ปกิณณกธรรม ตอนที่ 766


    ตอนที่ ๗๖๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ พอเห็นก็ลืมแล้วใช่ไหม นี่แหละผลของกรรม คนตาบอดไม่เห็นก็เป็นผลของกรรม ที่ทำให้ไม่เห็น อยากเห็นก็ไม่เห็น คนหูหนวกก็เป็นผลของกรรม ที่ทำให้ไม่ได้ยิน ลืมหรือไม่ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อเข้าใจถูกต้อง จนกว่าจะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง ไม่ใช่แค่ฟัง แต่สามารถรู้ถึง"เห็น"ที่เกิดแล้วดับ และสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ จึงสามารถที่จะเป็นอริยสัจธรรม

    ผู้ฟัง คิดว่า นามรูปที่เกิดดับเกิดดับจริงๆ แล้วก็เป็นอย่างที่กล่าวแล้วตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าในภูมิที่มีรูป จิตจะเกิดที่รูป เกิดนอกรูปไม่ได้ ต้องอาศัยรูปเกิดขึ้นด้วย แต่จิตเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไร แม้จิตเป็นธาตุรู้ และรูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่ในภูมิคือโลกนี้ ที่มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม จิตจะเกิดที่รูปอาศัยรูป เช่น เห็น ไม่อาศัยตาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตนั้นเกิดที่ตา จักขุปสาทรูป เสียงกระทบหู แต่เสียงก็ไม่รู้อะไร โสตปสาทก็ไม่รู้อะไร แต่จิตนั้นอาศัยเสียงที่กระทบรูปเกิดขึ้นที่โสตปสาท เพราะฉะนั้นจิตจะเกิดนอกรูปไม่ได้เลย เมื่อจิตเห็นอาศัยตา จิตได้ยินอาศัยหู จิตได้กลิ่นอาศัยรูปพิเศษที่จมูก ภาษาบาลีก็ใช้คำฆานปสาท สำหรับรสถ้าไม่ถูกลิ้นจริงๆ ไม่มีทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้รส ลิ้มรสนั้นได้เลย แต่ขณะใดก็ตามที่รสปรากฏ รสก็เกิดที่ชิวหาปสาท ลิ้มตรงนั้น เกิดตรงนั้น ดับตรงนั้น แล้วจิตอื่นทั้งหมดไม่ได้เกิดที่ตา หู จมูกลิ้น กายแต่เกิดที่รูปหนึ่ง รูปนี้เกิดพร้อมกับปฏิสนธิเลย แสดงว่าแม้แต่ขณะแรกที่เกิด จิตนั้นก็ต้องเกิดที่รูป ซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปที่เป็นที่เกิดของจิตใช้คำว่า"หทยวัตถุ" วัตถุคือที่เกิดซึ่งเป็นรูป หทยก็คือจิต เพราะฉะนั้นจิตอื่นทั้งหมด นอกจากจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ซึ่งอาศัยเกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กายปสาท จิตอื่นทั้งหมดเกิดที่ "หทยวัตถุ"

    ผู้ฟัง สิ่งที่จิตเห็นเป็นรูป เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่า รูปไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วรูปเหล่านี้เองที่ที่เราไปติด ใช่ไหม ซึ่งล้วนแล้วแต่ว่าก่อให้เกิดวิบากกรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่กระทำกรรม

    ผู้ฟัง ใช่ ถ้าไม่เกิดกุศล อกุศล

    ท่านอาจารย์ จนกระทั่งกระทำกรรม ที่เป็นทุจริตกรรม

    ผู้ฟัง นี่คือโทษของกิเลส

    ท่านอาจารย์ ยังมีความติดข้องในรูป ก็ขวนขวายหารูป แสวงหารูป

    ผู้ฟัง รูปทั้งนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ ที่จิตติดข้อง แล้วก็ติดข้องไม่ใช่แต่เฉพาะรูป สภาพที่ติดข้องภาษาบาลี คือภาษามคธี ใช้คำว่าโลภะ เป็นสภาพที่ติดข้อง ติดข้องทุกอย่างเว้นโลกุตระธรรม เห็นอำนาจของความติดข้องของโลภะหรือไม่ โดยอริยสัจจเป็นสมุทัย เพราะฉะนั้นกิเลสคือโลภะความติดข้องเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ลักษณะของอกุศลธรรมมีหลายอย่าง แต่อกุศลธรรมประเภทหนึ่งก็คือความติดข้อง ภาษาบาลีใช้คำว่าโลภะ

