอง รู้แค่ไหน ยังไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ไม่หลอกตัวเอง เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่า เป็นผู้ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีพระภิกษุเป็นที่พึ่ง แต่ต้องพระอริยสงฆ์ซึ่งรวมถึงพระอริยบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์ด้วย เพราะสงฆ์ คือ คณะของอริยะ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด แต่เป็นผู้ที่ได้ดับกิเลสแล้ว เพราะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง คืออริยสัจจธรรม ฟังธรรมต้องฟังแล้วก็พิจารณา สงสัย ไม่เห็นด้วย ข้องใจ ซักถาม เพื่อความแจ่มแจ้ง จึงจะเป็นประโยชน์ของการที่มีเวลาที่มีค่ามากในชีวิต ไม่รู้ว่าเย็นนี้จะอยู่ที่ไหน โลกไหนก็ยังไม่รู้ แต่ว่าโอกาสที่จะมีการเห็นถูก เข้าใจถูกในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ความคิดของเราเอง หรือว่าไม่ใช่คำของคนอื่น ความคิดของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง ก็มีชาวต่างประเทศซึ่งเขานับถือศาสนาอื่น พอได้ฟังธรรมนิดๆ หน่อยก็เลื่อมใส ไม่เห็นว่าจะต้องมีผู้ที่สร้างหรืออะไรๆ อย่างที่เคยเข้าใจมาก่อน แต่ก็น่าแปลก มาเชื่อคนที่บอกให้เขานั่งบอก ให้เขายืน บอกให้เขาเดิน ทำตามได้อย่างไร ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แต่หลงเข้าใจผิดคิดว่า ทำอย่างนั้นแล้วจะรู้อริยสัจจธรรม

    รู้ คือ ปัญญา ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าปัญญาในภาษาบาลีหมายความถึงความเห็นถูก ความเข้าใจถูก พูดแค่นี้ไม่พอเลย เผินมาก ถ้าใครคิดว่าเข้าใจแล้ว ตามคนนั้นไปก็ผิดอีก ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งว่า เห็นอะไรถูก เข้าใจอะไรถูก และก่อนนั้นเห็นอะไรผิด เข้าใจอะไรผิด จึงสามารถที่จะรู้ว่า เห็นผิดในสิ่งที่มี เห็นถูกในสิ่งที่มีที่ปรากฏ จากเดิมซึ่งไม่รู้ และเห็นผิด สิ่งนั้นแหละก็เปลี่ยนเป็นการรู้ความจริงของสิ่งนั้น แล้วก็เห็นถูกต้อง เพราะฉะนั้น การได้ฟังธรรมกับการที่ยังไม่ได้ฟังธรรมเลยก็ต่างกันมาก และอยู่ในประเทศที่สมควร ประเทศนี้ตรงไหนได้หมดเลย บนรถไฟได้ไหม ที่บ้านได้ไหม เครื่องบินได้ไหม กลางสวนได้ไหม ที่ไหนก็ได้ ที่มีโอกาสได้ฟังความจริง เป็นประเทศที่สมควร แล้วทำไมคนนั้นได้ฟังความจริงได้อยู่ในประเทศที่สมควร เพราะบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน เห็นได้เลย คนในโลกนี้เท่าไร ฟังธรรมเท่าไร ทั้งๆ ที่กราบไหว้บูชาพระรัตนตรัย ทุกค่ำเช้า ตื่นขึ้นมาก็กราบพระ ก่อนนอนก็กราบพระ แต่ไม่เข้าใจ การถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งนั้นคืออย่างไร ไม่ใช่กราบโดยไม่เข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเพียงเท่านั้นก็คือกราบคนที่ “เขาบอกว่า”เป็นผู้ที่ดับกิเลส บางทียังไม่รู้เลย ไม่ได้บอก ให้กราบก็กราบเลย แล้วอย่างนั้นหรือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    การเป็นผู้ที่นอบน้อม ต้องต่อสิ่งที่ควรนอบน้อม ไม่อย่างนั้นก็กราบต้นกล้วย กราบปลาไหล และอย่างนั้นนอบน้อมในสิ่งที่คุณควรนอบน้อมหรือเปล่า แต่ต้องรู้ว่า นอบน้อมในอะไร คนชั่วทำความผิดเราไปนั่งไหว้เขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้น พระธรรมลึกซึ้งมาก และก็เป็นความจริงแล้วตรงด้วย เพราะสามารถจะรู้ลักษณะของจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนไม่ได้ดับไปเลยสักขณะเดียว เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะฟัง และเข้าใจ คำนี้มาจากการตรัสรู้ ผู้กล่าวเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งได้จริงๆ เพราะทำให้เราได้มีความเข้าใจถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งจะนำไปสู่ชาติต่อไป เพราะเหตุว่าชาติต่อไปก็จะไม่หลงผิดไม่เข้าใจผิด

