ปกิณณกธรรม ตอนที่ 771


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๗๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชียนหาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ. ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะมีการคิดนึกเรื่องราวต่างๆ มีจิตซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นหนึ่งขณะก่อน แล้วกุศลจิตหรืออกุศลจิตจึงคิดเรื่องนั้นได้ กำลังคิด รู้ไหมว่า จิตที่นี่คิดดีหรือไม่ดี คิดเรื่องดีหรือเปล่า คิดเรื่องไม่ดีหรือเปล่า อาศัยเรื่องใช่ไหม ถ้าคิดแล้วสบายใจ แล้วบอกว่าคิดดีได้ไหม ไม่ได้ คนอื่นส่วนใหญ่หวังแต่เพียงใจสบาย เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่า ไปนั่งทำอะไรที่ไม่รู้เรื่อง ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็สบายดี ก็เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นกุศล แต่ธรรมละเอียดกว่านั้น ขณะนั้นเป็นความติดข้อง เป็นความพอใจ ไม่ใช่ในสิ่งที่เห็น ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส คิดนึกก็จริง แต่ก็ยังเป็นความรู้สึกสบาย ซึ่งติดข้องในความรู้สึกนั้น เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า กิริยาจิตเกิดก่อนจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย จิตเห็นเป็นวิบากเป็นผลของกรรม ถ้าสิ่งที่กระทบตาน่าพอใจ กุศลวิบากต้องเกิด สิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าพอใจ อกุศลวิบากต้องเกิดเห็น แต่กิริยาจิตเกิดก่อนทั้งกุศลวิบาก และอกุศลวิบากจึงเป็นกิริยาจิต ชาติของจิต มี ๔ กุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ ชาติจะเจริญ เพราะอะไร ชาติอะไรเจริญ ก็ต้องกุศล ชาติอกุศลเจริญได้ไหม ไม่ได้

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ได้อธิบายถึงธรรมที่เป็นกุศล อกุศล และไม่ใช่ทั้งกุศล และไม่ใช่อกุศล ที่เราเข้าใจรวมๆ ว่าเป็นประเทศ และเป็นชาติ กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ว่า พระพุทธศาสนากับความมั่นคงของชาติบ้านเมือง จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมว่าถ้าไม่ใช่สัตว์บุคคล เป็นต้นไม้ใบหญ้า ไม่สำคัญเลย ใช่ไหม แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นถ้าจิตเป็นอกุศลเกิดมาก ชาติเจริญไหม

    อ.อรรณพ เสื่อม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเจริญได้เลย ต้องเสื่อม เพราะฉะนั้นจะเจริญจริงๆ ต่อเมื่อกุศลจิตของคนในชาติ เกิดมาก

    อ.อรรณพ และกุศลจิตของคนในประเทศชาติจะเจริญได้ ก็ต้องอาศัยพระธรรมคำสอน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ ขาดคุณธรรมความเข้าใจธรรมไม่ได้ เป็นความถูกต้องของจิตประเภท ที่มีสภาพธรรมที่ดีงามเกิดร่วมด้วย

    อ.อรรณพ จิตชาติกุศลมีความมั่นคงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ การฆ่า การทำร้าย การเบียดเบียน เกิดขึ้นจากจิตประเภทไหน

    อ.อรรณพ อกุศลครับ โทสะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฆ่าทั้งวัน ทุกวัน ทุกคน เจริญไหม

    อ.อรรณพ ไม่เจริญ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ความจริงว่า ขณะที่ฆ่า นั่นเพราะอะไร

    อ.อรรณพ อกุศล

    ท่านอาจารย์ อกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้แล้วก็มีแต่อกุศลธรรม ก็จะมีแต่การเบียดเบียน ประทุษร้าย

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ถ้าชาติบ้านเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยคนแต่ละคน แต่ละคนก็คือจิตเจตสิกแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาติอกุศล แล้วมีการเบียดเบียนก็ทำให้ประเทศชาตินั้นมีแต่ความเสื่อมความหายนะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะมั่นคงต้องมั่นคงด้วยคุณความดี คือ จิต เจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้น

