ปกิณณกธรรม ตอนที่ 748


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๘

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้วก็ไม่ได้ทำด้วย เพราะว่าคุณหมอเห็น คุณหมอทำเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คุณหมอคิด คุณหมอทำคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คุณหมอจะให้เกิดปัญญาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า คำไหน เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอฟังแล้ว คุณหมอเข้าใจ แล้วละ ไม่ใช่ฟังแล้วอยากได้ ไม่ใช่ฟังแล้วอยากทำ ถ้าฟังแล้ว เกิดอยากได้ อยากทำ นั่นคือไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะไปปฏิบัติไหม

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนา ไปเมื่อไร เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ละเอียดมาก เนียนมาก ไม่รู้เลยใช่ไหม หวังแล้วจึงไป หวังอะไร หวังว่าปัญญาจะเกิด แต่ปัญญาไม่ได้ไปเกิดที่ไป แต่ปัญญาเกิดขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ แล้วถ้ามีความเข้าใจพอ สะสมมามากๆ เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด ถึงลักษณะของสภาพธรรม เมื่อนั้นคุณหมอจะรู้ความต่างกัน ของปัญญาขั้นต้น คือขั้นฟัง กับ ปัญญาเมื่อฟังแล้วเข้าใจแล้วสามารถจะเริ่มเข้าใจตรงลักษณะโดยความเป็นอนัตตา ด้วยความเป็นอนัตตา คือ ไม่ไปไหน เลือกไม่ได้ว่า อารมณ์อะไร และที่ไหน ไม่ใช่ไปเจาะจง

    อ.คำปั่น เป็นคำถามที่เกี่ยวกับความไม่รู้ว่า ตลอดชีวิตไม่รู้จักธรรม แต่ตลอดชีวิตก็ไม่ปราศจากธรรมเลย กราบเรียนท่านอาจารย์ในความละเอียดลึกซึ้งของธรรม

    ท่านอาจารย์ ใครเคยรู้บ้างว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ตามความเป็นจริง ก่อนฟังพระธรรม ไม่รู้เลย เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นคน เป็นเก้าอี้ เป็นทุกอย่าง แล้วสัมมาสัมเจ้าจะตรัสรู้อะไร ลองคิดดู ก็เหมือนอย่างนี้ ตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วก็ตรัสรู้จะรู้อะไร ก็ต้องรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามปกติ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน แต่สิ่งที่มีตามปกติอย่างนี้ รู้ยากมาก จึงต้องทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป และการที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จะตรัสรู้ ยิ่งกว่าใคร ถ้าศึกษาในพระไตรปิฎก ขณะนี้ ใครเป็นใคร ชาติไหนก็ตามแต่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเป็นจริง ปัญญาเทียบกันได้ไหม กับเรา นึกก็ไม่ออก ไม่ต้องหลายหลายชาติก่อน แค่ชาติที่แล้ว นึกไม่ออกแล้ว เมื่อวานนี้ รับประทานอะไรบ้าง จำได้หมดไหม ไปไหนมาบ้าง คบใครบ้าง แต่ละคนแค่นี้ก็จำไม่ได้ แต่พระปัญญาที่ทรงบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นได้ สิ่งที่ใครก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่มี เดี๋ยวนี้ก็มี แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีนี่แหละ ไม่ใช่อย่างอื่น และก็ทรงแสดงความจริงให้ค่อยๆ เริ่มเห็นถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง ทุกคำที่ตรัสแล้ว เพื่ออนุเคราะห์ให้เรามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าเราไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั่นเอง ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น คือการฟังธรรมต้องเริ่มทีละคำ เป็นผู้ที่รอบรู้จริงๆ ว่า ได้เข้าใจคำนั้น ไม่คลาดเคลื่อน ไม่ว่าขณะไหนเวลาไหน ก็ไม่สงสัยในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว เช่น ถ้าบอกว่า สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีจริง ถูกต้องไหม

