ปกิณณกธรรม ตอนที่ 761


    ตอนที่ ๗๖๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านสวนส้มทิพย์ จ. ราชบุรี

    วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงต้องไม่ลืม และมั่นคงด้วยว่าธรรมเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรม ไม่ใช่เสียงใคร เสียงมีจริงเสียงเกิดขึ้นเสียงดับไปเสียงเป็นธรรม เห็นมีจริง เห็นเป็นเห็น จะบอกว่าคน ได้ไหม จะบอกว่านกได้ไหม จะบอกว่างูได้ไหม ถ้าเปลี่ยนสภาพของเห็นคือไม่เข้าใจธรรมแล้ว เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็นเป็นอื่นไม่ได้ นั่นคือธรรม ได้ยินมีจริงๆ เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังได้ยินนี่ มีแน่นอน ได้ยินเป็นเสียงไม่ได้ ได้ยินเป็นคนไม่ได้ ได้ยินเป็นโกรธไม่ได้ ได้ยินเป็นได้ยิน

    เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เริ่มฟังธรรม ขอให้รู้จักธรรมจริงๆ ก่อนมิฉะนั้นไม่ชื่อว่าศึกษาธรรม ซึ่งถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นต่อไปจะสับสน แล้วก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าได้มีความเข้าใจแม้แต่คำแรกคือคำว่าธรรม ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ที่ตรง ธรรมทั้งนั้น รู้ธรรมหรือไม่ มีก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงฟังเพื่อรู้ความจริงก่อนตายดีกว่า เพราะเหตุว่าสามารถที่จะสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกที่ได้เข้าใจแล้วไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมไม่เป็นอย่างอื่น

    อ.สงบ มีศัพท์อยู่ ๓ ศัพท์ ศัพท์หนึ่ง คือ "ปัญญา" แปลว่ารู้ทั่ว อีกศัพท์หนึ่งก็คือ "ธรรม" ธรรมแปลว่าสภาพที่ทรงไว้ซึ่งความเป็นจริง สภาพซึ่งมีอยู่จริง เป็นจริงเช่นนั้น อีกศัพท์หนึ่ง คือ "ทุกขะ" แปลว่าสภาพที่ทนได้ยาก

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้กำลังเห็นไม่ต้องพูดว่าเห็น ไม่ต้องเรียกอะไรเลยเห็นก็เห็น ใช่หรือไม่ หรือว่าพอไม่เรียกว่าเห็น แล้วไม่มีเห็น ไม่ใช่อย่างนั้นเลย มีไม่ต้องเรียกก็มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะไม่เอ่ยชื่อต่างๆ มากมายแต่สภาพธรรมต่างๆ เหล่านั้นก็มี เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องเริ่มจากการที่ไม่เคยรู้มาก่อน แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นอย่างมั่นคงเพื่อที่จะได้ศึกษาต่อไป เห็นขณะนี้มีแน่ใช่ไหมเพราะเห็นเกิดแล้ว แล้วเห็นดับหรือไม่ ดับหมายความว่าหมดไปไม่กลับมาอีกเลย ย้อนกลับมาอีกไม่ได้ เป็นอันเก่าไม่ได้ เพียงเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า ธรรมสำหรับคิด สำหรับไตร่ตรอง สำหรับเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นเป็นอย่างนี้หรือไม่ ลองไตร่ตรอง เห็นเกิดขึ้นแล้วเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เลย เห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เมื่อครู่นี้อีก เร็วมาก เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เพียงเกิดขึ้นปรากฏ แล้วหมดไป ดีไหม ลองคิด ไม่เหลือด้วย แค่เกิดมาปรากฏว่ามีแล้วก็หมดไป แต่ดูเหมือนไม่เคยเกิด ก็ขณะนี้ไม่ประจักษ์การเกิด แล้วก็ไม่เห็นว่าดับไปด้วย นี่คือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นปุถุชนหนาแน่นด้วยความไม่รู้ และกิเลสทุกอย่างที่เกิดจากความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้นจนหมดกิเลสตามลำดับ ถึงความเป็นผู้ที่รู้แจ้งความจริง ซึ่งทุกคำนี่เป็นวาจาสัจจะ เห็นเกิดแล้วดับ ถ้ารู้ความจริงก็ต้องประจักษ์การเกิด และดับ เคยยึดถือว่าเราเห็น เดี๋ยวนี้ก็เป็นเราเห็น แต่ฟังธรรมแล้วรู้ว่าเห็นเป็นเห็น เห็นเกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่เราแน่นอน แต่เพราะเหตุว่าไม่เคยฟังอย่างนี้ และเพิ่งเริ่มจะได้ฟัง เพราะฉะนั้นอีกนานไหมกว่าจะเข้าใจถูกว่าเห็นขณะนี้เพียงเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้นกว่าจะละคลายความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่น่าพอใจ ก็ต้องเป็นปัญญาความเห็นถูกเกิดขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าทุกคำที่ได้ฟังตั้งแต่ต้นเป็นความจริง ถ้าไม่เป็นความจริงไม่ใช่ปัญญาหรือความรู้ที่เพิ่มขึ้นเลย ยังเหมือนเดิม แต่ว่าความรู้ที่เกิดจากการฟังก็ยากแสนยากที่จะปรากฏได้ เพราะเหตุว่าความไม่รู้มีมาก และความรู้เพิ่งค่อยๆ เข้าไปทีละนิดเดียว เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความรู้จริงๆ ว่าได้เข้าใจขึ้น ก็ต้องเป็นสิ่งที่นานกว่าที่คิดมากมาย