    อ.อรรณพ ผู้ที่อยู่ในประเทศชาติบ้านเมือง ก็ต้องมีความปรารถนาดี อยากให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง มีความมั่นคง แต่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างละเอียดจะเป็นไปได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ ใช่ไหม จึงเกิดความติดข้อง ต้องการทุกอย่าง ถ้าต้องการนั้นมีมาก ก็สามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมได้ ทุกประการ ประเทศจะเจริญไหม

    อ.อรรณพ เสียหายอย่างมาก เสียหายรายบุคคลด้วย ก็คืออกุศลจิตก็เสียหายสำหรับแต่ละบุคคล แล้วรวมๆ กันก็ทำให้เกิดความเสียหาย เกิดการประทุษร้าย เกิดการคดโกง เกิดการทุจริตกรรมต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทราบหนทางที่จะทำให้ชาติมั่นคงแล้วใช่ไหม แต่ถ้าเต็มไปด้วยอกุศล ชาติมั่นคงไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ ศาสนาคือหลักคุณธรรม โดยเฉพาะความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ถ้ารู้ว่าสิ่งใดไม่ดีแล้วจะทำหรือไม่ ก็ค่อยๆ ลดละการที่ไม่ดีลงไป ถ้ารู้ว่าโลภะ โทสะ ไม่ใช่เรา เป็นเหตุที่เมื่อได้ถึงการที่ได้กระทำทุจริตแล้ว ย่อมให้ผล คือ เกิดไม่ดี เห็นไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี แล้วก็ยังติดตามมาด้วยการคิดนึกที่ไม่ดีด้วย เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจว่าอะไรดี อะไรชั่ว เพราะฉะนั้นคำสอนที่เป็นความจริงที่ทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องเท่านั้น ที่สามารถที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

    อ.อรรณพ แต่ละหน่วย แต่ละหนึ่ง ก็คือจิตเจตสิกที่สะสมมา ถ้าไม่มีการสะสมที่ไม่ดีมามาก แต่บางคนก็มีการสะสมที่ดีมาบ้าง แต่ว่าเป็นส่วนน้อยแล้วก็อยู่รวมๆ กันในบ้านเมือง สังคมซึ่งมีความไม่ดีมากกว่า พระพุทธศาสนาจะเกื้อกูลได้อย่างไร แค่ไหน

    ท่านอาจารย์ พระพุทธศาสนาไม่จำกัด ไม่มีชาติเฉพาะว่า เป็นไทย เป็นจีน ฝรั่งเศส ญวน พม่า เป็นธรรมที่ทั้งสากลจักรวาล เป็นความจริงถึงที่สุด เห็น ไม่ใช่ชาติไหนเลย แต่นกก็เห็น คนก็เห็น ไทยก็เห็น พม่าก็เห็น จีนก็เห็น แต่ เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นก็ไม่จำกัดเลยว่าประเทศชาติใด ก็จะเห็นได้ว่าเสื่อมเพราะอะไร และถ้าประเทศใดก็ตามที่มีการที่มีคนที่มีคุณธรรม แล้วก็มีความเข้าใจธรรม ประเทศชาตินั้นก็ปลอดภัย หรือว่าเสื่อมน้อยกว่าประเทศอื่นซึ่งมีแต่อกุศล ด้วยเหตุนี้จะไปปกครอง จะไปคุ้มครอง จะไปชักชวน ไปทำอะไรเป็นไปได้ไหม ในเมื่อธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น แล้วแต่บุญกรรม คำนี้ไม่ผิดเลย คือคนโบราณท่านใช้คำถูก แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย บุญเป็นกรรม บาปก็เป็นกรรม แต่ว่าคนส่วนใหญ่ตัดสั้นเหมือนกับว่า บุญเป็นบุญ แล้วก็บาปเป็นกรรม เพราะฉะนั้นใช้คำว่าแล้วแต่บุญกรรม คือแล้วแต่กุศล และอกุศลกรรมที่ได้ทำมา