    การฟังธรรม อย่าไปคิดเรื่องชื่อ จะไปฟังปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าทรงแสดงอายตนะ ธาตุ ก็ภาษาไทยเรา จะเข้าใจกันดีกว่าที่จะใช้คำที่ไม่รู้จัก เช่น สวดมนต์ เราก็ไม่เข้าใจ แม้แต่บางคน อิติปิ โส ภควา ก็สวดกัน

    แต่ อิติปิ โส ภควา หมายความว่าอะไร อิติปิ โส แม้เพราะเหตุนี้ เหตุไหนก็ไม่รู้ แต่ก็สวดแล้ว แม้เพราะเหตุนี้ แต่ถ้าฟังธรรม แม้เพราะเหตุนี้ ที่ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นปกติ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แค่ได้ยินคำนี้แล้วมีความเข้าใจที่จะเข้าใจให้ถึงที่สุดว่า สิ่งนี้ไม่ได้ทรงแสดงเพียงเท่านี้ แต่ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น อิติปิ โส ภควา เพราะเหตุนี้ คือ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงคำ ที่เป็นวาจาสัจจะ ที่ทำให้รู้ว่าความจริงคือขณะนี้ไม่มีใครรู้ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

    ภควา ทรงจำแนกธรรม เพราะเหตุว่า คนไม่รู้ ไม่รู้ไปหมดเลย ทางตาก็ไม่รู้ ทางหูก็ไม่รู้ เกิดมาก็ไม่รู้ แล้วจะต้องรู้จนกระทั่ง สามารถที่จะละความไม่รู้ที่หลงยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เช่น ในขณะนี้ ไม่มีอะไรดับไปเลย กว่าจะถึงการที่เข้าใจในปัญญาคุณ และกล่าวคำว่า อิติปิ โส ภควา แม้เหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้ที่จำแนกธรรม สิ่งที่มีจริง จำแนกจนกระทั่งผู้ฟังสามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงทุกคำ ไม่ใช่เรา มีจริงๆ แต่ไม่ใช่แล้ว เพราะเหตุว่า มีจริงเมื่อเกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัยที่ต้องเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายเกิดแล้วก็ดับไป ทุกคำนี้ไม่ใช่หมายความว่า ให้เราเข้าใจ พอแล้วแค่นี้ ไม่มีทางเลย ทุกคำคือสามารถประจักษ์แจ้งได้ แม้แต่คำว่า ขณะนี้สิ่งนี้ที่ปรากฏเกิด แล้วดับ ถ้าไม่ประจักษ์เป็นอย่างนี้ ละความเป็นตัวตนไม่ได้ แล้วก็จะไม่มีสาวก ไม่มีผู้ที่ผู้รู้ตาม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เพราะเหตุว่าทุกคำที่จริง จะรู้ได้ว่า รู้ได้ แต่ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นความเข้าใจ ความเห็นถูก ซึ่งเกิดจากการฟัง ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แล้วก็เมื่อมั่นคงแล้ว ก็แค่นี้ไม่พอ เพราะว่ารู้ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง จะพอได้อย่างไร เกิดดับก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรมต่อไป เพื่ออบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพื่อละความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้จริงๆ จุดประสงค์ของการที่เกิดมากี่ชาติมีโอกาสได้ฟังพระธรรม และรู้ด้วยว่า นี่คือพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ให้เป็นความรู้ถูกความเข้าใจถูก ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา

    เพราะฉะนั้น เราพูดคำว่า ปัญญา แต่ถามว่า ปัญญารู้อะไร จะตอบได้ไหม ถ้าไม่ฟังธรรม แต่พอฟังธรรม ปัญญารู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น คือ สิ่งนั้นเกิด แล้วปรากฏ แล้วก็ดับไป ต้องฟังจนกระทั่งค่อยๆ มั่นคง แล้วก็มั่นคง แล้วก็คลายการยึดถือสภาพธรรม ซึ่งทรงแสดงไว้ ถ้าฟังเผิน ขันธ์ ๕ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่จำแนกโดยการยึดถือ ในสิ่งที่ตั้งแต่เกิดไม่เคยขาดการเห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏไหม แน่นอน ได้ยินอะไร ก็ต้องมีเสียงที่ทำให้ได้ยินเกิดขึ้น ติดข้องในเสียง กับ ได้ยินไหม ติดข้องแน่นอน ไม่เช่นนั้นไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีอะไรเลย แต่ทั้งหมดมี เพราะความต้องการทั้งหมด ซึ่งเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้ว ทบทวนในใจก็ได้ กลับไปมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดนึกถึงคำที่ได้ฟัง สิ่งที่มีจริง ใหญ่ๆ แล้วแยกเป็น ๕ ส่วน ที่ยึดถืออย่างมั่นคงว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทุกวัน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นรูปธรรม เพราะเหตุว่า ต่อไปนี้พอพูดคำว่า รูปธรรม ก็รู้ได้ว่า หมายความถึง สิ่งที่มีจริง แต่สิ่งนั้นไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ไม่ใช่เรา คำไหนต้องเป็นคำนั้น เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ลองกระทบสัมผัสสิ่งที่เราเข้าใจว่าเรามีคือตัว เข้าใจว่านี่เป็นเราแต่ว่าพอกระทบสัมผัส ตัวหรือไม่ใช่ตัว หรือยังเป็นตัวอยู่ ถ้ายังเป็นตัวอยู่ก็คือว่าไม่ตรง เพราะว่าพอกระทบสัมผัสแล้วมีแข็ง ตรงไหนก็แข็ง และแข็งก็ต้องเป็นแข็ง แข็งจะเป็นตัวได้อย่างไร ถ้าแข็งไม่รวมกัน แข็งกระจัดกระจายเป็นผง ธุลี ก็ไม่มีความสำคัญผิดว่าเป็นตัว แต่เมื่อแข็งรวมกันอยู่ ก็คงเป็นแข็ง เปลี่ยนแข็งไม่ได้แต่มีอากาศธาตุแทรกคั่น ละเอียดยิบ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ที่โต๊ะ ที่กระเป๋า ที่หนังสือ ที่ศาลา ที่แม่น้ำลำคลอง ที่ไหนก็ตาม ที่มีลักษณะที่แข็ง ให้ทราบว่า ขณะนั้นมีหลายหลายกลุ่มของรูปที่เกิดรวมกัน แล้วก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ ที่ตัว หูกับตาไกลกันไหม ระหว่างหูกับตามีอากาศธาตุแทรกคั่น แต่ละกลุ่มของรูป ซึ่งละเอียดยิบ เพราะเหตุว่าสามารถที่จะแตกทำลาย เมื่อไรก็ได้ ละเอียดจนถึงที่สุดก็ได้ จนกระทั่งมองไม่เห็น แต่ก็ยังเป็นรูป ซึ่งรวมกันแล้วก็ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อมากพอที่จะปรากฏให้เห็น นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นจะไม่ตรัสคำว่า ธรรมทั้งหลายคือทั้งหมดไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา ความหมายของอนัตตา ก็คือว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เมื่อวานนี้ของเราหมดเลย เราเห็น อยู่ไหนเมื่อวานนี้ เห็นเมื่อวานนี้อยู่ไหน ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้เลย เห็นเมื่อวานก็หมดไปแล้ว ได้ยินเมื่อวานนี้ก็มี เป็นเราได้ยินหรือเปล่า หมดแล้วไม่เหลือ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย หมดไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลย จนกว่าจะถึงที่สุด คือจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรเหลือ สักอย่างเดียว แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย ตัวนี้ที่เคยเป็นเรา เดี๋ยวนี้ยังเป็นเราหรือของเราอยู่หรือเปล่า เมื่อจากโลกนี้ไป พอจิตขณะสุดท้ายดับ ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ไม่หมดสิ้น เพราะเหตุว่าจิตแต่ละขณะเป็นสภาพธรรมที่ เมื่อทันทีที่ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น ไม่มีการรู้เลย นี่คือสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วก็ให้คนฟังซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ได้มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า คำของใคร เป็นคำจริง ถูกต้องถึงที่สุด ซึ่งทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่ แล้วถึงจะไม่จากไป เมื่อเช้านี้ก็จากไปแล้ว ทุกอย่างทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จากไปหมดเลย แล้วขณะนี้ ก็กำลังจากไป เป็นขณะต่อไป เป็นขณะต่อไป ไม่สิ้นสุด นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเกิดมากี่ชาติ จะได้มีความเข้าใจอย่างนี้ มากหรือน้อย เป็นโอกาสซึ่งบางคนไม่สนใจที่จะฟังเลย คิดว่าทำไมต้องมาฟังเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และถ้าไม่ฟังเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะฟังเรื่องอะไร ทุกเรื่องพ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ไหม เพราะทั้งหมดนี้ ใจคือจิต เพราะเป็นสภาพรู้ ซึ่งเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย รู้แล้วดับไป ไม่ได้บอกใครเลยว่าดับไปแล้ว ก็หลงเข้าใจยึดถือจิตที่เกิดสืบต่อไปเรื่อยๆ ว่ายังมีอยู่ และยังเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ทรงแสดงชัดเจน ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่รู้ในอะไรบ้าง ไม่รู้ในทุกอย่างที่มี ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก แล้วก็ไม่ใช่เพียงไม่รู้ ยังยึดถือไว้เหนียวแน่นมั่นคง ที่ใช้คำว่า อุปาทาน หมายความว่ายึดมั่นไม่ปล่อย ขณะนี้เห็นมี เราเห็น ขณะนี้ คิดมี ตามความเป็นจริง ไม่ต้องคิดเป็นคำพูดก็ได้ แต่จะพ้นไปจากเราคิดได้ไหม มีเราอยู่ตลอดเวลา อุปาทานติดแน่นในทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างก็ปรากฏเกิดดับมากมาย นับประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การยึดถืออย่างมั่นคงด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันทุกขณะนี้จะไม่สักแค่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้หนทางจริงๆ ที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้ติดข้อง ไม่มีหนทางที่จะ พ้นไปจากต้องเกิดอีก เห็นอีก ได้ยินอีก ติดข้องอีก วนเวียนไป แล้วยังไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ เพราะเหตุว่ายังไม่เห็นการเกิดขึ้น และดับไปจริงๆ เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงมีหลายขั้น แต่ปัญญาทุกขั้น ต้องเข้าใจมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เห็นก็เป็นหนึ่ง ได้ยินก็เป็นหนึ่ง คิดก็เป็นหนึ่ง ชอบก็เป็นหนึ่ง ไม่ชอบก็เป็นหนึ่ง เข้าใจก็เป็นหนึ่ง ไม่เข้าใจก็เป็นหนึ่ง เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ก็คือทางฝ่ายความไม่รู้ และกิเลสทั้งหมด เมื่อมีความไม่รู้ และมีกิเลสจะเป็นสาระได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่า เกิดมาต้องเกิดหรือเปล่า ใครไม่อยากเกิด ไม่อยากเกิดก็เกิด ไม่อยากเห็นก็เห็น ไม่อยากคิดก็คิด เพราะฉะนั้น ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ เพราะต้องละการที่เคยยึดมั่น ในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นเรา เพราะเป็นความเข้าใจผิด เป็นความเห็นผิด ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้ในขณะที่เห็น ยึดมั่นในอะไร ถ้าไม่เห็นตัวกิเลส ละกิเลสไม่ได้ หลงเข้าใจว่า ละกิเลสแต่ไม่เห็นกิเลส เพราะฉะนั้น ตรงนั้นแหละที่หลงเข้าใจว่าละกิเลสก็คือกิเลส เพราะไม่เห็นกิเลส เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นที่จะละอะไร ได้ก็ต้องรู้จักสิ่งนั้น เมื่อไร เมื่อสิ่งนั้นกำลังปรากฏ ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏ ใครกำลังคิดที่จะละ ก็ตัวเอง แล้วก็ไม่มีสภาพธรรมที่จะปรากฏ ในความจริงว่า เป็นธรรมจริงๆ เกิดจริงๆ เช่น เห็น เห็นจริงๆ และไม่เคยรู้เรื่องเห็น ก็ฟังเรื่องเห็น ต้องมีรูปพิเศษที่ตัว ตรงกลางตาที่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เสียงมากระทบกับรูปนี้ไม่ได้ กลิ่นก็มันกระทบรูปนี้ไม่ได้ เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่สามารถจะกระทบกับรูปที่อยู่ตรงกลางตา ใช้คำว่า จักขุปสาท เป็นรูปคือไม่ใช่สภาพรู้ มีจริงๆ เกิดขึ้น เพราะกรรมเป็นปัจจัย ประสาทคือรูปพิเศษ ใช้คำว่า ใส เพราะสามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ ถ้าเราเดินผ่านกระจก มีอะไรให้ปรากฏเห็นได้ไหม เห็นได้ แต่ถ้าผ่านไม้ ผ่านอิฐ จะมีอะไรปรากฏได้ไหม เพราะฉะนั้น ถ้ารูปนั้นไม่กระทบสิ่งที่สามารถกระทบได้ รูปพิเศษที่ใสผ่องใส ใช้คำว่า ใส คิดกันไปเถอะ คำใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง แต่ก็อาศัยการค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เทียบเคียงว่า รูปนี้มีแน่ ใช้คำว่าเป็น ปสาท ใส เพราะเหตุว่าเป็นรูปที่พิเศษเหมือนกระจกที่สามารถกระทบแล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ มีเสียงปรากฏ ต้องไม่ใช่ตา แต่ต้องเป็นรูปพิเศษอีกรูปหนึ่งที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง มองไม่เห็นเลย รูปพวกนี้มองไม่เห็นมีรูปเดียวที่เห็นได้ คือ รูปที่กำลังกระทบตา แล้วมีจิตเห็นเกิดขึ้น นั่นเป็นสิ่งเดียวในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่มี เป็นสิ่งที่เห็นได้ แค่เห็นได้ แล้วก็ดับ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็คือว่า ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟังมาก่อน ด้วยความละเอียดยิ่งในฐานะผู้ไม่รู้ อย่าคิดว่าเป็นผู้ที่รู้แล้ว ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ใครจะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ในเมื่อพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทุกคำมาจากพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น คนที่จะเข้าใจได้ ก็คือคนที่ฟังแล้วไตร่ตรอง นานมากไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ แล้วก็พอได้ยินคำที่เคยได้เข้าใจแล้ว ก็สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ผู้ฟังที่เคยเข้าใจเรื่องที่เคยฟังมาก่อน พอได้ฟังซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ก็สามารถที่จะถึงความเป็นพระโสดาบัน ความเป็นพระสกทาคามี ความเป็นพระอนาคามี ถึงความเป็นพระอรหันต์ คือปัญญาที่รู้ความจริงจนดับกิเลสได้ เพราะว่าถ้าอย่างอื่น ดับกิเลสไม่ได้เลย นอกจากสภาพธรรมซึ่งเป็นปัญญา ซึ่งภาษาไทยเราก็ใช้คำธรรมดาว่า เข้าใจถูก ปัญญาคือเข้าใจ เพราะว่ามีปัญญาไหนบ้างที่ไม่เข้าใจ และนอกจากปัญญาที่เข้าใจแล้ว จะมีคำอื่นอีกนอกจากคำที่ตรัสในภาษาอื่น เช่นคำว่า ปัญญา หรือแสงสว่าง หรือความรู้ชัด หรือ อะไรก็แล้วแต่ ก็คือเป็นความเห็นที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น ต้องไม่ประมาทว่า เราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ฟังแต่ละคำ พูดถึงสิ่งที่มีจริง ยากที่จะเข้าใจได้ แน่นอน ไม่ใช่ง่ายๆ รู้แล้ว ได้ยินคำไหนเหมือนรู้แล้ว แต่ไม่ใช่ บางคนบอกได้ อายตนะภายใน ๖ จำชื่อได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก เคยได้ยินไหม หรือได้ยินแค่ ๖ ๖ นี้ต้องมีแน่ ถ้าไม่มี ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอายตนะภายนอก คือสิ่งที่สามารถกระทบอายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย

    อายตนะภายนอก คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แหละ อยู่ข้างนอกตัว หรือในตัว สิ่งที่ปรากฏ แต่ตาอยู่ที่ตัว ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา มีรูปหลายรูป หลากหลายมาก แต่ละรูป เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ สิ่งที่กระทบตามี เพราะมีตา แล้วก็มีจิตเกิดขึ้นเห็นด้วยในขณะนี้ และเมื่อมีจิตเกิดก็ต้องมีสภาพนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต คือเจตสิก ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น อายตนะ หมายความถึงที่ประชุม ขณะที่กำลังมีประชุม จึงมีสภาพธรรมนี้เกิดได้ ถ้าไม่มีจักขุปสาท เห็นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังกระทบจักขุปสาท จิตเห็นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตเห็น สิ่งที่ปรากฏก็ไม่สามารถจะมีอยู่ในที่นั้นได้ และเมื่อมีจิตก็ต้องมีเจตสิก

    อายตนะ คือที่ประชุม ขณะที่ประชุม ของธรรมซึ่งเป็นอายตนะทั้งนั้น คือจักขุประสาทอยู่ตรงนั้นด้วย ขาดไปไม่ได้จึงเป็นอายตนะ เป็นจักขายตนะ สิ่งที่กำลังปรากฏต้องยังไม่ดับไปด้วย ในขณะที่กำลังกระทบสิ่งนั้น ต้องอยู่ตรงนั้น กระทบสิ่งนั้นเป็นรูปายตนะ แล้วต้องมีจิตเกิดขึ้นด้วย ถ้าไม่มีจิตขณะนี้ สิ่งใดๆ ก็ไม่ปรากฏ จิตก็เป็นมนายตนะ แล้วก็ต้องมีเจตสิก เกิดกับจิตด้วย ขาดเจตสิกได้ไหม ให้มีแต่จิตก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ เพียงหนึ่งขณะที่เห็น เป็นอายตนะ ทั้งภายใน และภายนอก ถ้าใครบอกว่าอายตนะแล้วบอกชื่อ แต่ถามว่าอายตนะคืออะไร ไม่รู้ อาจจะตอบว่าคืออะไร แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้นั่นเอง เป็นอายตนะ

