ปกิณณกธรรม ตอนที่ 768


    ตอนที่ ๗๖๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเดี๋ยวนี้หรือเมื่อไหร่ก็ตาม สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าปรากฏเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด หมายความว่าขณะนั้นเป็นนิมิตของสิ่งซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นนิมิตจริงๆ ไม่ต้องไปนั่งทำ มีไหม ก็กำลังมีทุกขณะที่มีการเห็น แล้วไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเกิดแล้วดับแล้ว แล้วก็ไม่รู้ความจริง ก็ไปทำให้เกิดนิมิตอะไร ต้องการอะไร จึงไปทำให้เกิดนิมิตอย่างนั้น แล้วไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็เปรียบเทียบได้ คำของใครคนอื่นทั้งหมดที่ไม่พูดถึงสิ่งที่ปรากฏ ให้เข้าใจขึ้น ให้ถูกต้องขึ้น ตามคำที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว คำนั้นๆ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะกล่าว

    เพราะฉะนั้นจะให้ใครไปทำสมาธิ ให้เกิดนิมิต ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจถูกว่าเกิดมาด้วยความไม่รู้นานแสนนาน ที่ยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้การเกิดขึ้น และดับไป หลากหลายมากอย่างรวดเร็ว เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางหู ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อร่างกายกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งปรากฏได้ทีละหนึ่งแล้วดับ เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ปรากฏ ก็รวมกันเป็นนิมิต ทำให้เป็นที่ยินดีที่พอใจที่ต้องการ จนต้องไปทำนิมิต เพราะว่าอยากจะได้ในนิมิต ไปทำสมาธิต่างๆ ให้เกิดนิมิต เพื่อประโยชน์อะไร เพื่อความติดข้อง และไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คำสอนแต่ละคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ที่สามารถจะทำให้รู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะมีแต่ความหลงไม่รู้ความจริง แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

    พอที่จะเข้าใจในนิมิตแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้มีนิมิตไหม ถ้าไม่มีจะรู้ไหมว่านี่คน นั่นดอกไม้ นี่โต๊ะ นั่นเก้าอี้

    ผู้ฟัง ถ้าหากเข้าใจว่าอย่างนี้ได้ไหมว่า ในขณะจิตแรกที่เกิดไม่เป็นนิมิต แต่ถ้าต่อเนื่องสืบเนื่อง จนเราเห็นเป็นรูปร่างสัณฐาน ปรากฏให้เห็นได้นั้น คือนิมิต

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับ ใครจะรู้ได้ รูปเพียงสิ่งที่กระทบตาปรากฏก่อนที่เสียงจะปรากฏด้วยซ้ำไป รูปนั้นดับแล้ว แต่ดูเหมือนไม่เคยดับเลย เพราะฉะนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็ว จึงเหมือนมายากล มายากลนี่เก่งนะคะ หยิบนกออกมาจากหมวก ทำได้อย่างไร แต่ยังช้ากว่าจิต เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวง ถึงที่สุดที่เปลี่ยนอีกไม่ได้เลย นั่นจึงจะเป็นความจริงแท้ๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ยิน ต้องรู้ว่า ผู้พูดน่ะเข้าใจคำว่านิมิตหรือไม่ ถ้ามีคนบอกว่าขณะนี้ไม่มีนิมิต แล้วนี่ใคร แล้วนั่นอะไร เห็นอะไร ถ้าไม่มีนิมิตรูปร่างสัณฐาน แล้วจะรู้ไหมว่าเป็นใคร แม้แต่คนที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็ยังรู้ว่าเป็นแต่ละนิมิต ซึ่งเกิดเพราะธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมหลากหลายซึ่งต่างกัน ตามที่กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น อย่างนี้จึงต้องเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ฟังได้ เพื่อที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน

    เพราะฉะนั้นถ้ามีผู้ที่กล่าวว่า ถ้าไม่ทำสมาธิแล้วไม่เห็นนิมิต พูดถูกหรือเปล่าเพราะไม่รู้จักนิมิต เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ปรากฏโดยการสืบต่อ ไม่ว่าจะขณะนี้ หรือขณะไหนก็ตาม ขณะนั้นเป็นนิมิต

    เคยเสียใจหรือไม่ มากไหม หรือแค่หนึ่งขณะจิต ถ้าหนึ่งขณะจิตนี้ไม่เดือดร้อนเลย ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แค่นั้นนิดเดียวจะเดือดร้อนอะไร แต่เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นความโทมนัส ความเสียใจใหญ่หลวง เป็นนิมิตของโทมนัสเวทนา ความรู้สึกเสียใจเป็นทุกข์เศร้าหมอง เพราะฉะนั้นนั่นก็เป็นนิมิตของความรู้สึก เพราะฉะนั้นให้เข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่ารูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต

    เราได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ ก็คือสภาพธรรมที่มีจริง สภาพธรรมที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียวเป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมมีจริง เป็นรูปธรรม เพราะเสียงรู้ไม่รู้อะไรไม่ได้ แต่ที่เราว่าเราได้ยินเสียงนี้ จิตเกิดดับเท่าไหร่ เป็นนิมิตของเสียง ที่เมื่อวานนี้มีท่านผู้หนึ่ง ที่ท่านก็กล่าวอนุโลม ตามความเข้าใจของท่านว่า ดูเหมือนว่าทางหูจะปรากฏการเกิดดับ ซึ่งทางตาเนี่ยไม่เห็นดับเลย ก็ยังเห็นอยู่ทั้งๆ ที่มีเสียงคั่นอย่างเร็ว แต่ที่เราว่าเสียงยังพอจะปรากฏว่าเกิดดับเร็ว ไม่เท่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขณะที่เสียงเกิดแล้วยังไม่ดับ จะเร็วแค่ไหน มีความติดข้อง และไม่รู้ในเสียงที่ปรากฏนั้น

    เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ใครจะสามารถฟังพระธรรมเผินๆ แล้วเข้าใจสภาพธรรมตามที่ผู้มีพระภาคทรงประจักษ์ และทรงแสดง ว่าที่เราเข้าใจว่าเสียงขณะนี้เกิดดับ แต่เราได้ยินเหมือนได้ยินคำใช่ไหม ได้ยินแม้แต่คำว่าเสียง รู้ละ ว่าหมายความถึงอะไร ได้ยินคำว่ากลิ่น แค่เสียงที่พูดว่ากลิ่น ก็รู้แล้วว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไร เพราะฉะนั้น เหมือนได้ยินความหมายของคำ แต่กว่าเสียงนั้นซึ่งเกิดแล้วดับหลายขณะ จึงมีสภาพที่รู้ความหมายของเสียง ไม่ใช่ทันทีที่ได้ยินก็ได้ยินคำหนึ่ง นี้ก็แสดงความเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้นไม่ว่ายุคใดสมัยใดที่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่อันตรธานหมายความว่าหมดสิ้นไป จากความเข้าใจ ตราบนั้นพระศาสนาคำสอนของพระองค์ก็ยังดำรงอยู่ แต่ขณะใดก็ตามที่ไม่มีใครเข้าใจคำสอน แม้ว่าจะมีตำรับตำรา มีตัวหนังสือ พยายามกันไปจารึก เก็บไว้ในที่ที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด ที่จะอยู่ได้อีกหลายพันปี แต่ไม่รู้ว่าคำนั้นหมายความว่าอะไร พระศาสนาก็อันตรธานจากผู้นั้น เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรม ก็ชื่อว่าผู้นั้นไม่ได้นับถือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่เข้าใจคำสอน เพราะไม่ได้ศึกษาเพราะไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นคำสอนก็อันตรธานจากผู้นั้น แต่ละหนึ่งไปจนกว่าจะหมด ไม่มีใครที่สามารถจะเข้าใจคำสอนอีกได้เลย พระศาสนาก็อันตรธาน

