ปกิณณกธรรม ตอนที่ 754


    ตอนที่ ๗๕๔

    สนทนาธรรม ที่ สุชาดา รีสอร์ท จ.สระบุรี

    วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เรื่องคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องใหญ่ กว่าจะได้ฟังคำสอนซึ่งละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ชีวิตของคฤหัสถ์ก็เป็นไปตามความไม่รู้ ตั้งแต่บุญ จนกระทั่งถึงงานศพ และอะไรทั้งหมด เพราะฉะนั้นกว่าจะมีการเข้าใจแต่ละเรื่องได้ พูดเรื่องเดียวก็ต้องพูดไปตั้งแต่ครั้งโน้นเพื่อจะได้เห็นความจริงจนกระทั่งมาถึงครั้งนี้ และเหตุการณ์ที่อยู่ในปัจจุบันนี้จะปรับปรุง จะแก้ไข จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เป็นเรื่องที่ว่า เปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดซึ่งคนไม่ได้คิดถึงเลย คือเปลี่ยนแปลงให้ชาวพุทธได้เข้าใจธรรมโดยการฟังพระธรรม มิเช่นนั้นไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าถามใครว่ามีใครฟังธรรมบ้าง เปิดวิทยุฟังโน่นฟังนี่แล้วเข้าใจอะไร ไม่รู้เลยว่าแม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว พูดกันมา ฟังกันมามากมาย แต่เคยคิดบ้างไหมว่า ธรรมคืออะไร แล้วใครจะตอบได้ ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงทุกคำ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง

    เพราะฉะนั้น ถ้าตราบใดที่ยังไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจจริงๆ ไม่มีปัญญาที่ไหนจะไปแก้สถานการณ์ต่างๆ ด้วยความเห็นต่างๆ ที่ผิดไม่ตรงตามพระวินัยได้ เพราะฉะนั้นจะไปบอกใครที่ไหน อย่างไร เวลานี้ใครจะฟัง แต่ว่าถ้าให้เขามีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น ทุกคนก็เริ่มเห็นว่าควรจะเป็นอย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่เหนือหรือยิ่งกว่าความหวัง และความฝัน ซึ่งในยุคนี้ไม่มีทางจะเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น ก็อาศัยผู้ที่มีศรัทธา และก็ได้ยินได้ฟังพระธรรม ค่อยๆ ศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแล้วก็ประพฤติตนให้ถูก เพราะว่าคนอื่นเราไม่สามารถที่จะไปแก้ไขได้ ไม่ใช่แต่จุดเดียวคือประเทศไทย แต่ทุกจุดจนกระทั่งถึงทั่วโลกก็เป็นไปเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็ควรที่จะมีการศึกษาพระธรรม แล้วก็มีการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้คนอื่นได้รู้เท่าที่จะกระทำได้ และก็ส่วนที่มีความรู้ที่ถูกต้องก็จะแก้ไขเฉพาะตน หรือวงศาคณาญาติหรือบุคคลที่เริ่มจะเข้าใจธรรม แต่ว่าไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันได้

    ผู้ฟัง เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ เรื่องพระภิกษุที่ท่านประพฤติปฏิบัติอยู่ ซึ่งโอวาทะปาติโมกข์ท่านก็กล่าวไว้หลักๆ ก็มีหลายข้อ ตัวอย่างเช่น ไม่ทำบาปทั้งปวง ให้เจริญกุศลทุกประการ จนกระทั่งมาถึงเรื่องที่นั่งที่นอนอันสงัดสำหรับพระภิกษุ และสำหรับคฤหัสถ์ ตรงนี้เราทำความเข้าใจโดยละเอียดเพิ่มเติมได้อย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจทุกคำที่จะสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ได้ยินอย่างนี้จะคิดเองว่า บางคำศึกษาหรือบางคำไม่ศึกษา ทั้งหมดประมวลแล้วก็คือว่าเพื่อเข้าใจถูกต้องในความจริงซึ่งสภาพธรรมที่สามารถเห็นถูกเข้าใจถูกได้ ก็คือสภาพของปัญญา ธรรมที่เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะละคลายกิเลส จนกระทั่งดับกิเลสหมด ทุกคำไม่ใช่ว่าบอกว่าที่นั่งที่นอนสงัด ก็ไปหาที่สงัดนอนแล้วก็ฟุ้งซ่านอย่างงั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    ผู้ฟัง โดยทั่วไปเราก็สนทนากันเข้าใจว่าท่านคงจะต้องอยู่ในที่ที่ไม่มีสิ่งอะไรไปรบกวน ในการปฎิบัติของท่าน