    ในครั้งพุทธกาล ไม่ได้มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีครูอื่น ซึ่งมีชื่อเสียงมากด้วย ก่อนที่ท่านพระสารีบุตรจะได้ฟังพระธรรมจากท่านพระอัสสชิ ท่านก็ไปเป็นลูกศิษย์ของสัญชัย อาจารย์ท่านหนึ่ง เพราะฉะนั้น บุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน ก็ทำให้มีโอกาสได้พบท่านพระอัสสชิ ได้ฟังคำ ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รู้ความจริง ชาติหน้าจะเป็นใครไม่รู้เลย แต่ก็บุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนคือเดี๋ยวนี้ ที่ได้ฟัง และเข้าใจ และเป็นผู้ตรงอย่างมั่นคงว่า ความจริงรู้ยาก แต่รู้ได้ แต่ว่าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ชาตินี้ด้วย เพราะอะไร ตราบใดที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่มีโอกาสที่จะละความไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่มั่นคงว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้ง แต่จริง สามารถที่จะเริ่มเข้าใจตั้งแต่ ปริยัติธรรม รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ในทุกคำ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเผิน อายตนะมีเท่าไร มี ๑๒ อริยสัจมีเท่าไร อินทรีย์มีเท่าไร อะไรบ้าง ไม่เข้าใจอะไรเลย

    การเข้าใจธรรมไม่ใช่อย่างนั้น รอบรู้คือคำเดียวนี่แหละ อย่างคำว่า ธรรม เข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม สามารถรู้ว่า นั่นเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะว่าเข้าใจแล้วว่า ธรรม คืออะไร แม้แต่คำเดียว ถ้าเข้าใจคำนี้ ก็สามารถที่จะเข้าใจคำนี้ในที่ต่างๆ ในพระไตรปิฎก ต้องตรงกัน แต่อาจจะแสดงโดยนัยหลากหลาย และความละเอียดก็เพิ่มขึ้น ลึกซึ้งขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็คงไม่ต้องถึง ๔๕ พรรษา และเรานี้ก็ชั่วโมงหนึ่งแล้วใช่ไหม ไปถึงไหนหรือยัง ไม่ต้องไป เข้าใจ เข้าใจขึ้นเท่านั้นเอง เพราะว่าจากโลกนี้ไป ถ้าไม่เข้าใจก็มีโอกาสได้ฟังอีกหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ที่ตรง และมั่นคงว่า ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ เพราะคนอื่นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และที่เราทำอยู่มันถูกต้องจริงๆ

    ท่านอาจารย์ น่าสงสัย แล้วใครจะตอบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ใช่คนอื่นเพราะคนอื่นรู้ไม่ได้เลย เพราะเขาบอกให้เราเป็นเรา ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เราก็เลยเชื่อเพราะเขาบอก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เริ่มต้นจากคำว่า ธรรม ไม่ประมาทคำนี้ ความหมายของธรรม ตั้งแต่ไม่เข้าใจเลย จนกระทั่งฟังเข้าใจขึ้น จนถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็คือ รู้แจ้งสภาพของธรรม

    ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ไม่มีประโยชน์ เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่ายังไม่เกิด แต่สิ่งนี้ที่กำลังมี ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่คิดว่ามี เรารู้ความจริงของสิ่งนั้นหรือยัง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเราทำขึ้นมาได้ไหม ทำไม่ได้ ไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ให้มีก็ไม่ได้ แสดงความเป็นอนัตตา เราอาจจะได้ยินคำบ่อยๆ คำว่า อนัตตา ชาวพุทธได้ยินมาก หมายความว่า ไม่ใช่ตัวตน ตัวตนที่นี่ไม่ได้หมายความเฉพาะตรงนี้ แต่อะไรก็ตามที่เราเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นเป็นถ้วยแก้ว เห็นเป็นโต๊ะ เห็นเป็นดอกไม้ แสดงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง แต่ว่าอนัตตาคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี มีแน่ๆ จะบอกว่าไม่มีไม่ได้ แต่มีเมื่อเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้ยินเสียงไหม ไม่ให้ได้ยินได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะเป็นอนัตตา เป็นอนัตตาอย่างไร ถ้ามีคำถามไปเรื่อยๆ จะเริ่มเข้าใจจริงๆ ในคำที่ว่า ธรรม ในคำที่ว่า อนัตตา แม้แต่ ๒ คำ ก็ต้องเข้าใจ เมื่อกี้นี้เราพูดถึงเรื่องศรัทธา ขอถามมีศรัทธาหรือยัง

