ปกิณณกธรรม ตอนที่ 767


    ตอนที่ ๗๖๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ รูปร่างสัณฐานอย่างนี้เป็นดอกไม้ รูปร่างสัณฐานอย่างนี้เป็นคน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของอัตตานานเท่าไรเพราะไม่รู้ความจริงแม้แต่คำว่าอัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าตรงนี้เป็นสักกายะ ของเรา แต่นี่ของเราหรือเปล่า หรือตัวเราหรือเปล่า ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่อนัตตาใช่ไหม แต่ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้องทั้งหมดเป็นอนัตตา เพราะเริ่มเข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน นี่ก็เห็นได้ นี่ก็เห็นได้ นี่ก็เห็นได้ ทุกอย่างเห็นได้ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริงๆ เหมือนกันหมด เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ อายุ๑๗ ขณะจิต เท่ากันหมดเลย รูปที่มีจริงแล้ว ๑๗ ขณะจิตเร็วแค่ไหน ระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน จิตเกิดดับเกิน๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปที่ปรากฏให้เห็นดับ จิตเห็นจริงๆ เห็นหนึ่งขณะ แต่เหมือนกับว่ามีแต่เห็น ไม่มีจิตอื่นเกิดคั่น กับการที่รู้ว่านี่เป็นดอกไม้ นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นความเร็วอย่างยิ่งของการเกิดดับ เพราะต้องมีการเกิดดับมากมายหลายวาระเท่าไหร่ กว่าที่จะรู้ว่านี้สีอะไร กลีบอย่างไร และก็เป็นดอกอะไร จำได้ทันที

    เพราะฉะนั้นจึงมีคำที่ตรัสไว้ว่า สภาพธรรมเกิดปรากฏเสมือนพร้อมกับนิมิต นิมิตคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นรูปร่างสัณฐาน เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ของจิต และสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเป็นอีกโลกหนึ่ง โลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริง ที่ทรงแสดงธรรมแก่ชาวโลก เปรียบเหมือนใบไม้ ๒-๓ใบในฝ่าพระหัตถ์ฝ่ามือ แต่พระปัญญาคุณเหมือนใบไม้ในป่า