    ท่านอาจารย์ การสนทนาธรรมของคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมโดยละเอียดก็เป็นอย่างหนึ่ง จับโน่นจับนี่มาสนทนา แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าแท้ที่จริงแล้วทรงแสดงธรรมเบื้องต้น คือพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงสามารถที่จะเข้าใจคำ และข้อความอื่นๆ ในพระไตรปิฏกต่อไปได้ มิเช่นนั้นก็แทรกความคิดของตัวเองเข้ามาเสมอๆ เช่นพอได้ยินคำว่าสงัด ก็อยากจะรู้เฉพาะสงัด แต่ว่าตามความเป็นจริงอะไรสงัด

    ผู้ฟัง ก็ต้องละเอียดไปถึงความสงัดจากกิเลสทั้งปวง

    ท่านอาจารย์ สามารถที่จะรู้ได้ไหมว่า เดี๋ยวนี้คืออะไร สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสงัดคืออะไร ไม่สงัดคืออะไร ทุกอย่างต้องละเอียด คำแรกที่จะต้องเข้าใจคือธรรม

    ผู้ฟัง ดังนั้นที่กล่าวเช่นนี้เราก็ยังทำความเข้าใจไม่สมบูรณ์

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าพระผู้มีพระภาค ตรัสข้อความนั้นกับผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้ว ที่เมื่อตรัสแล้วคนนั้นสามารถเข้าถึงปัญญาระดับขั้นต่างๆ จนถึงเป็นพระอริยะบุคคล แต่คนสมัยนี้สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ เพราะฉะนั้น แต่ละคำ คนที่เข้าใจกัน พูดกันเข้าใจ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องเลย ได้ยินแล้วจะเข้าใจได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแต่ละคำในพระไตรปิฎกสำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าความจริงคืออะไร ก็เดาตามความคิดของตัวเองซึ่งไม่ทำให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ตรัส คนที่ไม่มีความรู้อย่างนั้นจะเข้าใจได้ไหม

    ผู้ฟัง เห็นถึงความลึกซึ้งในข้อความที่ว่า ที่นั่งที่นอนอันสงัด ก็จะต้องมีความลึกซึ้ง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องถึงที่นั่งที่นอน เดี๋ยวนี้ คืออะไรก่อน ก่อนจะไปถึงสงัด นั่งที่นี่เดี๋ยวนี้คืออะไร ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ข้างหน้าก็ยังไม่มาถึง อดีตก็หมดไปแล้ว เดี๋ยวนี้คืออะไร ยังไม่ต้องไปถึงสงัด ที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ คืออะไร

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ สนทนาธรรมเพื่อความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ สนทนาธรรม ใคร อะไร สนทนา

    ผู้ฟัง ก็ยังเป็นเราสนทนาอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่สงัดแน่

    ผู้ฟัง นั่งอยู่นี่ยังไม่สงัด

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไร กิเลสเต็ม ไม่รู้เต็ม ไม่รู้คืออวิชชา คือโมหเจตสิกเต็ม แล้วสงัดอย่างไร

    อ.ธิดารัตน์ หมายความว่า เวลาที่นั่งสนทนาธรรมอยู่แล้วขณะที่เข้าใจ หรือว่ารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะนิดๆ ขณะนั้นก็สงัดนิดๆ

