ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790


    ตอนที่ ๗๙๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงว่ายาก และขณะนี้เป็นผู้ตรงสัจจบารมีเข้าใจธรรมไหนบ้าง ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรม ถ้ายังไม่เข้าใจก็ยังคงเป็นเราที่ไปคิดถึงเรื่องสติ แต่สติก็เป็นอนัตตา ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ สัจจญาณหรือความรอบรู้ซึ่งเป็นปริยัติ เป็นปัจจัยให้เกิดกิจจญาณ คือปฏิปัตติ ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมซึ่งกำลังเริ่มเข้าใจลักษณะของธรรม ไม่ใช่ฟังชื่อเรื่องธรรมว่าไม่ใช่เรา แต่กำลังเริ่มรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นไม่ต้องเรียกว่าสติได้ไหม แต่ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่ว่าเพราะเข้าใจ จึงสามารถที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังในขณะนี้โดยไม่ได้เข้าใจ แต่ขณะที่เกิดการรู้แจ้งถึงเฉพาะลักษณะเดียวของธรรม ก็จะเริ่มค่อยๆ เข้าใจลักษณะนั้นในความเป็นธรรมว่าเป็นธาตุรู้หรือเป็นสภาพธรรม ซึ่งขณะนั้นปรากฏเป็นแต่ละลักษณะทีละเล็กทีละน้อย พร้อมความมั่นคงว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่เราไปทำ แล้วขณะนั้นแม้ไม่เรียกชื่อก็มี แต่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่านั่นคือสติที่กำลังถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมพร้อมสัมปชัญญะ คือไม่ถึงสภาพธรรมอื่น นอกจากสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี และก็รู้เฉพาะลักษณะนั้นทีละหนึ่ง

    ก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าปริยัติ ปฏิปัตติ หรือว่าสัจจญาณ และกิจจญาณ จนกว่าจะถึงปฏิเวธ รู้แจ้งแทงตลอดในสภาพธรรมนั้นซึ่งเป็นกตญาณ ได้รู้แล้วตามที่ได้ฟังมานานแสนนาน แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความต่างของขั้นฟัง ว่ากำลังฟังยังไม่ได้มีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏอย่างที่ฟัง ทั้งๆ ที่เป็นเห็น ก็ยังไม่ใช่การที่ขณะนั้น มีการเริ่มถึงเฉพาะลักษณะของเห็น และขณะนั้นรู้ด้วยเพราะเป็นปัญญา ไม่ใช่ถามใครแล้วนี่เป็นสติหรือเปล่า นี่เป็นสติปัฐานหรือเปล่า คำถามอย่างนี้หมายความว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ฟังเพื่อเข้าใจไปเรื่อยๆ เพื่อค่อยๆ คลายความเป็นอัตตาที่จะทำ ที่จะรู้ แต่พอความเข้าใจเพิ่มขึ้นพอก็จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ ปัญญารู้เลยว่า ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังฟัง

    อ. นภัทร ปัญญาที่รู้ถูกต้อง ตามความเป็นจริง เห็นว่าสภาพธรรมทุกอย่าง เป็นไปอย่างนั้น เกิดตามเหตุตามปัจจัย เป็นปัญญาของท่านพระโสดาบันหรือยัง

    ท่านอาจารย์ อีกแสนไกล นี่คือปริยัติ ถึงการเป็นสัจจญาณหรือยัง พอฟังปุ๊บ เป็นเราจะปฏิบัติก็ไม่ใช่สัจจญาณ เป็นเราถึงหรือยังก็ไม่ใช่สัจจญาณ เพราะว่าไม่ใช่การรู้จริงๆ ว่าขณะนี้กำลังฟังเรื่องเห็น และเห็นก็เกิดดับ ก็ไม่ใช่การเข้าใจ เห็นที่กำลังเห็น

    อ. นภัทร เพราะฉะนั้นปัญญาที่จะเป็นสัจจญาณก็คือต้องเห็นจนมั่นคง

    ท่านอาจารย์ กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน จากปริยัติหรือส้จจญาณเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ สติสัมปชัญญะเกิด กำลังรู้เฉพาะลักษณะของธรรมโดยความเป็นอนัตตา ไม่ต้องคอย ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องเลือก ไม่ต้องทำ อีกนานเท่าไร กว่าลักษณะนั้นจะปรากฎ โดยไม่มีสิ่งอื่นปรากฏรวมอยู่ด้วยเลย ขณะนี้มีตั้งหลายอย่างใช่ไหม มีทั้งไฟฟ้า และก็มีคน มีตั้งหลายอย่าง แต่ว่าเวลาที่สภาพธรรมปรากฏเพียงหนึ่ง หมายความว่าอย่างอื่นไม่มีเลย ลองคิดดูว่าโลกทั้งโลกหมดไม่เหลือ มีแต่เฉพาะธาตุที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นธาตุรู้กับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีหรือที่ปัญญาจะไม่เข้าใจว่า สติสัมปชัญญะคือเมื่อไหร่ ขณะไหน และรู้อะไร