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วจะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศซึ่งเสื่อมจนสลาย แต่คนในชาตินั้นบางคนก็มีความสุข ตามผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ประเทศเล็กประเทศน้อยล่มสลาย แต่ก็มีหลายคนที่อยู่ที่เมืองที่เจริญแล้ว ด้วยความผาสุกตามบุญตามกรรมของแต่ละคน เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องซึ่งไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนในพื้นโลก หรือว่าที่ไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่หรือสำคัญกว่ากรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าได้รู้เหตุ ไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น ผลของกรรมดีที่ได้ทำแล้ว ย่อมให้ผลที่ดี และเมื่อไหร่ก็ตามที่ทำกรรมไม่ดี คนอื่นไม่ได้รับกรรมนั้นแทนเรา แต่ว่ากรรมที่ไม่ดีที่ได้กระทำแล้ว เป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เริ่มตั้งแต่ขณะแรกของชีวิตคือการเกิดขณะแรก เป็นผลของกรรม แล้วก็เกิดแล้ว ก็ยังไม่ใช่เพียงแค่เกิด ยังต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ปกติแล้วก็ ๕ ทาง เว้นแต่คนตาบอดก็ไม่เห็น คนหูหนวกก็ไม่ได้ยิน เมื่อมีการเห็น ได้ยินแล้ว มีหรือซึ่งจะไม่มีจิตที่จำเกิดดับสืบต่อคิดนึกถึงสิ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นแม้ฝันก็ยังเป็นเรื่องราวของสิ่งที่เคยเห็นแล้ว เคยได้ยินแล้วทั้งหมด ไม่พ้นจากรูปเห็นได้ทางตา เสียงรู้ได้ทางหู กลิ่นรู้ได้ทางจมูก รสรู้ได้ทางลิ้น การกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งที่ปรากฏรู้ได้ทางกายก็เท่านี้เอง แล้วจะอยากได้อะไรกันนักหนาเพียงแค่เห็น เพื่อที่จะเห็นแล้วก็หมดไป รสอร่อยเพียงแค่ลิ้มแล้วก็หมดไป ที่อร่อยมากๆ ถ้าอิ่มแล้วเชิญรับประทานต่อ ไหวไหม

    อ.อรรณพ ไม่ไหวแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้เลยทุกอย่างชั่วขณะ ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย และก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เหตุดีผลก็ต้องดี เหตุไม่ดีผลก็ต้องไม่ดี มั่นคงได้เลย ถึงแม้ว่าประเทศชาติจะล่มสลาย จะลุกเป็นไฟ แต่ผู้ที่ได้ทำกรรมดีแล้วก็ต้องได้รับผลของกรรมที่ดี ในขณะเดียวกัน ประเทศมีความเจริญรุ่งเรือง ทางวัตถุมากมายสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ว่าใครที่ทำกรรมที่ไม่ดีไว้ ก็ได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี

    เพราะฉะนั้นจะกล่าวแล้ว ก็คือรู้จักโลกจริงๆ หรือเปล่า ใช้คำว่าโลก พูดคำว่าโลก แต่โลกจริงๆ คืออะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยสักอย่าง จะมีโลกไหม ก็ไม่มี แต่พอมีอะไรเกิดมาสักหนึ่งอย่าง มีโลกแล้ว คือสิ่งนั้นแหละ ที่เกิดขึ้นเป็นโลก แต่มีเหตุปัจจัยที่จะให้มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โลกก็เต็มไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ผู้คนต่างๆ นานา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เกิดเพราะมีปัจจัยที่สมควรที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีตา ไม่มีทางเห็น จิตเห็นเกิดไม่ได้ ถ้าหูหนวก ไม่มีโสตปสาทรูป ที่สามารถกระทบเสียงได้ จิตก็จะเกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่ได้ เทวดาฟ้าดินที่ไหนจะไปอ้อนวอนขอร้องสักเท่าไหร่ ไม่มีโสตปสาท ได้ยินก็ไม่ได้ ไปขอเทวดาได้ไหม คนที่ไม่มีโสตปสาท ขอให้ได้ยิน ขอเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน ถ้าได้ยินเพราะขอได้ ทุกคนสมความปรารถนา ขอไปเถอะได้หมด แต่นี่เป็นไปไม่ได้เลย ขอเท่าไหร่ได้หรือไม่ได้ อยู่ที่เหตุ ที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น มีหรือเปล่าเป็นปัจจัยพอที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ไหม