    ท่านอาจารย์ แทนที่จะเข้าใจ คือเข้าใจ หาไปถึงคำว่าสงัด ติดคำนี้อะไรอะไรก็ไปหาคำว่าสงัดหรือเปล่า ใช่สงัดไหม นี่สงัดรึเปล่า กำลังเข้าใจว่าเป็นธรรมสงัด ช่างติดคำสงัด แต่แทนที่จะรู้ว่าขณะนี้เรายังไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แค่ได้ฟังสิ่งที่มีจริง ขณะนี้ก็ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไปคิดแล้วอย่างนี้สงัดไหม คิดทำไม แต่ว่าขณะนี้ธรรมเกิดดับ แล้วยังอยากจะสงัด ที่ไหนจะสงัด เมื่อไหร่จะสงัด แต่ก็ยังคงเป็น เราที่นั่งอยู่ตรงนี้แหละ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้จะรู้สงัดไหม

    ผู้ฟัง ไม่ไม่มีทางรู้ แต่ถ้าเป็นระดับพระวินัยก็คือ

    ท่านอาจารย์ พระวินัย หรืออะไรก็เป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ชื่อวินัย

    ผู้ฟัง อีกคำหนึ่ง เรื่อง ประมาณในภัตตาหาร

    ท่านอาจารย์ ทุกคำ เดี๋ยวนี้อะไร

    ผู้ฟัง หมายความว่า ต้องย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน

    ท่านอาจารย์ ในพระสูตร สูตรหนึ่งมีกี่คำ

    ผู้ฟัง นับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วกี่สูตร ทั้งหมดใน ๔๕ พรรษา กี่คำ

    ผู้ฟัง มากมาย

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเอาคำไหน คิดว่าจะสนทนาคำหนึ่งคำใด โดยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร เป็นไปไม่ได้ พูดชื่อเรื่องชื่อ นึกถึงชื่อ แล้วเดี๋ยวนี้คืออะไรที่กำลังมีจริงๆ มิฉะนั้นก็ไม่สามารถรถที่จะเข้าถึงสภาพธรรมที่สงัด มีแต่ชื่อสงัด และก็ไปหาคำนิยามสงัด ตรงไหนสงัดยังไงวินัยว่ายังไงแล้วเดี๋ยวนี้ล่ะไม่รู้เลย

    ผู้ฟัง ก็ยังติดอยู่ ติดในคำ ติดในชื่อไปต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เฉพาะคุณนพดล ที่ว่าให้เข้าใจธรรมทีละคำคำเดียวตั้งต้นว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง พูดถึง เหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ เหตุปัจจัย ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลยทั้งสิ้น พูดถึงเฉพาะเหตุปัจจัย และก่อนจะถึงเหตุ ก็ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นอีก เพราะมี ๒ คำ เหตุหนึ่ง คือเหตตุ ปัจจัยะคือปัจจัย เพราะฉะนั้นเราจะไม่สนใจเรื่องอื่นเลยในขณะที่ได้ยิน ๒ คำนี้ ขอให้เข้าใจ ๒ คำนี้ให้ถ่องแท้ เพราะฉะนั้น ปัจจัยยะหรือปัจจัยหมายความว่าอะไร เราไม่ได้คิดคำนี้ โยงไปคำโน้น คำนั้น แต่คำเดียว คิดไตร่ตรองจนถึงที่สุดว่าคืออะไรให้เข้าใจชัดเจน เพราะฉะนั้นปัจจัยหรือปัจจัยะเนี่ยคืออะไร ไม่อย่างนั้นเราก็ไปเรื่องอื่น แล้วคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เข้าใจจริงๆ ก็คือคำเดียวนี่เอง ฟังแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจจนถ่องแท้ เพราะฉะนั้นปัจจัยหรือปัจจัยยะ คืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงธรรมที่อุปการะให้ธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ตัวอย่าง ธรรมอะไร อุปการะให้ธรรมเกิดขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ อวิชชาหรือความไม่รู้ เป็นหนึ่งในเหตุ ๖ เวลาเกิดขึ้นก็ต้องเกิดกับจิตก็คือมีอวิชชา เป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้จิต และเจตสิกเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัจจัยคือ

    อ.ธิดารัตน์ ธรรมทั้งหลายที่สามารถที่จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ธรรมอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ปัจจัยก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง สิ่งที่ปัจจัยทำให้เกิดก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าทั้ง ๒ อย่างนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ปัจจัยคือธรรมที่ทำให้สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ไม่ใช่ปัจจัย ฟังดู งงๆ ยุ่งๆ ยากๆ แต่อย่าไปไหน อย่าเพิ่งไปโน่น ไปนี่ ไปนั่น ให้เข้าใจคำนี้จริงๆ ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม คำพูดนี้หมายความว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดมีได้ ต้องมีปัจจัยธรรมที่อาศัย ที่จะทำให้ธรรมนั้นเกิดขึ้นได้ ถ้าปราศจากธรรมซึ่งเป็นที่อาศัยหรือ ว่าจะอุปถัมภ์หรือว่าจะอย่างไรก็ตามแต่ที่จะทำให้ธรรมนั้นเกิด ถ้าไม่มีสิ่งที่เป็นปัจจัยสิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้

    พอจะเข้าใจหรือไม่ ถ้ายังก็คิดต่อไปอีก สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เวลาที่ปรากฏหมายความว่า ต้องมีธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ หรืออาศัยสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นมีขึ้นได้ ถ้าไม่มีสิ่งนั้น สิ่งใดก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องอาศัยสิ่งซึ่งเป็นปัจจัยจึงทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ แค่นี้ก็ยากแล้ว แค่คำว่าปัจจัยคำเดียวที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ให้มั่นคงว่า ไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งเกิดได้ตามลำพัง โดยไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอุปถัมภ์เกื้อกูลอาศัยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นสิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นได้ และสิ่งนี้ที่กล่าวถึงก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ต้องมีสิ่งซึ่งเป็นปัจจัยทำให้สิ่งนี้เกิดมีขึ้นได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถจะเป็นปัจจัยทำให้สิ่งนี้เกิดได้สิ่งนี้ก็เกิดไม่ได้

    ยากตั้งแต่คำแรก ไม่ต้องไปไหนเลย เดี๋ยวนี้ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏว่ามี จะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นมีจริงๆ เพราะกำลังปรากฏว่ามี และสิ่งที่มีนั้นก็เพราะ เกิดขึ้นให้เห็นให้รู้ว่ามีแน่นอน กำลังมีอยู่ และสิ่งที่มีนั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยซึ่งเรายังไม่รู้เลย แต่รู้ขั้นต้นคือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีการเกิดขึ้นสิ่งนั้นก็ต้องมีปัจจัยทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ขณะนี้กำลังเห็น เห็นมีจริงๆ เห็นเกิดแล้วปรากฏว่ามีเห็นแน่นอน แต่เห็นจะเกิดโดยไม่มีธรรมที่อาศัย ที่เกื้อหนุน ที่อุปการะที่จะทำให้สิ่งนี้เกิด ถ้าปราศจากปัจจัยนั้นๆ สิ่งนี้ก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแม้เห็นขณะนี้ก็ต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีตาจะมีเห็นไหม แสดงว่าแม้เห็นเกิดก็ต้องมีธรรมสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นที่อาศัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีตาก็เห็นไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นก็เกิดไม่ได้ และอะไรจะกระทบตาได้ ตานี้มองเห็นไหม ไม่เห็น มีจริงหรือไม่ มีก็มองไม่เห็น แต่เป็นรูปพิเศษต่างกันไปก็จริง แต่รูปหนึ่งที่พิเศษคือรูปนี้สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ แม้ว่ามีตา มีสิ่งที่กระทบตา ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้ ทั้งๆ ที่เกิดมีจริงๆ แต่ถ้าไม่มีจิตเห็นสิ่งนี้ก็ปรากฏไม่ได้ ว่ามี แม้แต่เสียง ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏว่ามี