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมีค่ามหาศาลแค่ไหน จากการไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เกิดมาแล้วกี่ชาติแสนโกฏิกัปป์ และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ในเมื่อตราบใดที่ยังมีเหตุที่จะต้องให้เกิด ก็ต้องเกิดเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เกิดแล้วก็ตาย ชาตินี้เป็นอย่างไร สุขมากเท่าไหร่ เป็นนักเรียนนักศึกษา เล่นกีฬา ทำอะไรไปเที่ยว เพลิดเพลิน เหลืออะไร เหมือนชาติก่อน ชาติก่อนนี่อายุสั้นอายุยืนมากน้อยเท่าไร ประสบเหตุการณ์สนุกสนาน เดือดร้อนมากเท่าไหร่ จำไม่ได้เลย หมดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นชาตินี้คือชาติก่อนของชาติหน้าเนี่ย แน่นอนที่สุดทุกอย่างที่มีในชาตินี้ก็หมด ไม่เหลือ แล้วก็เปลี่ยนใหม่หมดเลย เหมือนย้ายบ้าน บ้านใหม่ ถนนใหม่สิ่งของในบ้านใหม่ทุกอย่างใหม่ แต่ว่าใหม่กว่าบ้านใหม่ เพราะบ้านใหม่ก็ยังเป็นบ้านในโลกนี้ที่ยังจำได้ใช่ไหม แต่ถ้าเกิดอีกภพหนึ่งภูมิหนึ่งก็จะไม่เหลือความจำในชาติก่อนเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไร ลองคิดถึงประโยชน์จริงๆ ของการเกิดมา เพียงแค่เห็น ได้ยินสนุกสนาน สุขทุกข์เดือดร้อน ขวนขวายไปวันๆ หนึ่ง แล้วก็ลืมหมดจำไม่ได้เลย นี่คืออัตตา เป็นเรายังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เข้าใจได้ไหมถึงพระพุทธรัตน ปัญญาที่กว่าจะได้ยินได้ฟังพระธรรม กว่าจะค่อยๆ เข้าใจกว่าจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนกระทั่งสิ่งที่ได้ยินได้ฟังขณะนี้เป็นจริงอย่างที่ได้ฟังทุกอย่าง คือสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่เกิดสิ่งนั้นดับ แต่ปรากฏเสมือนพร้อมกันกับนิมิตที่ชาวโลกเห็น และก็รู้ได้ทันทีว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร นี่คือการที่จะแสดงให้เห็นว่า การศึกษาธรรมเป็นโอกาสที่ได้สะสมบุญ ที่จะเห็นประโยชน์ว่าปัญญาประเสริฐสุด ของการเกิดมา เพราะเหตุว่าทรัพย์สินเงินทอง ก็ติดตามไปไม่ได้ ร่างกายนี้ของเราหรือ ถ้าไม่มีจิตเกิดเป็นอย่างไร ทำอะไรได้ไหม พูดได้ไหม เดินได้ไหม ทำอะไรก็ไม่ได้เลย หวงแหนรักใคร่มากมาย ทะนุบำรุงรักษาอย่างดี แล้วเมื่อไม่มีจิตเกิด ขายก็ไม่ได้ เป็ดไก่ขายได้ แต่ว่าร่างกายมนุษย์ไม่มีใครที่จะต้องการเลยทั้งสิ้น แต่เดี๋ยวนี้เป็นของเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราก็คิดดูว่า กว่าจะหมดความติดข้อง เพราะรู้ความจริงว่าเป็นอนัตตา ไม่มีเรา ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง มีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ใช่คิดเองหรือเอาความคิดของเรามา เมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ ไปนั่งอบรมไปนั่งปฏิบัติ ไปนั่งทำอะไร แต่ไม่ได้เข้าใจ เพราะเหตุว่าไม่ได้อาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นพระธรรมแต่ละคำเป็นคำจริง เมื่อเข้าใจก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น กว่าจะคลายการยึดถือ การที่ไม่เคยรู้ว่าไม่ใช่เรา ในขั้นของการฟัง ก็ยังยากรายละเอียดมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปถึงขั้นจะไปปฏิบัติอะไร เพื่อที่จะให้รู้ความจริง เพราะตราบใดที่ปัญญาขั้นฟังยังไม่พอ ยังไม่เป็นสัจจญาณที่มั่นคงจริงๆ ในวาจาสัจจะ ตราบนั้นจะไม่มีปัจจัยที่สามารถจะทำให้เข้าถึงการเริ่มเข้าใจลักษณะ ของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริงตรงที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นก็อดทนต่อไป เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา แต่ขณะนี้เป็นสภาพธรรมทั้งหมด ความเพียร วิริยเจตสิก ขันติ ทุกอย่างที่เราเข้าใจว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่า นี่อัตตา เป็นอะไรขึ้นมานั่นก็คืออัตตา เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นอัตตา นี่ก็เป็นอัตตา แต่ตรงนี้สำหรับคนที่ยึดถือก็เป็นสักกายของเรา เพราะฉะนั้นจะมีคำว่าอัตตานุทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ เหมือนกัน เพียงแต่ว่าสักกายะยึดถือว่าเป็นเรา

    ผู้ฟัง เกิดเป็นมนุษย์ก็ยังต้องหาเงินทอง แล้วการที่จะอยู่อย่างงูกับกระต่ายคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจทุกคำที่ได้ฟังแล้วว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัย เป็นสิ่งที่มีชีวิต ต้องเกิดจาก กรรมคือการกระทำที่ได้กระทำไว้แล้วมีทั้งกุศลกรรม กรรมดีซึ่งก็ต้องให้ผลดี คือเกิดดี แล้วก็เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดี เพราะเกิดมาทุกชาติก็เห็น ก็ได้ยิน และก็ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เลือกไม่ได้ จะทุกข์กายสุขกายวันไหนอย่างไร จะเห็นอะไรที่น่าพอใจ ไม่พอใจ ไม่มีใครเลือกได้สักคนเดียว ประการนี้ต้องเข้าใจก่อน