    อ.อรรณพ เมื่อมีความเข้าใจถูก โดยเข้าใจสภาพธรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง อัพยากตบ้าง ก็จะได้เข้าใจว่าอะไรคือประเทศ อะไรคือชาติ แล้วพระพุทธศาสนาช่วยชาติได้โดยการที่เป็นที่อาศัยที่ได้ศึกษา แล้วก็อบรมจิตที่จะเป็นกุศล และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นชาติของจิตของแต่ละคนก็เป็นกุศลชาติ เป็นกุศลเพิ่มขึ้นแล้ว ถ้าหลายๆ หนึ่งเป็นกุศลเพิ่มประเทศชาติ รวมๆ บ้านเมืองก็เจริญด้วยคุณธรรม จริยธรรมเพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จักละเอียดยิ่งกว่านั้น รู้จักโลก ไม่ใช่รู้จักแต่ชาติ

    อ.อรรณพ โลกกับชีวิตในคติทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น จะมีคุณอรรณพที่คิดถึงโลกมั้ย ไม่มีใช่ไหม โลกมีเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจิตแต่ละ ๑ ขณะเป็นโลก โลกทางตาขณะเห็นโลก ๑ โลกเฉพาะ โลกอื่นไม่เกี่ยวข้องเลย อะไรจะไปเกี่ยวข้องกับทางตา ที่กำลังปรากฏเป็นสีสันวรรณะ ๑ โลกแล้ว โลกทางหูไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่มีเสียงปรากฏ เพราะฉะนั้นโลกจริงๆ ก็คือเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้น ก็ปรากฏเป็นโลกแต่ละโลก