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องรู้ว่า ฟังคำพูดของใคร ใครพูดไม่สำคัญเลย คำจริงที่ทำให้เข้าใจความจริงทุกคำ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นใครจะพูดก็ไม่สำคัญ แต่คำใดก็ตามที่ไม่ทำให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีถูกต้อง ไม่ว่าใครจะพูดก็ตาม คนนั้นไม่ได้พูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นคำของตนเอง แล้วลองเทียบดู ใครจะสามารถพูดคำจริงที่ถูกต้อง เช่นที่พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว ก็ต้องเป็นความคิดผิดของคนนั้นเอง เพราะฉะนั้นก็ฟังคำใด ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นคำของผู้พูด

    แต่ละคำต้องละเอียด เดี๋ยวนี้มีนิมิตไหมขณะนี้ ฟังแล้วรู้เลย มีแน่ๆ ทางตาก็มีเกิดดับเร็ว สิ่งที่ปรากฏก็เกิดดับ จนปรากฏเป็นรูปร่างสันฐาน แม้แต่แต่ละคำที่ได้ยินเสียงก็ไม่ใช่การที่เข้าใจแต่ละคำของเสียง แต่ละภาษาด้วย ก็เสียงนั่นแหละ แต่ว่าพูดเสียงเดียวกัน แต่อาจจะมีความหมายต่างกันในแต่ละภาษาได้ เพราะฉะนั้นเสียงเป็นเสียง ความคิดถึงเสียงสูงต่ำ และจำได้ ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นทันทีที่ได้ยิน ก็เหมือนได้ยินคำ ซึ่งเป็นนิมิตของเสียง

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมด รูป เกิดดับ ก็เห็นเป็นดอกไม้ เห็นเป็นอะไร จึงบอกว่าเสาก็ไม่เคยดับไปเลย ก็จริงสิ่งที่ปรากฏทางตาดับแต่ไม่รู้ ก็ยังเห็นนิมิตแล้วก็จำได้ เพราะฉะนั้นก็จะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงสิ่งที่เกิดดับไม่ใช่เสา แต่นิมิตของสิ่งที่เกิดดับทำให้จำ และคิดว่าเป็นเสา เพราะฉะนั้นนิมิตทั้งหมดจะเกิดดับหรือ ในเมื่อไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง เป็นแต่เพียงการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วต้องไปท่องไหม ไม่ต้องท่องเลย รูปที่ปรากฏทางตาเป็นนิมิต ความรู้สึกก็เป็นนิมิต เพราะเพียงแค่หนึ่งขณะแล้วดับไม่ปรากฏก็จะไม่รู้ ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรม ที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์หรือเฉยๆ

    สัญญาขณะนี้คืออะไร ถ้าพูดแล้วไม่ทำให้เข้าใจ ก็อย่าพูดดีกว่าใช่ไหม แต่ได้ยินคำว่ารูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขณะนี้รู้ความหมายของรูป ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่เกิด มองเห็นหรือมองไม่เห็น แต่สภาพนั้นมีจริงเกิดขึ้นดับไปแต่ไม่รู้อะไร ก็เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม เมื่อมีรูปแล้ว และก็เห็นรูป พอใจในรูป สุขทุกข์ในรูปต่างๆ เหล่านี้

    ความรู้สึกก็ไม่เที่ยง เมื่อวานนี้สุข วันนี้ทุกข์ได้ อย่างบางคนกำลังสุขอยู่จริงๆ ได้ข่าวร้าย เรื่องญาติ เรื่องความป่วยไข้ เรื่องความตาย ทุกข์เกิดขึ้นได้ สุขเมื่อครู๋นี้ก็หายไปแล้ว แต่สุขเมื่อครู่นี้ก็เกิดสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตของความสุข ความทุกข์ก็เกิดดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นนิมิตของความทุกข์ เพราะฉะนั้นความรู้สึกซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าเวทนา ได้แก่ความรู้สึกเฉยๆ ความรู้สึกดีใจ ความรู้สึกเสียใจ และความรู้สึกสุขกาย ทุกข์กายมีจริงๆ ทั้งหมดเกิดดับสืบต่อ แสดงให้เห็นว่าขณะใดที่รู้สึกขณะนั้นเป็นนิมิตของสภาพความรู้สึก ซึ่งเกิดดับสืบต่อจนปรากฏให้รู้ได้