    เพราะฉะนั้นการเกิด ก็เกิดหลากหลายมากเกิดเป็นคน มีทั้งมั่งมีเพียบพร้อมด้วยสิ่งที่น่าพอใจ ทั้งบ้านที่อยู่อาศัย เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ทรัพย์สินเงินทอง มาจากไหน ทุกคนก็อยากเป็นอย่างนี้ แต่บางคนก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ที่ทุกลำบากสาหัสก็มี บ้านก็ไม่มี อาหารก็ไม่มี ที่อยู่ที่อาศัยอะไรก็ไม่มี วันก่อนก็ดูรายการโทรทัศน์ที่เขาไปสัมภาษณ์เด็กจรจัด เด็กคนนี้ทั้งๆ ที่เป็นเด็กจรจัด ก็ยังมีเสื้อผ้าใส่ แสดงให้เห็นว่าอย่างไร อย่างน้อยเกิดมามีเสื้อผ้าทุกคนก็เห็นนุ่งห่มกันตามปกติ แต่สิ่งที่จะได้พบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายก็น้อยกว่ากัน มากกว่ากัน แล้วแต่ขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น นี่ก็คือคนซึ่งหลากหลาย หลากหลายไปจนกระทั่งถึงชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นปลาในน้ำ ก็มีเป็นลิง เป็นงู เป็นนก เป็นกบได้หมด ใครทำ รูปร่างหลากหลายมากแม้ว่าจะเกิดเหมือนกันก็ต่างกัน คนก็เป็นคนด้วยกัน แต่หน้าตาต่างกันผิวพรรณต่างกัน ตาก็มีตั้งหลายสี สีดำก็มี สีเทาก็มี สีฟ้าก็มี ใครทำ

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ก็คือว่าไม่มีใครทำได้ แต่ว่ามีการกระทำ คือกรรม ความจงใจ ความตั้งใจ ที่เกิดแล้วทำแล้ว เป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง แม้ดับไปแล้วก็ทำให้เกิดรูป แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเปรต เกิดในนรก หรือว่าเกิดเป็นเทพหลากหลายมาก แต่เราก็คิดแต่เฉพาะมนุษย์กับสัตว์ เช่นสัตว์ไม่มีเงินก็อยู่ได้ ใช่ไหม แล้วลองคิดถึงมนุษย์ เกิดแล้วตายได้ไหม ถ้าไม่อยากตาย ก็ต้องอยู่ ไม่มีทางที่จะตายได้เลย แต่ทั้งๆ ที่อยากอยู่ไม่อยากตายเลยก็ตายเมื่อถึงเวลาที่ต้องตาย เพราะฉะนั้นทุกอย่าง แม้เกิดแม้ตาย ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ไม่ต้องกล่าวถึงเห็นได้ยินเป็นต้น

    เพราะฉะนั้นคนเกิดมาแล้ว ต้องต่างกับสัตว์ เพราะเหตุว่าสัตว์อยู่ได้ไม่มีเงินไม่มีบ้าน ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ไม่ต้องทำอาหาร แต่สัตว์ก็มีชีวิตตามแบบ ที่จะต้องอยู่อย่างนั้นจนกว่าสิ้นสุดกรรม ที่ทำให้เป็นสัตว์แต่ละประเภทฉันใด มนุษย์เกิดมาแล้วไม่ว่าจะยากไร้สักเท่าไหร่ ก็ต้องอยู่ ถ้ากรรมยังไม่สิ้นสุด ยังจากโลกนี้ไปไม่ได้ แต่ว่าจะอยู่อย่างไร เราคิดถึงเงินว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในความคิดของเรา แต่ถ้าเข้าใจว่าอะไรเป็นเหตุที่จะให้ได้มา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดีๆ เพราะมีเงินที่จะได้มา แต่ถึงไม่มีเงินก็ต้องอยู่ไป แต่จะอยู่อย่างยากไร้เพียงไรก็แล้วแต่

