ปกิณณกธรรม ตอนที่ 760


    ตอนที่ ๗๖๐

    สนทนาธรรม ที่ บ้านสวนส้มทิพย์ จ.ราชบุรี

    วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ผู้ฟัง ฟังมานานก็ไม่ทราบเลยว่า ที่นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งนั้นคืออย่างไร?

    ท่านอาจารย์ ซึ่งความจริง การที่กล่าวถึงที่นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งในพระไตรปิฏก ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้นก็ต่างกาล เพราะเหตุว่าใครก็ตามที่จะไปเฝ้าพระอรหันต์สัมมาสัมพระเจ้า ย่อมรู้ที่ควร

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วถ้าเราจะคำนึงถึงที่นั่ง หรือว่า ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็เป็นเรื่องละเอียดของจิตใจ แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมละเอียดมาก ถ้าเราไม่คิดเลยในแต่ละคำของพระไตรปิฏก เราก็จะมองไม่เห็นว่า ความควร และไม่ควรทั้งหมด ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฏก แม้แต่นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรมเพราะว่าในสมัยนั้น คำว่าอุบาสกอุบาสิกา หมายความถึงผู้นั่งใกล้ นั่งใกล้นี่ไม่ไปนั่งใกล้คนอื่น แต่ว่านั่งใกล้เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือ ฟังด้วยความตั้งใจ เพราะรู้ว่าแต่ละคำที่ได้ฟัง ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังสำหรับบางคน เพราะเหตุว่าเป็นคำซึ่งเป็นวาจาสัจจะ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้แล้ว ทรงพระมหากรุณาแสดงความลึกซึ้งของสิ่งที่มีทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้

    และบางคนก็บอกว่าจะมีประโยชน์อะไร ที่จะต้องมารู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แต่ประโยชน์ก็คือว่า รู้หรือไม่ว่า เกิดมานี่ คือต้องเกิด อยากเกิดหรือไม่ แต่ว่าต้องเกิด ตายแล้วก็ต้องเกิด ไม่มีใครสามารถพ้นไปได้เลย แล้วเกิดแล้วนี้ลองคิดถึงตั้งแต่มีชีวิต ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ จนถึงขณะที่จะจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีอะไรนอกจากเห็น ทุกคนเห็นทุกวัน และก็ได้ยิน แล้วก็ได้กลิ่น บางครั้งบางคราว ลิ้มรสวันละหลายครั้ง กระทบสิ่งที่สัมผัสกาย เย็นบ้าง ร้อนบ้าง ตอนนี้ก็บ่นกันว่าอากาศร้อนมาก แต่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เลือกได้มั้ย เปลี่ยนแปลงได้ไหม แล้วใจ ก็คิดนึกแต่เรื่องราวของสิ่งที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งวันเลย แล้วพอถึงตอนกลางคืน หลับสนิทไม่เหลือเลย จะคิด จะทำอะไรมาทั้งวัน แต่พอถึงเวลาหลับสนิทหายไปหมด เหมือนไม่มีอะไรมาเลย

    บางคนก็ชอบนอน สบายดี เพราะเหตุว่าไม่ต้องเห็น ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องทำอะไรสารพัดอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ต้องตื่น ไม่มีใครที่นอนแล้วไม่ตื่น ตื่นแล้วก็เหมือนเดิมอีก คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส วันนี้ทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามาจนถึงก่อนจะหลับ ก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วก็หลับสนิทแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย

    เพราะฉะนั้นชีวิตก็คือตื่น แล้วก็หลับ แล้วก็ตื่นแล้วก็หลับ แล้วก็จากโลกนี้ไปโดยที่ไม่เหลืออะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ร่างกายซึ่งเป็นที่รักอย่างยิ่ง ดูแลอย่างดี ถ้าไม่มีจิตขณะนั้นก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะลืมตาก็ไม่ได้ จะพูดก็ไม่ได้ จะเดินก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ แล้วก็มีใครรู้บ้างว่าเป็นอย่างนี้ มานานแสนนาน เพราะเหตุว่าชีวิตแต่ละคน ยาวสั้นมากน้อย ไม่มีใครสามารถที่จะกำหนดได้

    เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้เลย แต่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าใจพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่าแท้ที่จริงแล้วเนี่ย มีเราจริงจริงหรือไม่ หรือว่ามีแต่สิ่งที่ปรากฏ ตลอดเวลาทางตาบ้างหมดไปแล้ว เมื่อวานนี้ เมื่อครู่นี้ ทางหูบ้าง ขณะนี้ที่กำลังได้ยินเสียงก็หมดไปแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ก็มีสิ่งอื่นซึ่งเกิดสืบต่อ จนไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไร นอกจากมีสิ่งซึ่งปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้นกาย แล้วใจก็จำไว้หมด แล้วก็ยึดถือว่าเป็นเรา เรียกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงเป็นเราจริงๆ หรือเปล่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ หรือเปล่า ถ้าไม่ไตร่ตรอง ไม่ฟังให้เข้าใจ ไม่มีโอกาสที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

    เพราะฉะนั้น คำว่าพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เป็นคำที่สูงสุด ไม่มีใครเทียบได้เลย ในพระปัญญาคุณ ที่สามารถจะแสดงความจริง ที่มีอยู่ในขณะนี้ให้รู้ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่สนใจ ก็อยู่ในโลกนี้ไปเรื่อยๆ เกิดแล้ว แก่แล้ว ก็เจ็บ แล้วก็ตาย สุขบ้างทุกข์บ้าง ตายแล้วไปไหน ข้อสำคัญไม่มีใครรู้เลย แต่มองเห็นสัตว์ในโลกนี้ ที่ไม่ใช่มนุษย์ก็มี เป็นเสือ เป็นนก เป็นปู เป็นปลา มาจากไหน เหมือนเรานี่ มาจากไหน แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วไปไหน

    เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ที่รู้ว่ามีชีวิตที่สั้นมากในโลกนี้ และอยู่ในโลกนี้ทำอะไรบ้าง ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่นหรือไม่ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วถ้าไม่รู้จักพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่มีทางที่จะเป็นคนดีถึงที่สุดได้ ก็เป็นแต่เพียงว่าเกิดมาวันหนึ่งๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าไม่ดีทั้งวัน จนกว่าจะมีการที่ไม่เห็นแก่ตัว และก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ และก็มีการได้ฟังพระธรรม และเข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นชาติที่หายาก เพราะเหตุว่าก่อนนี้เป็นใคร เคยฟังหรือไม่ และต่อไปจะเป็นใคร และจะได้ฟังหรือไม่ ฟังแล้วมีปัญญา สามารถที่จะเห็นถูก ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งไม่แน่นอน ไม่มีการที่จะคงที่เลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง จากความไม่รู้ แล้วก็จะฟังธรรมให้เข้าใจว่า ความจริงแล้วก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้จริง แต่ว่าถ้าไม่อาศัยพระธรรม ที่ทรงแสดงไม่สามารถที่จะเห็นการว่างเปล่า คือเพียงปรากฏแล้วก็หมดไปทุกๆ ขณะ มองเห็นแต่สิ่งที่สืบต่อ เหมือนเที่ยงอยู่ตลอดเวลา เป็นเราเป็นโลก เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา เพราะฉะนั้นความเห็นของเรา กับการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างกัน

    เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ที่นับถือเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีทางเดียวที่จะรู้ว่า ต้องฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น จะนั่งตรงไหน ก็ไม่เป็นไร ขอให้เป็นที่ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แต่ในครั้งกระโน้นนี่ ผู้ที่ไปเฝ้าก็รู้ที่ที่สมควร