    เพราะเหตุว่าฟังมา๑๐ ปี ๒๐ปี เห็นก็ยังคงเป็นเราเห็น นี้แสดงให้เห็นว่าอวิชชามากมายระดับไหน เทียบได้ยิ่งกว่าจักรวาล กี่จักรวาลทั้งหมด เขาสิเนรุหรืออะไรทั้งหมดก็ไม่มากเท่ากับความไม่รู้ ซึ่งไม่รู้จริงๆ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังเริ่มมีความรู้จากการฟัง เพราะฉะนั้นความรู้ขณะนี้เจริญขึ้นได้เติบโตขึ้นได้ แต่ไม่เร็วอย่างที่คิด ท่านอุปมาว่าเหมือนการจับด้ามมีด ขณะที่จับแม้รอยนิ้วมือก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนี้การเริ่มได้ยินได้ฟังนี่ ความเข้าใจน้อยขนาดนั้นว่าแม้แต่ว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่าเป็นเรามานานมาก ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นคนที่มั่นคงจริงๆ ที่จะมีศรัทธา

    ศรัทธาคือ สภาพธรรมที่ผ่องใส ขณะนั้นไม่มีกิเลสใดๆ ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีความไม่รู้ เพราะว่าขณะนั้นรู้ว่า ควรรู้ธรรม หรือว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง ศรัทธาเกิดที่จะฟังให้เข้าใจไหม นี้เป็นการเริ่มต้นของการที่ปัญญาจะเจริญขึ้น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมีในพระไตรปิฎกครบถ้วนทั้งหมด ใช้คำที่ไม่ใช่ภาษาไทย แต่ก็ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็เป็นจริงอย่างนั้นแล้วแต่ว่าใครจะใช้ภาษาอะไรก็ได้ แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่าฟังให้เข้าใจ และก็มั่นคง ว่าขณะนี้สิ่งที่มีขณะนี้เกิดแล้วดับ

    เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าทุกข์ ไม่ใช่เจ็บป่วยไม่ใช่โกรธไม่สบายใจไม่ใช่เดือดร้อน แต่ว่าสภาพธรรมใดก็ตาม ลองคิดให้ดีสิ่งนั้นเพียงเกิดขึ้นปรากฏสั้นมากแล้วดับไป เป็นจริงอย่างนี้แน่นอน ควรยินดีพอใจไหมควรติดข้องไหมในสิ่งที่ไม่มีแล้วค่ะแต่ยังหลงว่ามี เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งเหมือนเมื่อวานนี้มีเราแน่ๆ เราทำอะไรบ้างวันนี้ก็เป็นเราอีกที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ แต่ความจริงแต่ละขณะนี้ค่ะไม่ได้กลับมาอีกเลยสักขณะเดียวแล้วก็ไม่มีเราจริงๆ ด้วยมีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ว่าความจริงอันนี้สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นก็มีการฟังเพราะรู้ว่ารู้แค่นี้ไม่พอที่จะมีความมั่นคงยังมีความละเอียด ความลึกซึ้งแต่ละคำจะทำให้ค่อยๆ ได้คิดได้เข้าใจได้ถูกต้องว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับ จึงยังคงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่น่าพอใจ แต่ต่อเมื่อใดสภาพธรรมแต่ละหนึ่งปรากฏเพียงหนึ่งเกิดขึ้น และดับไป เมื่อนั้นจึงจะคลายการที่เคยยึดถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ด้วยเหตุนี้ความหมายของทุกข์ อีกความหมายหนึ่ง ก็คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป สิ่งนั้นเป็นทุกข์ คือไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดี แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ อย่างที่ได้ยินบ่อยๆ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่คำอื่นก็มีอีกที่ว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นเองไม่งาม แล้วก็เป็นทุกข์ และก็ไม่ใช่เรา

    เพราะส่วนใหญ่เราจะติดข้องเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีจึงเป็นสิ่งที่งาม งามคือน่าพอใจ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจพระธรรมแต่ละคำด้วยความมั่นคงว่า หมายความถึงเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการศึกษาธรรม เพราะเหตุว่าฟังแต่เพียงชื่อ ฟังแต่เพียงเรื่อง และเข้าใจว่ารู้มากแล้ว เข้าใจมากแล้ว แต่ถ้ารู้ และเข้าใจต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ตามลำดับตั้งแต่ขั้นฟัง แล้วก็อีกนานกว่าปัญญาจะเกิดขึ้นจนถึงขั้นที่กำลังเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริง แล้วก็อีกนานกว่าจะละคลายจนประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรม แล้วก็อีกนานจนกว่าที่จะดับ การที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นานแสนนานมาแล้วได้

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของจิรกาลภาวนา "จิร" คือนาน นานไม่ต้องกล่าวว่าเท่าไหร่อบรมไป จนกว่าเป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่า เริ่มเข้าใจขึ้นเป็นปกติทีละเล็กทีละน้อยเหมือนจับด้ามมีด เพราะว่าขณะนี้ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งถ้าศึกษาโดยละเอียดก็จะรู้ว่าเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป แต่ตอนต้นยังไม่ต้องจำก็ได้ แต่ให้รู้ว่าทั้งหมดนี่เป็นความจริงแต่ละหนึ่งซึ่งต่างกัน

    อ.ธิดารัตน์ การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม ไม่งามในขณะนั้น แต่ในขณะที่เห็นว่าดอกไม้นั้นสวย ขณะนั้นเป็นการใส่ใจในนิมิตของสีสันต่างๆ จึงงาม

    ท่านอาจารย์ สงสัยว่า ดอกไม้งาม แล้วจะไม่งามได้หรือ เพราะเหตุว่าเป็นดอกไม้ก็ต้องงาม แต่ถ้าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วดับ ไม่ใช่ดอกไม้ สภาพธรรมใดๆ ก็ตาม ซึ่งลวง เพราะว่าไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วทุกอย่างที่ปรากฏขณะนี้กว่าจะเป็นดอกไม้ได้ ต้องมีหลายสี สีเดียวจะงามหรือไม่ ก็ยังงาม เพราะชินต่อการที่จะชอบสีฟ้าหรือสีชมพู สีส้ม สีเหลือง สีแดง เพราะไม่รู้ความจริงว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะกำลังเกิดดับ แม้แต่สีที่ว่า สีฟ้ายังไม่เป็นดอกไม้เลย สีเหลืองยังไม่เป็นดอกไม้ แม้แต่ขณะที่ปรากฏว่าเป็นสีก็เกิดดับ