    เพราะฉะนั้นขณะนั้น ก็ยังไม่ถึงปฏิเวธแต่เป็นกิจจญาณของปฏิปัตติ ที่เริ่มถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละ ๑ โดยไม่ได้จงใจเลย ถ้าจงใจจะไปนั่งให้รู้เห็น จงใจไปนั่งให้รู้เดินหรืออะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ปัญญาเลย ขณะนั้นเป็นความเข้าใจผิดที่จะเลือก เพราะมีความเป็นเรา แต่ความเป็นอนัตตาเป็นอนัตตาโดยตลอด และต้องเพิ่มความเห็นถูกต้อง ในความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้นด้วย จึงจะมั่นคงยิ่งขึ้นว่าไม่ใช่เรา เพราะกว่าจะดับความเป็นเราได้นานแค่ไหน ในเมื่อในสังสารวัฎฏ์ก็เป็นเรามานานแสนนาน เพราะฉะนั้นเพียงสติเริ่มเกิด ต่างกับสติขั้นการฟังเป็นขั้นแรก แต่ว่าขณะนั้นรู้อะไรพอหรือยัง ไม่มีทางเลย เพราะว่าเพียงระลึกสิ่งหนึ่ง แต่สิ่งอื่นที่ยังไม่ได้ระลึกเลย เพราะฉะนั้นที่บอกว่าปัญญารู้ทั่วระดับไหน ระดับขั้นฟังอย่างนี้ กำลังฟังเรื่องการละความไม่รู้ ที่จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขั้นการฟัง โดยไม่มีเราไปหวังหรือรอคอย หรือไปคิดว่านี่สติสัมปชัญญะหรือเปล่า เพราะฉะนั้นปริยัติ ปฏิปัติ ปฏิเวธ คือขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด ยังไม่ถึงโสตาปัตติมรรค เพราะฉะนั้นสัจจญาณมี กิจจญาณคือสติสัมปชัญญะเกิด ยังไม่ถึงขั้นกตญาณที่รู้แล้ว ในการที่สภาพธรรมนั้น เป็นอย่างนั้นตามลำดับขั้น แม้แต่วิปัสสนาญาณขั้นต้นก็ไม่มีกำลัง

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีกำลังหรือเปล่า เพียงแค่ฟังนิดๆ หน่อยๆ เข้าใจบ้างความเป็นตัวตนก็มาแล้วด้วยการที่เป็นผู้ที่หวัง เพราะฉะนั้นธรรมลึกซึ้ง ใครตรัสรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลืมคำนี้อีกแล้ว เหมือนอย่างกับว่าจะเป็นผู้ที่ทำได้รู้ได้เข้าใจได้ แต่ว่าความจริงเป็นเรา ไม่ได้ละความไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงทรงแสดงความจริงโดยตลอดตั้งแต่ขั้นปฏิเวธ วิปัสสนาญาณที่ ๑ ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณขั้นต่อๆ ไป ถ้าวิปัสสนาญาณขั้นต้นมีกำลังอ่อน แล้วเดี๋ยวนี้ที่สติยังไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมจนทั่วที่จะทำให้เกิดการประจักษ์แจ้งโดยความเป็นอนัตตาทั้งหมด ต้องโดยความเป็นอนัตตาตลอดยิ่งขึ้น

    เพราะฉะนั้นเป็นหนทางที่จะละ เลิกความหวัง เพราะเหตุว่าอริยสัจจะที่ ๑ ทุกขอริยสัจจะรู้อะไร รู้ความจริงของสิ่งซึ่งเกิดดับขณะนี้ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไร ถ้าเป็นเราก็รู้ไม่ได้เลยแต่กว่าจะถึงแต่ละขั้นนี้ จะมีความเข้าใจว่าที่อริยสัจจะที่ ๒ คือละสมุทัยคือโลภะความติดข้องตั้งแต่เริ่มฟัง ทุกอย่างต้องเป็นไปถูกต้องไม่เปลี่ยน เพราะอย่างไรๆ เป็นสิ่งที่ควรละก็ต้องละ การที่จะดับการยึดถือว่าเป็นเราได้นั้นต้องเป็นญาณไหน โสตาปัตติมรรคจิตยังไม่เกิดตราบใด ก็ยังไม่หมดการที่ความเป็นเราอย่างละเอียดเริ่มปรากฏให้เข้าใจ จนกว่าปัญญาสามารถที่จะเห็นความเป็นเราอย่างละเอียดได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ ถ้ายังไม่ถึงโสตาปัตติมรรค ยังดับความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราไม่ได้ ดับหมายความว่าไม่เกิดอีกเลย ในสังสารวัฎฏ์นานเท่าไหร่ที่เคยเกิด ๔ อสงไขยแสนกัปป์ที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ยังไม่ถึงโสตาปัตติมรรค เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า การที่จะรู้จริงๆ จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญมา และทรงรู้ความละเอียด และทรงแสดงธรรม ตามความละเอียดว่า สำหรับผู้ที่สามารถจะเข้าใจได้