    ผู้ฟัง ขอถามเรื่องรูปแบบหยาบๆ ว่าเวลานั่งตรงนี้ ดิฉันเดินไปหยิบไมค์ ก็ถือว่าดับตรงนี้ไปเกิดตรงนั้น อย่างนี้เรียกว่าเกิดดับหรือไม่

    ท่านอาจารย์ อะไรเกิด อะไรดับ

    ผู้ฟัง เรานั่งตรงนี้ คือเกิด

    ท่านอาจารย์ เรานั่งตรงนี้ไม่ดับ "เรา"นั่งตรงนี้ด้วย จะดับได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ก็คือเราคิด ก็คือผิด

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าการเกิดดับ คือเราอยู่ตรงนี้ แล้วลุกขึ้นไปก็ดับแล้ว ไปอยู่ตรงโน้น

    ท่านอาจารย์ "เรา"เมื่อไรก็ไม่ถูก

    ผู้ฟัง ก็คือถ้าคิด ก็คือไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ คิดทีละคำ ดับไปทีละคำหรือไม่

    ผู้ฟัง ต้องตรงนี้ดับแล้วถึงจะเกิด ถึงเรียกว่าเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ นั่งอยู่ตรงนี้ ๑๐ นาที ไม่ดับใช่ไหม ต้องลุกขึ้นยืนถึงจะดับหรืออย่างไร

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ นั่นก็คือไม่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าเรายังอยู่ตรงนี้ ยังไม่เกิด แล้วเดี๋ยวพอเราลุกขึ้นแล้วดับ ไปเกิดอยู่ตรงโน้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย ไม่ได้พูดถึงเรา อย่าลืมธรรมคือสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง ทุกขณะด้วย

    ท่านอาจารย์ เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าไม่มีเราตั้งแต่ต้น ถ้าศึกษาไปเป็นเราไป ก็คือว่าไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่เอาความคิดเก่าๆ มาปนกับธรรมเลย นี่สำคัญที่สุดเลย เพราะว่าถ้าเป็นความคิดเก่าๆ ปนกับธรรม ก็เป็นความคิดเดิมๆ ฟังมาตั้งแต่ต้น เราลุกขึ้นถึงจะดับใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า พูดถึงสิ่งที่มีจริง อย่างเห็นนี่มีจริงๆ เห็นต้องเกิด เกิดแล้วดับ อย่างนี้ไม่รู้ เกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้มีเห็น ลืมว่าเห็นต้องเกิด และเวลาที่ได้ยินก็ไม่ใช่เห็น และถึงแม้ก่อนจะได้ยิน เห็นก็ดับแล้วด้วย นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฟังใหม่ คือไม่มีความคิดเดิมๆ เข้ามาติดข้อง เพราะความคิดเดิมๆ คือความไม่รู้ ความไม่ใช่ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คิดเองกันได้ทุกคน ใครจะคิดอย่างไรก็ได้ นักปราชญ์เขาก็คิดกันไปของเขา มีตำรับตำราเยอะแยะ นักจิตวิทยาทั้งหลายไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำนี้ "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" ประมาทไม่ได้เลย คิดว่ารู้จักหรือไม่มีทางถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ได้ยินแต่ชื่อ แล้วสัมมาคืออะไร สัมพุทธเจ้าคืออะไร ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง และไม่เอาความคิดเก่าๆ มาปะปน เห็นขณะนี้ยังไม่ได้ลุกไปไหนใช่ไหม ดับหรือไม่

    ผู้ฟัง ดับไม่รู้ตัว

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา แล้วคำว่าอัตตาทำไมจึงเป็นอัตตา ขอได้โปรดอธิบายโดยพิศดารด้วย

    ท่านอาจารย์ ทีละคำ เดี๋ยวนี้ มีอะไรหรือไม่ เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แค่นี้ก่อน เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่มี แต่สิ่งที่แม้มีเดี๋ยวนี่ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เคยฟังธรรมมาก่อน ไม่รู้อะไรมีจริงทั้งๆ ที่มีก็ไม่รู้ ถึงอย่างนั้นเลย ความไม่รู้ แต่ถ้าถามว่าขณะนี้เห็นหรือไม่