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นจะงามไหม สภาพธรรมที่ปรากฏยังไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงกระทบตาปรากฏ และดับไป เพราะฉะนั้นอีกนานหรือไม่กว่าจะรู้ความจริง แต่รู้ได้เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป พระพระองค์นี้เป็นผู้ที่ยิ่งด้วยพระปัญญา แต่ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป แต่สาวกไม่ถึงอย่างนั้น เพียงแต่ว่าเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม และก็มีความเข้าใจเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ที่จะรู้ว่าไม่ต้องรีบร้อนไปเข้าใจอะไรมากมาย แต่ให้เริ่มเข้าใจพื้นฐานว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้มีจริงแน่นอน แล้วก็สิ่งที่มี และก็ไม่รู้ก็คือว่าไม่สามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกได้ก็มีจริงๆ คือเดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้ นั่นคืออวิชชา แต่กำลังฟังเริ่มเข้าใจ ก็ตรงกันข้ามกับฟังไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทุกคำที่ตรัสเป็นความจริง เพราะเหตุว่าดอกไม้สวยแล้วจะไม่สวยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเพียงเกิดปรากฏแล้วดับยังไม่เป็นอะไรเลย สิ่งนั้นหรือควรเป็นที่ยินดี

    อ.ธิดารัตน์ การที่เห็นว่าดอกไม้สวยนี่เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแล้วก็มีการติดข้องในนิมิตของสีนั้นจึงงาม ถึงแม้ไม่ได้ติดข้อง แต่เป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ ลักษณะนั้นเขาก็ไม่งาม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้นนั่น คือปัญญา ซึ่งยังอีกไกล แต่ว่าเริ่มจากความเข้าใจก่อน ถ้าไม่มีความเข้าใจเบื้องต้นจากการฟัง ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะว่าเป็นปัญญาที่อบรมเจริญแล้วเท่านั้นที่สามารถจะรู้ความจริงได้ ไม่ใช่ว่าใคร ตัวตนที่ไหน จะไปพยายามทำให้รู้ได้ รู้ได้เลย เป็นผู้ที่ตรง ว่าฟังแล้วก็ความจริงก็คือว่ายังติดข้อง ฟังเข้าใจขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นปกติด้วย นั้นจึงชื่อว่าเป็นปัญญาที่คมกล้าที่สามารถที่จะสละความเป็นเรา และก็รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง การฟังธรรม จะพิจารณาได้อย่างไร ว่าแหล่งไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคำใดที่ทำให้เราเข้าใจ แม้คำนั้นถูกต้อง เช่นได้ยินคำว่าธรรมเข้าใจหรือยังว่าอะไรเป็นธรรม ถ้ายังไม่เข้าใจคำ หรือหนังสือหรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่สามารถที่จะให้เข้าใจได้ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ธรรม เพราะเหตุว่าต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่าต้องเป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีไหม ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มี จะจริงหรือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้นั่นแหละเป็นธรรม และคำที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้นถูกต้องตามความเป็นจริง คำนั้นก็คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ แต่คำอื่นเป็นคำที่คิดเองไม่ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงได้เลย คำนั้นก็ไม่ใช่พระธรรม ไม่ใช่วาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพูดเรื่องเห็นมีจริง และเห็นก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็หมดไปจริงหรือไม่ และยังมีอีกมากมายกว่าที่จะค่อยๆ ละคลายการยึดถือเห็น เพราะเริ่มเข้าใจว่าเห็นเกิดจากอะไร ถ้าไม่มีจักขุปสาท ภาษาบาลีใช้คำว่าจัก ขุ ปะ สา ทะ แต่คนไทยใช้คำนี้ด้วย จักขุคือตา ปสาท คือรูปซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เราใช้คำว่าตา แต่เราไม่รู้ว่าตาอยู่ที่ไหน บางทีเราก็เข้าใจว่าตาดำ ตาขาว ทั้งหมดเลยเป็นตา แต่ไม่ใช่ เพราะตาต้องเป็นรูปพิเศษ ที่เป็นจักขุปสาท ไม่ใช่สะสัมภาระซึ่งเป็นส่วนประกอบตั้งแต่ตาดำตาขาว จะสีอื่นก็ได้ แต่รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้เดี๋ยวนี้ เป็นรูปที่เกิดจากกรรม และมองไม่เห็นด้วย และอยู่กลางตา จะมองเท่าไหร่ ก็เห็นแต่สีสันวรรณะ ไม่สามรถที่จะเห็นรูปที่กระทบตาได้ เหมือนกับหูก็ไม่ใช่ใบหูทั้งหมด แต่เป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับเสียง จึงใช้คำว่าปสาท เป็นรูปที่ผ่องใส ไม่ใช่เป็นแต่เพียงสิ่งที่จับแล้วแข็ง เย็น หรือร้อนอย่างนั้น กระทบกับเสียงไม่ได้ แต่ต้องเป็นรูปที่สามารถกระทบเสียงได้