    เพราะฉะนั้น ทรงแสดงธรรมที่มีจริงทั้งหมด ทุกขณะ อย่างละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ทำไมล่ะ เพื่ออนุเคราะห์ให้ค่อยๆ เข้าใจ ในการไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว เป็นธรรมทั้งหมด ถ้าไม่มีการฟัง คำจริงจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรจะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เราที่กำลังเกิดดับ ซึ่งใช้คำว่า ปฏิปัตติ ทุกคำต้องเข้าใจก่อน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ก็ทำตามกันไปทั้งเมือง ทั้งประเทศ และทั้งโลก ทุกคนใช้คำว่า ปฏิบัติ แต่ไม่รู้เลยว่า ปฏิบัติคืออะไร และอะไรปฏิบัติ และปฏิบัติขณะนั้นเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูก ก็ไม่รู้ แต่มุ่งหน้าจะได้ผล ต้องการ โลภะไม่เคยทิ้งไปเลย ไปที่ต่างๆ หวังว่าจะมีปัญญา โดยที่ไม่รู้เลยว่า แล้วปัญญารู้อะไร ปัญญาของคนไม่รู้ ไม่ใช่การเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งมีจริงๆ แล้วเกิดดับด้วย เร็วมาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่เมื่อกี้นี้ พอพูดจบ ก็ไม่ใช่เมื่อกี้นี้ เป็นสิ่งที่ใหม่ แล้วก็มี แต่ว่าสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำไว้ว่า สิ่งนั้นไม่ได้ดับไปเลย นี่คือ ความเห็นผิด ซึ่งถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการเห็นถูกเลย

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมเป็นมงคล การสนทนาธรรมก็เป็นมงคล เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเจริญของความเห็นที่ถูกต้อง และชีวิตทั้งชีวิต อยู่มาด้วยการเห็นถูกต้องหรือเปล่า ความเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า เห็นอกุศลว่าเป็นสิ่งดี โลภะนี่ชอบกันมากเลย แสวงหา ติดข้อง แล้วก็ไม่รู้เลย ทุกข์เพราะความต้องการ การแสวงหา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    11 มี.ค. 2567