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ ขณะจิตนี้

    ท่านอาจารย์ เมื่อเห็นมีเกิดขึ้นใช่ไหม ถ้าเกิดเห็นไม่มี จะมีเห็นหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ นี่คือค่อยๆ เข้าใจ ถ้าไม่เกิดเห็น ก็ไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็นหมายความว่าเพราะเห็นเกิดขึ้น จึงมีเห็นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ นั่นคืออนัตตา แต่อัตตาหมายความว่าเป็นตัวตนเป็นเรา เช่นเราเห็น เราคิด เราชอบเราไม่ชอบ เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่าธรรมมีจริงๆ แต่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ใครจะให้ธรรมเกิดได้ ใครจะให้ได้ยินเกิดได้ตามใจชอบ ใครจะให้เห็นเกิดได้ตามใจชอบ ใครจะให้คิดเกิดได้ตามใจชอบไม่มีเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะอุปการะเกื้อกูลสนับสนุน แล้วจะเกิดได้ไหม เช่นเพียงแค่ไม่มีตา เห็นจะเกิดขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า"เห็น" เป็นอนัตตาใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใคร ต้องมีปัจจัยที่เหมาะสมควรที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้น เห็นจึงจะเกิดได้ ไม่มีใครไปบันดาลได้เลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งหมดเดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ ใครทำให้เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี แต่มีปัจจัยที่เหมาะสม ที่จะให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้นด้วย ไม่เป็นอย่างอื่นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ นั่นคือความหมายของอนัตตา ตรงกันข้ามกับคำว่าอัตตา อัตตาคือสำคัญว่ามีตัวตน เป็นตัวตน เป็นเราเห็น เป็นเราได้ยิน แต่ความจริง ถ้าเห็นไม่เกิดจะเป็นเราเห็นได้อย่างไร ถ้าได้ยินไม่มีเลย ก็จะเป็นเราได้ยินได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ความจริงว่าเห็นเกิดขึ้น เห็นแล้วดับไป ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่มีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดเห็นจึงเกิดได้แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นทำอะไร เกิดขึ้นเห็นแค่นั้นแล้วก็ดับไป

    ขณะที่ได้ยินถ้าไม่มีปัจจัย ไม่มีหู รูปพิเศษที่กลางหู ที่สามารถกระทบเสียง อ่อนแข็งนี่กระทบเสียงไม่ได้เลย ที่ตัวนี้ทั้งหมดจะมีรูปพิเศษอยู่ ๕ รูป ทางตามองไม่เห็นเลยแต่อยู่กลางตา กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น โดยต้องมีกรรมเป็นปัจจัยด้วย จึงจะมีจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น เพราะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น โดยสภาพแล้วที่น่าพอใจก็มี ที่ไม่น่าพอใจก็มี เลือกไม่ได้เลย แล้วแต่ขณะนั้นเป็นปัจจัยของกรรมใด ที่จะเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นแล้วดับ นี่คือผลของกรรม

    เพราะฉะนั้นกรรมที่แต่ละคนกระทำแล้ว ชาตินี้ชาติไหนเมื่อใดก็ตามแต่ เป็นเหตุพร้อมที่จะให้ผลเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่สุกงอม พร้อมที่จะให้เกิดผล เพราะฉะนั้นขณะนี้ เห็นเป็นผลของกรรม ถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำแล้ว เห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่มากมายเหลือเกิน กรรมนับไม่ถ้วน ในแสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลของกรรมอะไร แต่รู้ว่าไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย นอกจากจิตซึ่งกระทำกรรม เป็นปัจจัยให้แม้ดับไปแล้ว ก็ทำให้เกิดผลคือต้องเห็น ขณะใดที่เห็นเป็นการรับผลของกรรม หรือจะกล่าวว่าเป็นผลของกรรมนั้นเอง เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำให้ได้ใช่ไหม เจ็บไข้ได้ป่วย ใครทำ