    สัญญาในภาษาบาลี หมายความถึงสภาพที่จำ คนไทยใช้คำว่าจำ ไม่ต้องใช้คำว่าสัญญา ใช้คำว่าจำนี่แหละ ถ้าใช้คำว่าสัญญาก็เลยไปคิดถึงข้อตกลงต่างๆ ที่คนใช้ใช้ แต่ว่าจริงๆ แล้วสัญญาเป็นภาษาบาลี หมายความถึงความจำ เดี๋ยวนี้มีไหม มีแต่ไม่ใช่จิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ ที่เกิดกับจิต อยู่ในจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต เพราะจิตเป็นสภาพรู้ สัญญาก็รู้ แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นขณะนี้ สัญญาเป็นสภาพจำ ทันทีที่เห็นอะไร เจตสิกที่เกิดกับจิตทำหน้าที่จำ จำได้ไหม ใครอยู่ที่นี่ นั่นแหละไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุหรือธรรมที่เกิดกับจิตแล้วก็จำ มีหน้าที่อย่างเดียวคือจำ จำจนกระทั่งรู้ว่าจำ เพราะสัญญาเกิดดับเป็นสัญญานิมิต

    สังขารได้แก่เจตสิกทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เวทนา และสัญญา เจตสิกทั้งหมด มี ๕๒ เป็นเวทนาเจตสิก ๑ ความรู้สึกไม่ใช่จิตเป็นเจตสิก ความจำก็ไม่ใช่จิต และเจตสิกที่เหลืออีก ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ เป็นนิมิตด้วย คือทั้งหมดที่เกิดดับเป็นนิมิตทั้งหมด เพราะความเร็วของการเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นโกรธมีจริงไหม เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้แต่ไม่ใช่จิตก็ต้องเป็นเจตสิก เวลาโกรธ รู้ไหมว่าโกรธ เพราะโกรธเกิดดับหลายขณะ จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต ให้รู้ถึงความขุ่นใจ ความไม่สบายใจ ไม่ใช่เราเลย เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ารู้อย่างนี้บ่อยๆ เข้า โลกนี้ก็ว่างเปล่าจากการที่เคยเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะหลงยึดถือในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วอยากได้ แล้วติดข้องหลงยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็อยากจะให้เรามีแต่ความสุข ไม่ให้มีความทุกข์ใดๆ เลยทั้งสิ้น

    อยากจะได้ทรัพย์สิน เงินทอง ลาภยศ สรรเสริญเพื่อความเป็นเรา ซึ่งความจริงก็คือสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่เหลือเลย ชาติก่อนหมดไม่เหลือเลย เมื่อวานนี้หมดไม่เหลือเลย วันนี้ถึงเวลาหลับสนิทก็หมดไม่เหลือเลย ตื่นขึ้นอีกก็เหมือนวันนี้ ตื่นแล้วก็หลับ แล้วก็ตื่น แล้วก็หลับ ระหว่างหลับก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย หายไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือจริงๆ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่มีหมด แต่พอตื่นจำได้อีกแล้ว กลับมาอีกแล้ว เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทำกิจเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายบ้าง แล้วก็คิดนึกแต่เรื่องของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย คิดแต่เรื่องของรูปบ้าง เสียงบ้าง เรื่องราวต่างๆ กลิ่นบ้าง รสบ้าง การกระทบสัมผัสบ้าง ป่วยไข้โรคอะไร ไปหาหมอหรือยัง ฉีดยาหรือยัง กินยาอะไร ก็เรื่องของกายซึ่งเป็นทุกข์ ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป ก็ลืมหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง และต่อไปไม่เกิดไม่ได้เลย ยังมีกิเลสซึ่งเป็นเหตุ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ตราบใด ก็ต้องเกิดตราบนั้น เมื่อเกิดแล้วการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วก็ปรากฏเป็นรูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และสุดท้ายคือวิญญาณนิมิต วิญญาณเป็นอีกคำหนึ่งของจิต เพราะฉะนั้นจิต จะมีหลายชื่อ เช่นเห็นขณะนี้ต้องอาศัยตา เป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเห็น จึงใช้คำว่าจักขุวิญญาณ คนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าจักขุวิญญาณ ไม่มีใครรู้จักแน่ ไปถามเด็กว่าจักขุวิญญาณเป็นอะไร แต่ถามเด็กว่าเห็นไหม เด็กบอกว่าเห็น