    ข้อความในพระไตรปิฎกกล่าวถึงขอทานโรคเรื้อน ไม่ใช่เป็นแต่เพียงขอทาน ลองคิดว่าขอทานมีเงินไหม แต่ตายได้ไหม ต้องอยู่ตามบุญตามกรรม ไม่มีทางที่จะตายไปเลย แต่เด็กเกิดมาอาจจะเป็นลูกเศรษฐี เพียงแค่ ๓ วันตายได้ไหม เมื่อกรรมสิ้นสุดที่จะไม่ให้เป็นคนนั้นอีกต่อไป เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เกิดแล้วจะยากดีมีจนก็ต้องอยู่ตามบุญตามกรรม ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ไม่ต้องคำนึงถึงยากดีมีจน แต่ก็ต้องอยู่ไปจนกว่าจะสิ้นกรรม ที่ทำให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน

    เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงคนในโลกนี้ เกิดมาแล้วเป็นคนยากไร้มาก ทุกคนก็อยากจะมีสิ่งที่น่าพอใจ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ และลองคิดว่าจะได้มาอย่างไร บางคนมีการอาชีพ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้มั่งมี แต่ถูกรางวัลสลากกินแบ่ง ๔๐ ล้าน อาจจะถึง ๗๐ ล้าน ๘๐ ล้าน มาจากไหน แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลานั้นก็ไม่มีทางที่จะได้สิ่งต่างๆ ที่ตนเองปรารถนาเป็นสิ่งที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้ความจริงก็คือว่า ต้องมีเหตุปัจจัยที่เมื่อสิ่งที่มีชีวิตเกิดมา เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ กันแล้ว ต้องเป็นไปตามบุญกรรมแน่นอน เพราะฉะนั้นเท่าที่ดู ก็เห็นว่าแม้แต่เป็นคนจนมากในพระไตรปิฎก ขอทานจะกินข้าวก็ต้องไปหาเศษอาหาร อาจจะอยู่ในน้ำก็ไปเลือกมา กว่าจะได้แต่ละมื้อ จนไหม ลำบากไหม แต่ก็ต้องอยู่ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าคิดถึงเหตุที่ทำให้เกิดต่างกัน และก็รู้ว่าแม้เป็นมนุษย์ทุกคน ก็อยากจะมั่งมีศรีสุข มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ แต่จะมีหรือไม่มี ใครบันดาลได้ ถึงได้มาเป็น๑๐ล้านบางคนก็หมดเลย เพราะเหตุว่าเพื่อนฝูงบ้างอะไรบ้างหลายๆ อย่าง ก็ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นก็กลับเป็นเหมือนเดิม

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ทราบเหตุที่จะทำให้เป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดในสวรรค์ไม่ต้องคิดถึง เรื่องคนจนคนรวยเลย ขอทานก็ไม่มีบนสวรรค์ มีสมบัติทิพย์ของตน ตามกำลังที่ได้ทำแล้ว มีรัศมีรุ่งเรือง มีเพชรนิลจินดาต่างๆ ได้มาอยางไร พร้อมเกิด ก็แสดงให้เห็นถึงกรรมที่จะทำให้เกิดต่างกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตต่างกัน ด้วยเหตุที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่สะสมมา เราจะไม่รู้ถึงอดีตกรรมที่ได้ทำมาแล้ว ชาตินี้อาจจะเกิดเป็นคนสวย มีเงิน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แสนสุขแสนสบาย แล้วชาติหน้าไปไหน ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าใครจะรู้ถึงกรรมที่ได้ทำแล้ว แต่ชาตินี้เราสามารถที่จะรู้เรื่องกรรมที่ตนเองได้กระทำ แต่ว่าเลือกไม่ได้เลยว่ากรรมไหนจะให้ผล ถ้าเป็นกรรมที่กำลังฟังธรรมขณะนี้แล้วเข้าใจเกิดดีแน่ แล้วก็มีสติปัญญาด้วย เพราะว่ามีความเข้าใจสะสมมาแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคน ให้ทราบทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่หมายความว่าจะต้องเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานอยู่อย่างสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ก็อยู่อย่างมนุษย์ เทวดาเทพก็อยู่อย่างเทพ สัตว์ในนรกก็อยู่อย่างสัตว์ในนรก แต่มนุษย์ขวนขวายแสวงหา สิ่งที่ต้องการ แต่ว่าจะได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่เหตุที่ได้กระทำไว้