    อ.วิชัย ในเวทัลลสูตร เป็นการสนทนาของท่านโกฏฐิตะ และท่านพระสารีบุตร ซึ่งท่านทั้งสองเป็นผู้ที่มีปัญญามาก ซึ่งท่านพระโกฏฐิตะได้เรียนถามท่านพระสารีบุตรว่าบุคคลชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาทราม คือเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ท่านพระสารีบุตรก็กล่าวว่า บุคคลที่ชื่อว่ามีปัญญาทราม คือไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จากการสนทนานี้ ก็ดูเหมือนกับคำว่าทุกข์ เป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก

    ท่านอาจารย์ คนฟังใหม่ อย่าเพิ่งตกใจว่า มีแต่คำภาษาบาลีซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ความเป็นผู้ละเอียด ต้องละเอียดจริงๆ คือศึกษาธรรมทีละคำ และต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ตั้งแต่ต้นด้วย คุณวิชัยกล่าวถึงท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ทั้งสองท่านเป็นผู้ที่มีปัญญา ใครก็ไม่รู้ ได้ยินแต่ชื่อ ใช่ไหมคะ แต่บอกว่าเป็นผู้มีปัญญา เพราะฉะนั้นเราไม่เผิน ต้องรู้ว่าผู้มีปัญญา ปัญญาคือความเห็นถูกความเข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้นปัญญารู้อะไร จึงเป็นผู้มีปัญญา ต้องละเอียดมาก แม้แต่คำว่าปัญญาอย่าข้าม ไปถึงทุกขอริยสัจจะ หรือสิ่งที่ท่านเหล่านั้น ได้ตรัสรู้จากการที่มีปัญญา เพราะฉะนั้นท่านเหล่านั้น ต้องต่างกับคนยุคนี้ สมัยนี้แน่นอน คนสมัยนี้ถ้าจะกล่าวว่ามีปัญญา เข้าใจคำว่าปัญญาหรือไม่ แต่ก็พูดไว้ว่าเด็กคนนี้มีสติปัญญา เรียนหนังสือก็ว่า คนนี้ก็มีสติปัญญา แต่รู้จักสติ รู้จักปัญญาหรือไม่

    เพราะฉะนั้นถ้าเผินก็ใช้คำที่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ใช้ตามๆ กันด้วย เพราะฉะนั้นแม้แต่คำคำเดียวว่า ปัญญาต้องรู้ว่ามีจริงหรือเปล่า และปัญญาเป็นอะไร ปัญญาเป็นคน หรือปัญญาเป็นตา หรือปัญญาเป็นหู เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นอะไรปัญญาเป็นความรู้จริง ความรู้ที่ถูกต้อง รู้อะไรจริง ต้องละเอียดด้วย ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏใช่ไหม เห็นไหม มีเห็นหรือเปล่า ถ้ามีเห็น ปัญญารู้อะไร นี่เริ่มคิดแล้ว เมื่อมีเห็น ปัญญารู้อะไร ปัญญารู้ความจริงของเห็น ที่กำลังเห็น จึงจะชื่อว่าเป็นปัญญา

    เพราะฉะนั้นที่จะกล่าวว่า ผู้มีปัญญา ต้องไม่ใช่เผิน แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ แม้แต่คำเดียวว่าปัญญา ต้องรู้ว่า ปัญญารู้อะไรขณะนี้มีเห็น แล้วไม่รู้ว่าเห็นเนี่ยค่ะเกิดใช่ไหม ถ้าเห็นไม่เกิดจะเห็นไหม และเห็นเกิดแล้วต้องดับ นอนหลับไม่มีเห็น เห็นหายไปไหน เพราะฉะนั้น เห็นเกิดแล้วต้องดับ ขณะนี้ได้ยิน แล้วไม่ได้ยิน แล้วได้ยินเมื่อครู่นี้หายไปไหน เพราะฉะนั้นชื่อว่ารู้ความจริงของเห็น รู้ความจริงของได้ยินหรือเปล่า เพราะฉะนั้นปัญญาต้องหมายถึง สิ่งที่เป็นความรู้ถูกความเห็นถูก ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย ขณะนี้ถ้าพูดถึงชาวบ้านก็บอกว่า ทุกคนมีใจ แต่ใจนี่หลากหลาย เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่เกิดกับใจหลากหลาย เพราะฉะนั้นบางใจก็ดี บางใจก็ไม่ดี

    เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเป็นสภาพธรรมที่ดี เพราะเหตุว่าสามารถรู้ถูก เข้าใจถูกความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นมีใครสงสัยในความหมายของคำว่าปัญญา หรือสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นความเข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้หรือไม่ ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ความจริงของเห็น ของได้ยินเดี๋ยวนี้แล้วจะตรัสรู้อะไร มีใครสามารถที่จะบอกได้ เพราะว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ชื่อว่าผู้นั้นเข้าใจถูกเห็นถูก หรือว่ามีปัญญาได้ไหม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะกล่าวว่าใครมีปัญญา ก็ต้องรู้ว่าปัญญารู้อะไร จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่า มีปัญญาหรือไม่มีปัญญา

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นที่จะรู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ นั้นคืออะไร นี่เป็นการเริ่มต้นของปัญญา น่าเบื่อหรือยัง ไม่พูดเรื่องอะไรที่น่าตื่นเต้นเลย พูดเรื่องธรรมดา มีเห็น และก็ไม่รู้ความจริงของเห็น มีได้ยิน และก็ไม่รู้ความจริงของได้ยิน เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งต่างๆ ที่มีจริงหรือไม่ เมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นบางคนซึ่งต้องการผลสำหรับตัวเอง อยากจะหมดกิเลส พยายามไปทำอย่างอื่น แต่รู้หรือไม่ว่ากิเลสอยู่ที่ไหน มากแค่ไหนทั้งวัน มีกิเลสแล้วมากมายอย่างไร แล้วจะหมดกิเลสได้ โดยไม่รู้จักกิเลส แล้วจะหมดได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงว่า การที่จะไปที่หนึ่งที่ใด ไปเพื่อที่จะได้ปฏิบัติ แล้วก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่า ขณะนี้มีกิเลส การรู้แจ้งอริยสัจธรรมคือการดับกิเลส เพราะความรู้ความเห็นถูก ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดที่ไม่มีความเห็นถูก ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย ต้องเป็นผู้ที่ตรง ขณะนี้ยังงงๆ หรือว่ายังเห็นประโยชน์หรือเปล่า ว่าการที่เรามานั่งฟังที่นี่ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่พูดเรื่องอื่น ที่เป็นเรื่องคำใหญ่ๆ และเราก็ตื่นเต้น และเราก็อยากรู้ เพราะเหตุว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงอยาก แต่ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เป็นเรื่องละความไม่รู้ เพราะรู้ขึ้น รู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ต้องตั้งตนไว้ชอบอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า ประโยชน์แท้จริงคือรู้จักตัวเองว่า มีกิเลสมากทุกวันทั้งวัน การฟังธรรม เพื่อละคลายกิเลส ไม่ใช่เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่น เพราะมีกิเลส และเต็มไปด้วยกิเลส ที่อยากที่จะไปรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ว่าเริ่มจากความไม่รู้ว่า เป็นผู้ที่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่มี

    เพราะฉะนั้นเรื่องฟัง และเห็นประโยชน์ว่า ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักพระคุณของพระองค์ ก็จะเริ่มเห็นประโยชน์ ของการที่รู้จักตัวเอง ตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงที่เคยยึดถือว่า เป็นเรามานานแสนนาน ความจริงก็เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึกเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง เท่านั้นเองจริงๆ คือมีแล้วก็ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ไม่มี เป็นอย่างนี้มานานแล้ว และข้อสำคัญที่สุดคือ จะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไม่รู้จบ แต่ก็ไม่รู้ว่าจากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นอะไร จะมีโอกาสได้รู้ความจริงหรือไม่ ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าสนใจที่จะเข้าใจพระธรรมก็คือว่า ต้องฟังด้วยความเคารพ ด้วยความละเอียด ด้วยความเป็นผู้ตรงว่า ที่ฟังอย่างนี้ เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจขึ้นหรือเปล่า ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม เพราะเหตุว่า ความหมายของธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงผู้มีปัญญา คือรู้สิ่งที่มีตามความเป็นจริง ยกตัวอย่างถึงเรื่องของกำลังเห็น การที่ได้ยินสิ่งนี้ ซ้ำบ่อยๆ การได้ยินบ่อยๆ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น จากการที่ฟัง