    เพราะฉะนั้น จิตได้ยิน ต้องอาศัยเสียง กับรูปที่สามารถกระทบเสียง นี่คือธรรม เราไม่ต้องข้ามไปถึงไหนเลย ยังไม่ต้องไปถึงอะไรทั้งสิ้น แต่เข้าใจคำว่าปัจจัย ให้มั่นคงว่าไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่มีธรรมที่ต้องอุปการเกื้อกูลให้สิ่งนั้นเกิด กว่าจะไปถึงแต่ละหนึ่งๆ เพื่อรู้จริงๆ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป ซึ่งขณะนี้เกิดดับก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจในสิ่งซึ่งรู้ยาก แต่เป็นความจริงซึ่งเมื่อปัญญาเข้าใจเพิ่มขึ้น การคลายความไม่รู้ค่อยๆ ละไป สภาพธรรมก็จะปรากฏตรงตามความเป็นจริงที่ได้ฟัง ยังไม่ต้องไปถึงคำว่าสงัด และสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอะไร

    อ.ธีรพันธ์ เป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไร เป็นสภาพธรรม

    อ.ธีรพันธ์ สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นใช่ไหม แล้วรู้สึกตัวเป็นยังไง

    อ.ธีรพันธ์ หมายความว่าขณะนี้ไม่หลงลืมว่าเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่

    อ.ธีรพันธ์ เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้นขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงใจ ไม่ใช่อยากรู้ ต่างกันแล้วใช่ไหม อยากรู้นี่ไม่รู้ตัวหรอกว่าขณะนั้นใครอยาก อะไรอยาก แต่ว่ามีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ได้ยินได้ฟังคำจริงเพื่อที่จะเข้าใจ แล้วก็รู้ว่าเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นคำอะไร ทีละคำสองคำ ขณะนี้แม้แต่เพียงมีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ กำลังเห็นจริงๆ แต่ความจริงใจนี่เริ่มที่จะเข้าใจถูกบ้างไหมว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือว่า ไม่มีอะไรในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเลย ไม่มีจริงๆ ไม่มีคน ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ต้องเป็นอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ความเป็นสิ่งหนึ่งหรือสิ่งใดได้ไหม ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่จากการเข้าใจจริงๆ เริ่มเข้าใจจริงๆ ว่าแม้แต่คำว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หลับตาแล้วไม่มี เพราะฉะนั้นจิตไม่ได้รู้ความจริงในขณะที่สิ่งนั้นไม่ปรากฏแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแค่หลับตาก็ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นตอนลืมตา มีอะไร ก็ต้องมีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะจิตเร็วแค่ไหน ต่างกันแค่ไหน จากเห็น แล้วก็ไม่เห็น แล้วก็จำไว้ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ความจำในสิ่งที่ไม่เหลือแล้ว เป็นสิ่งซึ่งเมื่อไหร่จะหมดสิ้น ในการจำว่าสิ่งที่ไม่มีแล้วยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น การเข้าใจว่ายังมีเรา ยังไม่ต้องคิดถึงคนอื่นเลย เราตั้งแต่นอน เรานอน หลับ เราหลับ ตื่น เราตื่น เห็น เราเห็น คิด เราคิด มากมายสักแค่ไหน ยังไม่ต้องไปถึงไหนเลย เพียงคำว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไตร่ตรองจนกระทั่งรู้ว่า ทั้งวันไม่มีการรู้ความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แม้กำลังได้ยินได้ฟังกว่าจะเข้าถึงความจริงทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมั่นคง จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ คลายการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งแม้ไม่มี ก็ยังไปจำว่ามี ใครไม่เคยเห็นเพื่อนซึ่งไม่เคยเห็นกันมา ๑๐ ปีบ้าง เขาตายหรือยัง แต่ถ้าไม่ถามเหมือนเขายังอยู่เขายังเป็นเพื่อนเราอยู่ใช่ไหม แต่พอถามว่าเขาตายหรือยัง เริ่มเอะใจว่าอยู่หรือไม่อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีแล้วแต่ยังจำว่ามี