    เพราะฉะนั้นบางคนจะเห็นได้ ร้านอาหารสองร้านอยู่ติดกันเลย ร้านหนึ่งมีคนเข้าอีกร้านหนึ่งไม่มีเลย และบางคนเขาก็เห็นตรงนี้เป็นทำเลที่ดีก็ทำบ้าง แต่ก็ไม่เหมือนคนที่ทำอยู่แล้ว นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเข้าใจถึงแม้หนึ่งขณะจิตที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุที่ละเอียดมาก ขณะนี้ตาดี อยู่ดีๆ ก็เกิดตาบอด หรือว่าต้องรักษาด้วยราคาที่แพงมาก ต้องฉีดยาถึงเข็มละ ๗๐,๐๐๐บาท เพื่อที่จะรักษาตา แต่ก็ต้องเจ็บมาก ทรมานมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะมองเห็น หรือจะมองไม่เห็น ถึงเป็นเศรษฐีมั่งมีก็ตามแต่ แต่ก็ไม่พ้นกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้นเหตุสำคัญกว่า เพราะเหตุว่าแม้แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วมีจริง แต่ต้องพร้อมด้วยฐานะ สิ่งที่สามารถที่จะเป็นเหตุให้กรรมนั้นให้ผลได้ เช่น ต้องเกิดเป็นคนไม่พิการ ต่างกันแล้วใช่ไหม คนพิการจะศึกษาให้เท่ากับคนที่ไม่พิการ มีการงานอาชีพก็เป็นไปไม่ได้

    การที่มีรูปร่างสวย กับการที่มีรูปร่างไม่สวย ก็ให้ผลต่างกัน ไม่อย่างนั้นไม่มีนางงามจักรวาล ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไร แต่เพราะเห็นว่ารูปร่าง อุปธิ การเกิดขึ้นมาทำให้พิเศษกว่า ก็เป็นที่นำมาซึ่งกรรมในอดีตที่สามารถจะให้ผล ก็ต้องประกอบด้วยเครื่องประกอบ ที่ท่านใช้คำว่าฐานะที่กรรมที่ได้กระทำแล้วสามารถจะให้ผลได้ ก็ต้องประกอบด้วยกาลสมัย หรือว่าการเกิดขึ้นมาพิการ หรือว่าสวยงามรูปร่างต่างๆ ยังต้องประกอบด้วยความรู้ความสามารถ และยังต้องประกอบด้วยความเพียรที่สมควร ไม่ใช่เกิดมาแล้วไม่ทำอะไรเลย ตั้งหลายคนในครั้งอดีต ครั้งสมัยพุทธกาล ลูกเศรษฐี ภายหลังก็เป็นขอทาน ภายหลังก็ถูกประหารชีวิต นี่ก็แล้วแต่กรรมจริงๆ

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์โลก ภพไหน ภูมิไหน แล้วแต่กำเนิดซึ่งเป็นไปตามกรรม ก็อยู่กันตามฐานะ จะตัดเสื้อสวยๆ ไปให้งูใส่ไหม งูก็ไม่ต้องการเลย สักนิดเดียวใช่ไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเกิดมาอย่างไร ก็เป็นไปตามฐานะ แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ สามารถที่จะได้ฟังธรรมได้เข้าใจธรรม ได้ประกอบการอาชีพ เพราะฉะนั้นก็เป็นฐานะที่จะทำให้กรรมในอดีตที่ได้กระทำแล้วสามารถให้ผลได้

    ผู้ฟัง สืบเนื่องจากที่ท่านอาจารย์พูด ทำให้ดิฉันนึกเรื่องที่ท่านกล่าวว่าชีวิตนี้ไม่มีนิมิต ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ ทั้งน้อยทั้งฝืดเคืองทั้งเป็นทุกข์ ขอความกรุณาท่านอธิบาย