    ท่านอาจารย์ คงไม่อยู่ที่บ่อย แต่อยู่ที่ฟังแล้วเข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าบางคนก็ฟังบ่อยมาก เปิดวิทยุธรรมทั้งคืน ทั้งคืนจริงๆ เพื่อว่าตื่นมาเมื่อไหร่ก็ได้ฟัง แต่ว่าความเข้าใจสำคัญกว่า และก็ละเอียดมากด้วย แต่ละคำไม่ผ่าน วันนี้ได้ยินคำว่าธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทุกอย่าง กลิ่นมีจริงไหม เคยรู้ไหมว่ากลิ่นนั้นแหละเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งใครก็ไปทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คิดมีจริงไหม โกรธมีจริงไหม สำคัญตนมีจริงไหม ทุกอย่างที่มีจริง เกิดแล้วโดยที่ว่าใครก็ไม่ทำให้เกิดไม่ได้ เลือกไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็มีความจริงที่สะสมมาว่า ได้สะสมโกรธมามาก เพราะฉะนั้นก็เป็นคนโกรธง่าย บางคนก็มีเมตตามาก เพราะสะสมความเมตตา มีความหวังดีต่อคนอื่นมามาก เพราะฉะนั้นเป็นธรรมทั้งหมด ถ้าไม่มีธรรมจะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น โลกนี้ มีทั้งคนมากมาย มีสิ่งของ มีฟ้า มีน้ำ มีลม มีแดดอะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จะมีไหมก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นโลก เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสิ่งที่เกิดขึ้น โลกไม่มี แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดแล้วดับไป เร็วมากไม่มีทางที่จะรู้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่บำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้ความจริง ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้รู้ได้ แต่ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมาก อาศัยความอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ลำบาก อาศัยความเพียร ความจริงใจ ความมั่นคงที่รู้ว่า ไม่รู้ในสิ่งที่มี และเมื่อมีโอกาสที่จะรู้ได้ ก็ควรที่จะสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพื่อที่จะรู้ความจริง และการรู้ความจริงเนี่ยประโยชน์มหาศาล คือเมื่อรู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่มี บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้น และดับไปก็ละคลายการที่หวังจะเป็นอย่างนั้น หรือจะไปทำอย่างโน้น หรือจะไปทำอย่างนี้

    แต่ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ผลทั้งหลายย่อมมาจากเหตุ เหตุที่ดีจะไม่นำมาซึ่งผลที่ไม่ดี เหตุที่ดี ความดีในเหตุนั้นแหละ ก็จะนำมาซึ่งผลที่ดี และความไม่ดีในสิ่งที่ไม่ดี จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ที่เราเห็นในโลกทุกวันนี้ คนนั้นเป็นอย่างนี้ ประเทศนี้เป็นอย่างนั้น เรื่องนั้นเป็นอย่างโน้น ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่ดีทั้งหมด มาจากไหน ก็ต้องมาจากความไม่ดี ถ้ามาจากความดีก็ตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้ใครที่จะแก้ปัญหาหรือแก้สิ่งที่ไม่ดี มีหนทางเดียวคือด้วยความดี แต่ความดีซึ่งทุกคนอยากจะดีก็ดีไม่ได้ เพียงอยาก แต่มีหลายเหตุหลายปัจจัย ที่จะทำให้ดีขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือความเห็นถูกต้อง ความรู้จริงว่า แท้ที่จริงแล้วธรรมเป็นธรรม เปลี่ยนไม่ได้ โกรธดีไหม ไม่ได้พูดถึงใครเลย โกรธดีหรือไม่ พอเราโกรธรู้สึกว่าเราต้องโกรธละ แต่ความจริงขณะนั้น เหมือนไฟที่เผา จะอ่อนหรือจะแรง ไม่ได้ทำร้ายคนอื่นเลย ทำร้ายจิต จิตใครที่เคยยึดถือว่า เป็นเราแต่ละคน มีจิตแต่ละหนึ่ง แลกกันไม่ได้ ขอยืมกันไม่ได้ เพราะเหตุว่าสะสมมาที่จะ เกิดเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป ตามการสะสมแต่ละขณะของการเห็น การได้ยินเหล่านี้