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ต้องไปคำนึงถึงคำในภาษาบาลีเลย เพราะว่าถ้าคำนึงถึง ไม่ได้รู้สภาพธรรมเลย แต่ถ้าบอกว่าเห็น เราไม่ต้องไปติดที่คำไหนเลย พอพูดถึงเห็นก็รู้ว่าเห็นขณะนี้ต้องเกิด เกิดแล้วดับไป กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราเห็น อีกนานไหม กว่าจะละคลายความติดข้องในสิ่งซึ่งเกิดดับซึ่งหลงติดยึดถือด้วยความสุข และความทุกข์ แต่ละชาติมากมายมหาศาล ยากที่จะไถ่ถอนละคลายได้ จนกว่าปัญญาที่เกิดจากการฟังรู้ตาม ในฐานะสาวกผู้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจความจริง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นคำว่านิมิต ก็คงชัดเจนแล้วใช่ไหม มีรูปนิมิตไหมขณะนี้ มีเวทนานิมิตไหม ความรู้สึก มีสัญญานิมิตไหม มีสังขารนิมิตไหม มีวิญญาณนิมิตไหม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นอะไรเป็นรูปร่างขึ้นมา แน่นอน เพราะเพียงแค่หนึ่งจิตที่เกิดขึ้นรู้หนึ่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วดับ ยังไม่เป็นรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ที่กล่าวว่าเพียงลัดนิ้วมือเดียวจิตเกิดดับมาก ใช้คำว่าแสนโกฏขณะไม่ต้องนับ แต่เดี๋ยวนี้เห็นคนกี่คน เห็นไหม แล้วนอกจากคน เห็นอะไรอีก ประตูก็เห็น หน้าต่างก็เห็น ห้องก็เห็น โต๊ะก็เห็น เก้าอี้ก็เห็น เหมือนเห็นหมดเลย นี่ก็แสดงความหมายของคำว่านิมิต และวิญญาณนิมิตด้วย

    เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ไม่ว่าใครจะพูดอะไรมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ได้พึ่งแล้ว คือได้เข้าใจแล้วจึงสามารถที่จะรู้ว่าถูก อะไรผิด อะไรทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี แม้เพียงเริ่มต้น ต่อไปจะเข้าใจขึ้น ทำให้เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพิ่มขึ้น รู้จักพระองค์เพิ่มขึ้นว่าพระมหากรุณาที่ทรงแสดงให้ จากไม่รู้เลย เป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น มากมายไหม มหาศาลแค่ไหน จนสามารถที่จะดับกิเลสได้

    อ.ธิดารัตน์ ตราบใดที่ยังมีธรรมที่เกิดแล้วดับไม่ว่าจะเป็นจิตเจตสิก หรือแม้รูปก็ตาม ก็ย่อมต้องปรากฏเป็นนิมิต เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามีธรรมอย่างนั้นจริงๆ เกิดดับ และการที่จะไม่มีนิมิต มีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน เพราะว่าพระนิพพานนี้ท่านแสดงถึง ความไม่มีนิมิตของสังขารธรรมทั้งปวง