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เป็นกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดกายปสาทรูปซึมซาบอยู่ทั่วตัว เมื่อกระทบแข็งก็รู้สึกว่าสิ่งนั้นแข็ง เมื่อกระทบเย็นก็รู้สึกว่าสิ่งนั้นเย็น ถ้าเย็นมาก แข็งมาก เจ็บไหม นี่คือธรรมสิ่งที่มีจริง และเป็นอนัตตา ตั้งต้นด้วยการเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งมีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี มีจริงเมื่อใด เมื่อเกิดขึ้น แต่จะเกิดเองไม่ได้ ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เกิดแล้วก็คงอยู่ไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปโดยไม่รู้เลย ตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ขณะนี้ แม้เมื่อเช้านี้ก็ดับหมด เมื่อกี้นี้ก็ดับหมดแล้วก็ไม่รู้ เพราะอะไร เพราะมีสิ่งที่เกิดสืบต่อไม่สิ้นสุด เร็วสุดที่จะประมาณได้จิตขณะหนึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นดับไปเร็วแค่ไหน และการดับไปของจิตนั้นหนึ่งขณะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย แล้วใครจะรู้ เพราะว่ามองไม่เห็น แต่เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้ และก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่อเลยก็มีใช่ไหม เห็นก็เกิดแล้วดับแล้ว ได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับแล้ว ไม่ต้องเรียกว่าได้ยิน ไม่ทันจะเรียก ได้ยินก็เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง ทั่วทั้งจักรวาล จะกี่โลกก็ตาม ถ้าจะแบ่งประเภทเป็นประเภทใหญ่ๆ ของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือสิ่งนั้นเกิดแต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่สามารถจะเห็น จะได้ยิน จะเจ็บ จะคิด จะนึกอะไรเลย เช่นแข็ง เกิดขึ้นเป็นแข็งแล้วก็ดับไม่รู้อะไรเลย สภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิด เกิดเองไม่ได้ ใครจะไปทำให้เกิดก็ไม่ได้ นี่คืออนัตตา เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไปอย่างเร็วมาก แต่ไม่รู้อะไรเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ ใช้คำว่ารูป หรือรูปธรรม คือธรรมนั้นเป็นรูปธรรมไม่รู้อะไร แต่ถ้ามีแต่รูปธรรมเท่านั้น ไม่มีนามธรรมเลย ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีอะไรเลย จะเดือดร้อนหรือไม่ รูปก็เกิดไป แต่ว่าใครก็บังคับไม่ให้ธาตุอีกชนิดหนึ่งเกิดไม่ได้เลย เป็นธาตุรู้ต่างกับธาตุซึ่งไม่รู้ ธาตุรู้เกิดขึ้นเมื่อใดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วธาตุรู้ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดด้วย ธาตุรู้แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง มีปัจจัยเฉพาะธาตุนั้นๆ ที่จะเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นสิ่งนั้นๆ แล้วก็ดับไป นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็พอจะไปได้นิดๆ

    ท่านอาจารย์ ทรงรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ แต่คนอื่นไม่รู้เป็นสิ่งที่ยากไหม ที่จะรู้อย่างนั้นได้

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ได้ด้วยการบำเพ็ญความดีนานเท่าไหร่ กว่าจะถึงการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรู้ความจริงของทุกอย่าง ไม่เว้นเลยสักอย่างที่มีจริงๆ ที่ปรากฏโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ไม่ใช่บอกง่ายๆ ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่พอแก่การที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงของสิ่งที่มี ที่ได้ตรัสแล้วโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่อให้คนที่ได้ยินได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะได้รู้ความจริงอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยจึงมี ๓ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ พระพุทธรัตนะ ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ทรงบำเพ็ญความเพียรเป็นโพธิสัตว์ โพธิคือปัญญา "สัตตะ" คือผู้ที่ข้องอยู่ในปัญญาที่จะรู้ความจริง ตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ตรัสรู้ความจริง แต่เริ่มมีการข้องในการที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งที่มีไม่เที่ยงเลย เกิดแล้วก็ตายกันทุกคน แล้วละเอียดยิ่งกว่านั้น ก็คือว่าเห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยิน ก็ไม่มีขณะที่เห็น เพราะฉะนั้นต้องมีความจริงที่ลึกซึ้งยิ่ง ที่สามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ได้ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเลวทราม ด้วยความชั่วร้ายต่างๆ แล้วสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นก็รู้ว่าหนทางที่จะตรัสรู้ต้องด้วยคุณความดีทั้งปวง ซึ่งคือบารมี ๑๐ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากว่าจะได้บำเพ็ญบารมี จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ต้องเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งแค่ไหน