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจคำว่านิมิตด้วย คืออะไร ก่อนศึกษาธรรมก็ได้ยิน และเข้าใจว่านิมิตคืออะไร พอศึกษาแล้วก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ตามที่ผู้มีพระภาคทรงแสดง ความลึกซึ้งของธรรม นิมิตคืออะไร เพราะฉะนั้นก่อนศึกษา เคยได้ยินคำว่านิมิต หมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง คำว่านิมิต ฟังดูเหมือนกับจะรู้จัก แต่จริงๆ ไม่รู้จัก เพราะเหตุว่า ก็ช่วงแรกๆ เขาบอกว่ามีนิมิต คล้ายกับว่าเป็นเครื่องบอกเหตุล่วงหน้า ต่อมาไปฝึกสมาธิ ก็บอกว่าท่านได้นิมิต ก็เลยยิ่งไม่เข้าใจกันใหญ่ ตอนนี้คิดในใจว่า น่าจะมีคำบาลีอีกมาก ที่เรามาแปลเอง แล้วมาพูดกัน แล้วก็ทำให้เข้าใจฟั่นเฝือ

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องพูดถึงแต่ละคำที่ได้ยิน เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้องมิฉะนั้นเราก็คิดเอง เข้าใจเอง ซึ่งไม่ตรง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คือความจริงของสิ่งที่มี เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟัง มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกตามปกติด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไปนั่งอย่างนั้น แล้วเห็นอย่างนั้น เห็นอะไร ใช้คำว่าเห็นนิมิตใช่ไหม จริงหรือเปล่า กับเห็นเดี๋ยวนี้ อะไรจริง แล้วอยากจะไปเห็นสิ่งที่เป็นนิมิต แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้เห็นในขณะนี้ เพราะฉะนั้นการเป็นผู้รู้ เป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่รู้จักเหตุกับผล จะได้สาระจากพระธรรม ไม่ใช่ตื่นเต้นกับเรื่องราวหรือคำที่ไม่รู้จักเช่นคำว่า นิมิต

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น ถูกต้องไหม แต่ว่าเกิดแล้วดับ ไม่มีการรู้สิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้ เพราะว่าเกิดดับเร็วมาก จนปรากฏเหมือนเกิดพร้อมกับนิมิต คือรูปร่างสัณฐานต่างๆ ไม่ว่าจะใช้คำว่านิมิตในความหมายใดทั้งสิ้น ก็ต้องหมายความถึงสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นทันทีที่เห็นก็เป็นคน นั่นคือนิมิตของสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเกิดดับโดยไม่ได้มีการเข้าใจถูกต้องเลยว่าสิ่งนั้นไม่มีแล้ว แต่เกิดดับจนปรากฏเหมือนว่าเป็นรูปร่างอย่างหนึ่งอย่างใด เช่นจุดก้านธูป ดอกหนึ่ง แค่หนึ่ง ไม่ต้องหมุน แต่ถ้าหมุนเมื่อไหร่ให้เป็นวงกลม แทนที่จะเห็นเพียงหนึ่งจุด ก็จะเห็นเป็นแสงสว่างเป็นวงกลม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ก็มีก้านธูปเพียงดอกเดียวที่มีไฟฉันใด ถ้าจิตเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏเพียงอย่างเดียว จะไม่เป็นนิมิต แต่ว่าถ้าปรากฏสืบต่อมากๆ อย่างเร็วมาก ก็ปรากฏเสมือนว่าจิตเกิดพร้อมกับนิมิตที่ปรากฏให้เห็น

    เดี๋ยวนี้กำลังนั่งอย่างนี้ รู้ว่าเป็นคน นิมิตของรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็ว จนปรากฏให้เห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นว่าเป็นโต๊ะ ก็เป็นการเกิดดับของสิ่งที่ปรากฏสืบต่อเร็ว แล้วก็ปรากฏรูปร่างสัณฐาน เป็นอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นโต๊ะ ถ้าจะเป็นดอกไม้ ก็หมายความว่าต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เกิดดับเร็วมากจนปรากฏเป็นนิมิต เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเดี๋ยวนี้ หรือเมื่อใดก็ตาม สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าปรากฏเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด หมายความว่า ขณะนั้นเป็นนิมิต ของสิ่งซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    3 พ.ค. 2567