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเป็นเพื่อนที่ตายไปแล้วหรือยังไม่ตาย แม้เดี๋ยวนี้ จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้คนฟัง เริ่มเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่มีแต่ละสิ่งซึ่งปรากฏทั้งวัน และสิ่งที่ปรากฏได้ ไม่ได้เที่ยงเลย ไม่ได้ปรากฏอย่างเดียวอย่างนั้นทั้งวัน แต่ว่าปรากฏแล้วหมดไป ปรากฏแล้วหมดไป สืบต่อซ้ำจนกระทั่งเหมือนกับว่ายังเป็นสิ่งนั้นหรือว่ายังมีสิ่งนั้นอยู่

    เพราะฉะนั้น ยังไม่ต้องไปถึงสติสัมปชัญญะ หรือสงัด หรืออะไรเลย เพียงคำที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่าสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ไม่มี มี แต่ว่าใครรู้ความจริงของสิ่งนั้นบ้าง ไม่มีใครรู้ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์ตั้งความปรารถนาที่จะรู้ความจริง เพราะมีจริงๆ แล้วไม่รู้ ลองคิดดู ว่าสิ่งที่มีจริงเท่านั้นที่สามารถที่จะให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้ ต่อเมื่อพิจารณาไตร่ตรอง เริ่มเห็นความต่างของสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งกำลังเห็น สิ่งที่มีจริงขณะนี้ก็ไม่ปรากฏว่ามีทั้งๆ ที่มี และมีแล้วก็แสนสั้นด้วย คือดับแล้ว แต่จิตที่เกิดสืบต่อ ก็คิดถึงสิ่งอื่นต่อทันที ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ปรากฏดับ แต่ขณะนี้มีเห็น แล้วก็มีได้ยิน เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยินสิ่งที่ปรากฏต้องไม่มี ไม่มีหมายความว่า ดับก็ไม่รู้ เพราะว่าต่อกันเร็วจนกระทั่งเหมือนมีทุกอย่างพร้อมกันในขณะเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น จึงเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเพื่อให้เกิดปัญญาความเห็นถูกแม้แต่ แต่ละหนึ่ง ซึ่งทั้งวันเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งปรากฏ และก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ผู้มีปัญญาจึงสามารถที่จะเข้าถึงความจริงเพื่อละความติดข้อง ละความไม่รู้ จนกว่าสามารถจะรู้ตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ และทรงแสดงว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เกิดขึ้น และดับไป จึงจะดับการยึดถือว่าเป็นเราหรือเป็นตัวตน หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงคำพูดไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา แต่ทั้งวันก็เรา สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ทั้งวันก็เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นเห็นความต่างของปัญญาที่อบรมแล้ว กับปัญญาที่เพียงฟังแล้วก็ลืม ทั้งหมดนี่เคยฟังแล้วทั้งนั้น แต่ก็ลืมไปแล้วหมดไปนึกถึงคำโน้น ไปนึกถึงคำนี้ แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏนี่แหละเมื่อไหร่จะถึงการเริ่มค่อยๆ คลายการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต่อเมื่อไม่ลืมคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจคำที่ได้ฟัง เพื่อที่จะได้ฟังแล้วฟังอีก เพราะว่าฟังแล้วก็ลืมไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราจำเรื่องอื่นไว้มากมาย จำว่าเป็นคนนั้นคนนี้ บ้านยังอยู่ใช่ไหมเดี๋ยวกลับบ้านกันแล้ว แต่ความจริงตายทันที บ้านใครอยู่ไหน ถ้าเป็นงู ไหนบ้านเราอยู่ไหน เป็นบ้านเรานะนี่ เป็นบ้านเราหรือเปล่า ก็ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้น เพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีการเกิดแล้วดับสืบต่อ ก็ลวง ด้วยความไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งนั้นเป็นอะไร นี่คือความไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นอะไรจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นแล้วไม่ลืม แล้วต่อจากนั้นแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส ปัญญาเข้าใจขึ้นแต่ถ้ายังไม่เข้าใจต่อให้ตรัสยังไง เราไปหยิบบรรทัดไหน เรื่องไหน สูตรไหน เราก็ไม่เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    15 มี.ค. 2567