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง ไม่ได้พูดถึงใครเลย โกรธดีไหม ไม่ดี เผาจิตใจไม่สงบ ไม่สบาย ไม่เป็นสุข เดือดร้อน แล้วยังทำร้ายคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นสภาพที่ไม่ดี นอกจากจะทำร้ายตน ก็ยังทำร้ายคนอื่นด้วย หนึ่งแล้ว ใครไม่โกรธบ้าง ไม่มี แล้วโกรธจะหมดไปได้ไหม บังคับไม่ได้ แต่ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะเห็นโทษ เมื่อไหร่ที่เห็นโทษก็ละด้วยความเห็นที่ถูกต้องว่าเป็นโทษ แต่ถ้าตราบใดยังไม่เห็นว่าเป็นโทษก็ไม่ละ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่มึนเมามัวเมา ด้วยความไม่รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องละเอียด และรู้ประโยชน์ และรู้คุณว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพระมหากรุณา บำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงแสดงความจริงให้คนอื่น ได้เข้าใจถูก ในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงด้วย เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ "พุทธานุสติ" ไม่ต้องมีใครบอกให้นั่งท่องพุทโธ ท่องพุทโธแต่ไม่รู้อะไรเลย แต่ขณะที่ได้เข้าใจพระธรรม ระลึกถึงพระคุณ ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีโอกาสเข้าใจความจริงไหม มากกว่านี้อีกมากมาย ที่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เป็นประโยชน์ที่ทำให้มีท่านพระสารีบุตร ท่านมหาโกฐิตะ และพระอรหันต์ทั้งหลาย รวมทั้งผู้ที่ได้รู้แจ้งสัจธรรม เพราะได้ฟังพระธรรม และก็ได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นไม่เป็นโทษกับใครเลย

    ก่อนอื่น ฟังมาแล้ว ต้องมีความเข้าใจแม้เล็กน้อยว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริง เพราะฉะนั้นธรรมเป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงนั้นแหละเป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมอื่นเลย

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ ขอให้ทุกคนเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าสิ่งที่มีจริง มีลักษณะอย่างนั้นจริงๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นั่นแหละคือตัวธรรม เป็นธรรมแน่นอน ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนอีก เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมหรือไม่ ต้องเริ่มจากความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ คิดเป็นธรรมหรือเปล่า คิดจริง โกรธจริง ทุกอย่างที่จริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่ไม่เคยรู้มาเลยว่า นั่นคือธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเหตุว่าจะไปรู้อะไร จะไปเข้าใจอะไร ถ้าสิ่งนั้นไม่มีจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ที่มีจริงเดี๋ยวนี้ และเป็นสิ่งที่ควรที่จะเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นถ้าใครฟังธรรม แล้วไม่รู้จักธรรมว่าธรรมก็คือเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ คิดเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่รู้จักอย่างนี้ ชื่อว่าถึงจะฟังไปเท่าไหร่ คนนั้นก็ไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริง ต้องไม่ลืม และมั่นคงด้วยว่าธรรมเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    30 มี.ค. 2567