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ศรัทธา คืออะไร

    ผู้ฟัง ความเชื่อ

    ท่านอาจารย์ เชื่อว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคำสอนอื่นแล้วเชื่อ ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย เป็นศรัทธาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มิฉาทิฏฐิ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ความจริง เชื่ออย่างนั้นไม่ใช่ศรัทธา ที่เราบอกไว้ใช่ไหม ที่ตั้งตนไว้ชอบ นี่คืออย่างไร จากการไม่มีศรัทธา เป็นผู้มีศรัทธา ก็หมายความว่า จิตที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ผ่องใสที่ได้ยินคำจริง แค่ความผ่องใส หมายความว่าขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ที่ได้ฟังคำจริง พอได้ฟังคำจริงแล้วมีศรัทธาเพิ่มขึ้นไหม

    ผู้ฟัง เพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ โดยอย่างไร ที่ว่าศรัทธาจะเพิ่ม ทุกอย่างต้องมีปัจจัย ฟังวันนี้เข้าใจแค่ไหน เห็นว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าเป็นสิ่งที่มีจริง จะรู้ยิ่งกว่านี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ รู้อย่างนี้เพราะได้ฟังใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเพิ่มขึ้น ก็เพราะได้ฟังเพิ่มขึ้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ความรู้ที่เพิ่มขึ้นก็ต้องได้ฟังเพิ่มขึ้น ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา

    อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่เกิดเพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ตอนนี้มีตาไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ตาของเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ของผม

    ท่านอาจารย์ ไม่ตรงแล้ว ธรรมคืออะไร สิ่งที่มีจริงๆ ตามีจริง และก็ห้ามไม่ให้ตาเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ตาที่เกิดแล้วดับแล้วเป็นใครหรือเปล่า เป็นของใครหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ตามีไหม เป็นธรรมหรือเปล่า คนที่เพิ่งเริ่มฟัง ไม่มีทางที่จะเข้าใจจริงๆ เหมือนเข้าใจ คำธรรมดาง่ายๆ

    ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแน่ๆ เพราะกำลังมี และไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้างไปทำให้เกิดขึ้นด้วยแต่เกิดแล้ว ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น แต่เราจะไม่สามารถที่จะรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะเรายังไม่ได้รู้ตัวจริงของธรรมนั้นเลย ถูกปิดบังไว้หมด โดยความไม่รู้ เราต้องค่อยๆ เป็นคนตรง ที่จะไตร่ตรอง ตรงกับความจริงตลอดไป หมายความว่า ถ้าคลาดเคลื่อน ไม่จริง ปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้อง สามารถรู้ได้ว่า นั่นไม่ถูก นั่นไม่จริง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เอาเราตัดสิน แต่ใคร ที่จะรู้ยิ่งกว่าใครในสากลจักรวาล เทวดายังต้องมาเฝ้าทูลถาม พระพรหมก็ยังต้องมาเฝ้าทูลถาม แม้แต่เรื่องธรรมดาว่า มงคลคืออะไร แค่นี้คิดกันไปต่างๆ เหมือนตอนแรกที่เราพูดว่าต่างคนต่างคิด แต่คิดอะไร ถูกหรือผิด คิดเรื่องอะไร คิดตามที่ได้ฟัง หรือว่าคิดเอง ถ้าคุณชลิตจะเข้าใจถูกต้องตามพระธรรม แม้สักนิดหนึ่ง ดิฉันก็ดีใจมาก

    ผู้ฟัง สาธุ ขอบคุณ

    ท่านอาจารย์ เพราะรู้สึกว่า การที่ได้พบกัน ไม่มีอะไรจะเป็นประโยชน์เท่ากับเป็นเพื่อนที่ดี ที่ให้สิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ไม่ผิดเลย เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ตามีไหม

    ผู้ฟัง ตามี

    ท่านอาจารย์ มี ทำให้ตาเกิดขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ พอพูดถึงตา ไม่ใช่ของใครเลย สิ่งหนึ่งที่มีจริงเท่านั้น ตาไม่เป็นคน ไม่เป็นนก ไม่เป็นปลา ตาเป็นตา นี่คือธรรมที่ตรง แล้วก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่เห็นนี่คือสิ่งหนึ่ง ในโลกกี่โลกก็ตามจะมีธรรมเพียงอย่างเดียวที่สามารถเห็นได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    11 มี.ค. 2567