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีรูปนี้ที่จะกระทบกับเสียง ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่ได้ขณะที่ได้ยินเสียง เสียงไม่รู้อะไรเลย แต่ต้องมีสภาพธรรมที่ได้ยิน ใช้คำว่ารู้เสียง รู้เฉพาะเสียงที่ได้ยิน ไม่ใช่เสียงอื่น รู้เสียงว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นสิ่งอื่น เสียงคนกี่คนก็ตาม แต่จำได้ใช่ไหมว่าเสียงใคร นี่ก็แสดงให้เห็นว่าธาตุรู้มีแน่นอน เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ ซึ่งภาษาไทยเราก็ใช้ตามภาษาบาลีว่า "จิต" แต่ภาษาบาลีจะออกเสียงว่า "จิตตะ" หมายความถึงธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้ก็ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเลย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เสียง สี กลิ่น รส พวกนี้ไม่รู้อะไรเลย แต่มีธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นรู้สิ่งต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่มีในพระไตรปิฎกทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าสามารถเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด แต่ถ้าไม่ใช่ทำให้เข้าใจ ทำให้หลงอยากได้ ต้องการโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ นั่นก็ไม่ใช่ธรรม

    ผู้ฟัง มีผู้ถามว่า ขณะที่อยู่ระหว่างทุกข์ใจด้วยเหตุใดก็ทราบว่าควรรู้ว่าเกิดดับแล้ว แต่ก็ยังทุกข์ใจอยู่ ควรจะละออก จะมีแนวคิดประคองจิตใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถามทีละคำก็ดี

    ผู้ฟัง ขณะที่อยู่ระหว่างทุกข์ใจ

    ท่านอาจารย์ อยู่ระหว่างทุกข์ใจ ใครอยู่ ไม่ใช่ธรรมแล้ว เป็นเราแล้ว เพราะฉะนั้นเพราะไม่รู้ จึงทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าทุกข์ไม่ใช่เรา ใจคืออะไรก็ไม่รู้ แต่ก็เมื่อสิ่งใดมีก็ยึดถือว่าเป็นเราก็ต้องเป็นทุกข์แน่นอน แล้วก็จะไปเอายาที่ไหนมารักษา เอามาชงมาดื่มให้หาย หรือว่าฟังธรรมแล้วเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เข้าใจ อย่างไรก็ต้องเป็นทุกข์

    ผู้ฟัง ด้วยเหตุใด ก็ทราบว่าควรรู้ว่าเกิดดับแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ควรรู้ แต่เข้าใจให้ถูกว่าเป็นธรรม ต่างกันแล้วใช่ไหม ไปคิดว่าตัวเองนี่ควรรู้ เป็นเราที่ควรรู้ หาทางว่าเราจะรู้ได้อย่างไร นั่นคือไม่เข้าใจธรรม แต่ว่าที่ถูกแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่คนฟังเผินคิดว่าธรรมเป็นยา พอเป็นทุกข์ก็รีบหา แล้วจะเอายาชนิดไหน ถามใครดี เขาจะแนะนำอย่างไร เหมือนคำถามนี้เลยต้องการแสวงหา แต่ว่าไม่ได้ต้องการเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่มีปัญญาแล้วจะรักษาโรคได้อย่างไร ทุกข์ก็เป็นโรคด้วย

    ผู้ฟัง แต่ก็ยังทุกข์ใจอยู่

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าไม่รู้ ใครที่ไม่ทุกข์ใจ ผู้มีปัญญาที่สามารถที่จะดับความเห็นผิดรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสหมดเมื่อไหร่ไม่มีทุกข์ใจ

    ผู้ฟัง ควรจะละออก

    ท่านอาจารย์ ควรอีกแล้ว ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น จะละอีกแล้ว เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง จะมีแนวคิดประคองจิตใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจธรรม ต้องการประคองจิตไม่ให้เป็นทุกข์ เป็นไปไม่ได้ พูดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครแนะนำ ทราบได้เลย ว่าผิด เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา

    ผู้ฟัง การฟังธรรมนี้มักจะได้คำเตือนอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างว่า แค่เห็นนี่ก็ไม่รู้จัก ที่ว่ารู้จักจริงๆ คืออะไร แล้วที่รู้จัก เป็นอย่างไร แค่คำว่าเห็นนี่ไม่ต้องเอ่ยชื่อคำว่าเห็น นั้นมีจริงไหม ก็ต้องยอมรับว่ามีจริง บังคับบัญชาอะไรก็ไม่ได้ ก็ต้องเห็น ถ้าไม่หลับตา ถ้าไม่มีสิ่งที่เห็น ก็ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ นี่คือเบื้องต้นที่ว่าทุกคนรู้ว่าเห็น แต่ก็ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร และเห็นจริงๆ ก็คือเป็นเห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้นการฟังจึงต้องฟังแล้วฟังอีกเพื่อค่อยๆ เข้าใจเหมือนจับด้ามมีด ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ทันที เพราะฉะนั้นถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเลยจะมาคิดเรื่องเห็นไหม ก็ไม่คิดเลย แต่เมื่อฟังแล้วก็ค่อยๆ รู้ความจริงว่าสิ่งที่มีทั้งหมดจากการได้ฟังธรรมก็รู้ว่ายังไม่เข้าใจตามที่ผู้มีพระภาคตรัส เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นคนตรง ที่จะรู้ว่าขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่คิดเรื่องเห็น เพราะฉะนั้นกว่าจะไม่ใช่คิด แต่กำลังค่อยๆ เข้าใจเห็น ก็ต้องอาศัยการฟังอีกมากจนกระทั่งสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เริ่มเข้าถึงลักษณะที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็น ก็ฟังไปเรื่อยๆ เมื่อมีความเข้าใจขึ้นค่อยๆ ละขึ้น ก็จะรู้ว่าค่อยๆ เริ่มเข้าใจสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ทั้งหมด ทุกวันนี่เป็นธรรมซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลาแต่ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ และความต้องการ เพราะฉะนั้นก็มีทางเดียวคือฟังแล้วเข้าใจขึ้น การเข้าใจเป็นการละความติดข้องไม่เช่นนั้นก็ยังคงมีเราที่สงสัย

    อ.วิชัย การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เห็น ได้ยิน หรือรู้สึกแข็ง อ่อน เย็น ร้อนต่างๆ เหล่านี้ก็มีปัจจัยให้มีความคิดถึง ความที่คิดถึง กับขณะที่สติระลึกจะมีความต่างอย่างไรที่จะให้รู้ให้เข้าใจว่าอะไรเป็นเพียงแต่คิด หรือ เป็นสติระลึก

    ท่านอาจารย์ ใครคิด

    อ.วิชัย ก็จิตที่เกิดขึ้นคิด

    ท่านอาจารย์ อย่างนั้นหรือ

    อ.วิชัย ยังเป็นเราคิดอยู่ ก็ต้องเป็นความรู้ขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ทางเดียว เพราะฉะนั้นทุกคนกำลังอยู่ในความมืดกว่าจะพบแสงสว่าง แสงสว่างนั้นก็จางเหลือเกิน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอยู่ในความมืดทั้งหมดนี่กว่าจะปรากฏเป็นแต่ละหนึ่งอย่างชัดเจน ก็ต้องอาศัยความเข้าใจด้วยการละ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมแล้วเป็นปกติ ฟังธรรมแล้วผิดปกติด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความเป็นเรายิ่งขึ้นเวลาที่คิดที่จะทำอย่างนั้น คิดที่จะทำอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าปัญญาที่ได้เริ่มฟังยังน้อยมาก ยังไม่สามารถที่จะรู้ว่ากำลังคิดก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่จะดับกิเลสได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นผู้ที่หลอกตัวเองหรือหลงเข้าใจผิด เป็นมิจฉายามะหรือว่ามิจฉามรรค ก็คือผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าไม่รู้คือไม่รู้ๆ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    29 เม.ย. 2567