    ท่านอาจารย์ มีใครบ้างที่เคยได้ยินคำว่านิพพาน ได้ยินกันทั้งนั้นเลย แล้วนิพพานคืออะไร เห็นไหมคะ แค่ได้ยินจะมีประโยชน์ไหม แต่ถ้าพูดถึง ธรรมที่ดับกิเลส สิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นแล้วไม่ได้ดับกิเลส สิ่งที่ปรากฏทางตาดับกิเลสไม่ได้ เพราะว่ามีความติดข้อง อยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่รูป

    ความติดข้องภาษาบาลีใช้คำว่าโลภะ คนไทยได้ยินบ่อยๆ แต่พอพูดโลภะก็คิดว่าคนนั้นโลภมาก หมายความว่าผิดปกติเกินคนธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่าสภาพธรรมจะมากหรือจะน้อยปานใด ก็ต้องเป็นสภาพธรรมนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ไฟไหม้ตึก ไฟไหม้บ้านกับไฟนิดเดียว ร้อนเหมือนกันใช่ไหม ชื่อว่าไฟก็ต้องร้อน เพราะฉะนั้นสภาพธรรมแต่ละหนึ่งแม้น้อยเพียงใด ก็เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ความติดข้องแม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังคงเป็นความติดข้อง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่สามารถที่จะดับอกุศลทั้งหมดได้ ดับความติดข้องได้ ดับโทสะได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดแล้วก็เห็น เห็นแล้วก็ชอบ เห็นแล้วก็ไม่ชอบ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วอะไรจะดับกิเลสได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมต้องรู้ว่า ถ้าพูดถึงนิพพาน มีหลายคนที่อยากถึงนิพพาน ขอถามว่าได้ยินคำว่านิพพาน อยากถึงนิพพานไหม ใครอยากช่วยยกมือด้วย ต้องเป็นผู้ตรง อยากแน่นอน ไม่รู้นิพพานนี่จึงอยาก ถ้ารู้แล้วจะอยากไหม ถ้ารู้ว่านิพพานคืออะไร เพราะฉะนั้นถามใหม่ว่า มีใครอยากหมดกิเลสบ้าง อยากหมด รู้จักกิเลสดีหรือยังที่จะหมดกิเลส เพราะว่าแม้ความพอใจเพียงเล็กน้อยก็เป็นกิเลส ไม่ต้องมากมายอย่างคนโลภ ที่เราใช้คำว่าโลภ เพียงต้องการนิดหน่อย เมื่อเช้านี้ อาหารจืดไปนิดหนึ่ง ขอเกลือหน่อย ติดข้องหรือเปล่า แล้วจะหมดกิเลส คือไม่มีความติดข้องในสิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น คิดอย่างนั้นต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า ที่จะไม่มีความติดข้องใดๆ เลย ไม่มีความขุ่นใจแม้เพียงเล็กน้อยที่เห็นฝุ่น ไม่ต้องเห็นกองขยะ เพียงแค่ฝุ่น ทั้งกลิ่น ขยะเล็กๆ นิดเดียวค่ะ ก็เดือดร้อนแล้ว

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วลืม จะถึงนิพพานด้วยกิเลส เป็นไปได้อย่างไร เพราะนิพพานเป็นธรรมเดียวที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งในสภาพธรรมซึ่งไม่เกิด เดี๋ยวนี้มีแต่สภาพธรรมที่เกิดจึงได้ปรากฏ ปรากฏแล้วก็ติดข้อง ชอบไปหมดเลย ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตามากมายเลย ดอกไม้ก็ชอบ เสื้อผ้าก็ชอบ เครื่องใช้ก็ชอบ ชอบไปหมดเลยทุกอย่าง วันนี้มีอะไรที่ไม่ชอบบ้างไหม ที่ไม่พอใจไม่อยากได้ใช่ไหม ขณะที่ไม่ชอบก็เป็นกิเลสอีกประเภทหนึ่ง ไม่พ้นไปได้เลย เพราะไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    4 พ.ค. 2567