    อ.อรรณพ แล้วชีวิต

    ท่านอาจารย์ ค่ะ น่าคิด เพราะเหตุว่า ได้ยินคำนี้ แต่ว่าคำนี้มีจริงหรือเปล่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริงหรือเปล่า มีจริงแน่นอน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้จักชีวิต แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสิ่งที่มีจริงก็คือ สภาพธรรมซึ่งเกิดกับจิต ทำให้จิตนั้นเป็นสภาพที่ทรงชีวิตหรือมีชีวิต เพราะมีเจตสิกหนึ่งคือชีวิตินทริยเจตสิก เกิดกับจิต เราจะไม่รู้เลยว่า จิตหนึ่งขณะเกิดเป็นธาตุรู้ แม้แต่เห็นขณะนี้ หรือว่าไม่ว่าจิตไหนก็ตาม เกิดเมื่อไรก็ตาม จิตต้องมีชีวิตินทริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ทำให้สภาพของจิตเป็นสภาพที่มีชีวิต หรือว่าทรงชีวิต สามารถที่จะรู้ สามารถที่จะเห็นเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตแล้วก็ดับไป และรูปที่เกิดจากกรรมก็ต่างกับรูปอื่น เพราะว่ารูปนั้นต้องมีชีวิตตินทริยรูปเกิดร่วมด้วย นี่เป็นความต่างกันของสภาพต่างกัน ที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม จะมีคำว่า ชีวิต กับ อินทริย รวมอยู่ จึงเป็น ชีวิตตินทริย เพราะฉะนั้นจิตมีเจตสิกซึ่งเป็นชีวิตินทริยเกิดร่วมด้วย เป็นสภาพที่เป็นอินทรีย์เป็นใหญ่ ในการที่จะให้จิตนั้นดำรงชีวิต สภาพของสิ่งที่มีชีวิต ในขณะนั้นเพราะมีเจตสิกซึ่งเป็นชีวิตินทริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    สำหรับรูปก็เหมือนกัน ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม รูปนั้นเป็นรูปที่ทรงชีวิตหรือมีชีวิต เพราะมีชีวิตรูปซึ่งกรรมทำให้เกิดขึ้น ขณะที่จักขุปสาทรูป รูปที่กำลังกระทบกับรูปที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าไม่มีรูปนี้เกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบไม่ได้ จิตเห็นเกิดขึ้นไม่ได้ แต่รูปที่เกิดจากกรรม คือจักขุปสาทรูป รูปที่สามารถกระทบเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนี้ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่ร้อน ไม่ใช่ตึง ไม่ใช่ไหว ไม่ใช่มหาภูตรูป แต่ถ้าไม่มีมหาภูตรูป รูปนี้ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น รูปนี้เกิดที่มหาภูตรูปเกิดพร้อมกับมหาภูตรูป แต่จักขุปสาทรูปเป็นรูปที่ทรงชีวิตทำให้รูปนั้นมีชีวิต เคยเห็นหุ่นไหม หุ่นขี้ผึ้งก็มีมากมาย เกือบไม่รู้ว่าคนหรือเปล่าหรือไม่ใช่คน แต่ไม่ใช่คนแน่นอน เพราะไม่มีชีวิตินทริยรูปเกิด ตาเหมือนกับมีชีวิต เหมือนกับคน แต่กระทบอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเพียงแค่สีสันที่ปรากฏ ไม่สามารถที่จะเห็นชีวิตินทริยรูปได้ เพราะเป็นรูปที่เกิดกับจักขุปสาทที่กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ได้ ในขณะที่รูปอื่นเหมือนเลย ดูแล้วเหมือนเลยแต่ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นถ้าเก่งจริง ดูจริง รู้จริง ก็ไม่ใช่ ไม่เหมือน เพราะไม่ใช่รูปที่มีชีวิต นี่เป็นสิ่งซึ่งสามารถที่จะบอกได้ สำหรับผู้ที่ชำนาญ มีความจำดี ก็สามารถที่จะรู้ว่าไม่ใช่คน ไม่ต้องไปจับก็ได้ นี่ไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ชำนาญอย่างนั้น เอ๊ะ นั่งเฉยๆ ยืนอยู่หน้าประตู ถือดาบ ไม่กระดุกกระดิกเลย คนหรือเปล่า ก็อาจจะคิดว่าอย่างนั้น แต่ว่าความจริงต้องเป็นความจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดเพราะกรรมทุกรูป มีชีวิตินทริยรูปทำให้รูปนั้นเป็นรูปที่ทรงชีวิต ดำรงชีวิต เกิดดับ ไม่ใช่ไม่ดับ

    อ.อรรณพ แล้วโลกกับชีวิตนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าขณะใดที่เห็น ขณะเป็นโลกทางตา ไม่เกี่ยวข้องกับโลกอื่นเลย เพราะฉะนั้นจิตนั่นเอง เป็นสภาพรู้ที่ทำให้เป็นโลก เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีธาตุรู้เลย จะมีโลกได้ไหม ไม่รู้อะไร ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่มีอะไรปรากฏแล้วจะเป็นโลกได้อย่างไร แต่เมื่อมีอะไรปรากฏ นั่นแหละโลก เพราะว่ามีธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้น

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นชีวิตที่เป็นนามธรรมก็ทำให้โลกปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเห็น จะมีโลกทางตาไหม ถ้าไม่ได้ยินจะมีโลกทางหูไหม แต่พอรวมแล้วโอ โลกนี้ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งเคลื่อนไหว ทั้งอะไรต่างๆ เพราะคิดนึกทั้งหมด

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ความที่นามธรรมเป็นสภาพที่เป็นชีวิตแล้วก็มีชีวิต ก็เลยทำให้มีธาตุรู้ แล้วก็โลกจึงปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าจริงๆ แล้วคำว่า โลก หมายถึงสภาพที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นสภาพที่พ้นจากการเกิดดับ เหนือการเกิดดับคือโลกุตระ เพราะฉะนั้น จึงมีโลกียจิต และโลกุตตรจิต โลกียจิตคือจิตทั้งหมดที่ไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ แต่ยังต้องมีความจำกัดต่อไปอีกว่า และดับกิเลส และดับกิเลสแล้ว นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งในขั้นต้นนี่ค่ะ เราก็จะศึกษาเพียงตอนต้นๆ ก่อน แล้วต่อไปก็จะรู้ความละเอียดยิ่งขึ้นว่าหลากหลายพิเศษยิ่งขึ้นด้วย