    มีคำอุปมาข้อความในอรรถกถาว่า แม้ว่าท้องจักรวาลทั้งหมดจะเป็นเปลวเพลิงที่ไหม้ ผู้นั้นมีศรัทธาที่จะข้ามทะเลเปลวเพลิงนั้นไปหรือไม่เพื่อที่จะรู้ความจริง จนถึงการที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่หวั่นไหวเลย ในเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงวันหนึ่งต้องรู้ได้ นี่คือพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นสาวกโพธิสัตว์ คือผู้ที่ได้ฟังความจริงข้องอยู่เห็นประโยชน์ ของการที่เกิดมาแล้วเกิดมาเล่า แล้วก็ไม่รู้ความจริงเลย แต่เมื่อสามารถจะรู้ได้ ได้ยินคำที่จริงได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ ก็บำเพ็ญบารมี เพื่อจะได้รู้ความจริงในฐานะของสาวก ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ คือพระมหาสัตว์ ที่บำเพ็ญพระบารมี เพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม จึงมีธรรมรัตนะ มิฉะนั้นแล้วตรัสรู้ด้วยพระองค์เองไม่บอกใครเลย ไม่ทรงแสดงความจริงเลย แล้วใครจะรู้ได้ แต่ได้เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าสัตว์โลกไม่รู้ พระโพธิสัตว์รู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ ถ้าไม่มีการบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง

    เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงแสดงธรรมซึ่งเป็นธัมมรัตนะ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็แสดงหนทางที่พระองค์ ได้บำเพ็ญได้อบรม ให้คนอื่นได้เข้าใจถูก จนกระทั่งอบรมเจริญปัญญา สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจ อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ โดยฐานะของการเป็นสาวก เป็นอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยจึงพร้อมด้วย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ

    ถึงความเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก หรือของผู้ที่ได้ฟังหรือยัง ที่จะไม่ฟังคำของคนอื่น ไม่ว่าเขาเป็นใคร แต่คำจริงทุกคำพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่ว่าใครจะพูดก็ตาม เป็นคำของพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสแต่คำจริง ซึ่งคนอื่นได้ฟังแล้วเกิดความเห็นที่ถูกต้อง ก็มีคำจริงซึ่งทั้งหมดก็โดยอาศัยพระธรรม ที่ได้ทรงแสดงแล้ว ว่าธรรมเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงแล้วก็เป็นอนัตตาด้วยไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่เราเกิดมา ไม่ใช่เราตายไป ไม่ใช่เราคิด ไม่ใช่เขาดี เขาชั่ว แต่เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีสัตว์บุคคลเลย แต่ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้น ก็จะมีการยึดถือสภาพนั้นว่า เป็นเรา เป็นเขา เพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ถ้ารู้เมื่อไหร่ก็จะรู้ในความเป็นธาตุ ในความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นแม้แต่คำธรรมก็ต้องรู้ว่าคืออะไร แม้แต่อนัตตาก็คือว่าธรรมเป็นอนัตตา ถ้าไม่มีธรรม อะไรจะเป็นอนัตตาได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมไม่เผิน ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้ในคำที่ได้ยินแต่ละคำ อย่าเพิ่งรีบด่วนไปคิดว่าเข้าใจแล้ว เพราะเหตุว่าความจริง ความเข้าใจมีหลายระดับ ระดับที่ได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจ แม้คำเดียวก็เป็นการรอบรู้ในคำนั้น แต่ต้องเข้าใจจริงๆ การฟังธรรมทุกครั้งควรจะเป็นประโยชน์ที่ว่า ไม่ใช่ฟังแล้วลืม หรือฟังแล้วไม่ไตร่ตรองหรือว่าเพียงฟังก็ ฟังแล้วเท่านั้นเอง ไม่ได้ แต่ว่าความเข้าใจจากการฟัง คงจะต้องไม่ลืมไตร่ตรอง และก็เข้าใจเพิ่มขึ้น จึงจะเป็นประโยชน์ นี่อะไร

    ผู้ฟัง ถ้ามองตามความเป็นจริง ก็เราพูดกันว่าดอกไม้

    ท่านอาจารย์ นี่คือดอกไม้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นอัตตาแล้ว

    ผู้ฟัง ถ้าพูดตามความเป็นจริง ยังไม่เห็นอัตตา

    ท่านอาจารย์ ดอกไม้ เป็น อัตตา เห็นไหมว่าเราไม่เข้าใจความต่างของอัตตา และอนัตตา ถ้าอัตตาคือเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างนี้เป็นคน แล้วอย่างนี้เป็นอะไร เป็นดอกไม้ต่างกันไหม แค่เห็น เป็นแล้ว ใช่ไหม รูปร่างสัณฐานอย่างนี้เป็นดอกไม้ รูปร่างสัณฐานอย่างนี้เป็นคน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    2 พ.ค. 2567