    อ.ธีรพันธ์ สิ่งที่เกิดอีกประเภทหนึ่ง ก็คือ รูป เป็นการเกิดดับเหมือนกัน จะเป็นโลกต่างกับที่เป็นสภาพรู้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะมีการเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นโลกจะมีอะไร

    อ.ธีรพันธ์ เพราะว่ามีการเกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะมีสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏว่าเป็นอย่างนั้น แม้ว่าจะต่างกับธาตุรู้ที่กำลังเห็น แต่ก็ต้องมี ด้วยเหตุนี้ โลกมีภูเขาไฟไหม

    อ. ธีรพันธ์ มีครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    อ.ธีรพันธ์ มีธาตุดินน้ำไฟลมที่แปรปรวนไป

    ท่านอาจารย์ แล้วก็มีเพราะอะไร มีแล้วล่ะ ปรากฏเพราะอะไร

    อ.ธีรพันธฺ์ มีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะจิตเห็นเกิดเมื่อไร ก็เห็นเป็นภูเขาไฟ เห็นเป็นป่าไม้ ซึ่งถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่เกิดจะเห็นอะไร จะเห็นอะไรถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่เกิด

    อ. ธีระพันธ์ ไม่เห็นเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นโลกที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่จิตเกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดดับ สิ่งนั้นเป็นโลก

    ผู้ฟัง ที่ฟังว่า กุศลวิบากกับอกุศลวิบาก จะมีเฉพาะนามธรรม คือธาตุรู้ สงสัยว่า ทำไมรูปธรรมทำไมถึงเป็นวิบากไม่ได้ อย่างเช่น คนนี้เกิดมาพิการ น่าจะเป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ รูปของคนพิการ รูปของคนไม่พิการ รูปก็ไม่รู้อะไร รูปจะโศกเศร้าเสียใจไหมที่พิการ เพราะฉะนั้นความโศกเศร้าเสียใจ เพราะมีรูปที่พิการ ต่างกับสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นรูปไม่รู้อะไรเลย เกิดมาเป็นคนสวย ผิวก็ดี ตาก็งาม คิ้ว จมูก ปาก งาม หมดเลย รูปรู้ไหมว่าตัวเองงาม ไม่ ใช่ไหม แต่ว่าจิตที่เห็นเบิกบาน ใช่ไหม ได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรมที่ทำให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ โดยที่รูปไม่รู้อะไรเลย เห็นสิ่งใดก็ตามที่น่าพอใจ ทั้งหมด กำลังถูกเห็น สิ่งที่เห็นมี ๒ อย่างโดยลักษณะความเป็นจริง คือ เป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเสียง กลิ่น รส ก็เช่นเดียวกัน สภาพนั้นๆ ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ดอกไม้สีก็สวยเหลือเกิน แต่ดอกไม้ก็ไม่ได้รู้อะไร ไม่มีสภาพรู้เลย แต่ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ต้องเป็นผลของกรรม เลือกไม่ได้ อยากจะเห็นเพชรนิลจินดา แวววับ มากมาย ใหญ่โต ก็เลือกไม่ได้ จะเห็นหรือไม่เห็น แต่ตัวสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้ จึงไม่ใช่วิบาก เป็นผลของกรรมจริง แต่ทำไมไม่ใช่วิบาก เพราะไม่สามารถที่จะเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือรู้อะไรทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ผลของกรรม เช่นว่า การเกิดมาพิการ หรือว่าอยู่ไปๆ คนไปต้อหินแล้วตาบอด อันนี้นี้คือผลของกรรม ภาษาบาลีใช้คำว่าอะไร ถ้าเราไม่ใช้คำว่า วิบาก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    15 พ.ค. 2567