    อ. นภัทร พระโสดาบันดับความเป็นเราได้ แล้วความอยาก ...

    ท่านอาจารย์ ปัญญาที่เกิดพร้อมกับโสตาปัตติมรรคจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วดับกิเลสด้วย

    ผู้ฟัง ธรรมที่ไม่เที่ยงก็คือสังขารร่างกายไม่เที่ยง แต่ว่าถ้าพูดถึงสสารพลังงาน หรือว่ากาลเวลาผมคิดว่ามันเที่ยง เพราะว่ามันเป็นสิ่งซึ่งมีอยู่แล้ว โดยปราศจากการเริ่มต้น ตรงนี้ครับเป็นความเข้าใจถูก เป็นความเห็นถูกหรือว่าความเห็นผิดครับขอท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย

    ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาธรรมทีละคำจะไม่สงสัย ก่อนศึกษาธรรมทุกคนก็พูดคำว่าสังขาร แล้วทุกคนก็คิดว่าเฉพาะร่างกาย จนกระทั่งมีคำพูดละสังขาร หมายความถึงตาย แต่ความจริงนั่นไม่ใช่ความหมายของคำว่าสังขาร เพราะว่าสังขารหมายความถึงสิ่งที่มีจริงแน่นอน เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่สิ่งที่มีเนี่ยมีเมื่อเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าสิ่งใดๆ ก็ตามค่ะ ที่เกิดต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นสังขาร เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็น เห็นมีจริงๆ เป็นสังขารหรือเปล่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสิ่งนั้นจะเกิดตามลำพัง เกิดขึ้นเองไม่ได้เลย เราไม่รู้ว่าขณะนี้เห็น เห็นเกิดขึ้นได้อย่างไร เราไม่รู้ แต่ว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงว่า ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิด โดยต้องมีที่อาศัยที่ปรุงแต่งทำให้เกิด เพราะฉะนั้นแม้แต่เห็นขณะนี้ เกิดแล้ว ถูกปรุงแต่งแล้ว เกิดแล้วเป็นเห็น เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ เป็นสังขารหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นสังขารไหม

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นสังขารหรือเปล่า โกรธ จำ ทุกอย่างหมดที่มีจริง ที่เกิดปรากฏ ต้องมีปัจจัยอาศัยทำให้เกิดขึ้นเป็นสังขาร เพราะฉะนั้นสังขารทั้งหลายเกิดแล้วไม่เที่ยงคือเกิดแล้วดับไป แต่การเกิดดับนี่เร็วสุดที่จะประมาณได้ เร็วจนเหมือนไม่ดับไปเลย เช่น เห็นขณะนี้เหมือนไม่ได้ดับ ถูกต้องไหม ใครเห็นว่าขณะนี้เห็นดับบ้าง แม้แต่เกิดก็ไม่รู้ใช่ไหม ดับก็ไม่รู้แต่มี เพราะฉะนั้นขณะนี้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า เห็นเกิดดับ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสวาจาสัจจะ จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิดแล้วต้องดับไปไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ทุกข์ที่นี่หมายความว่า ไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดีเพลิดเพลิน เพราะเหตุว่าเพียงแค่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะไม่รู้ความจริงอย่างนี้จึงติดข้อง เพลิดเพลิน ยึดถือ ในสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วดับไป เพราะไม่รู้ว่าแค่ให้เห็น ถ้าหลับตา สิ่งที่กำลังปรากฏ ปรากฏไม่ได้เลย หายไปหมดเลย ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่เพราะเคยจำไว้ว่ายังมีเราก็เลยทั้งๆ ที่หลับตา ก็ยังเข้าใจว่ามีคนมากมายในห้องนี้ มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้วแม้ขณะที่กำลังลืมตา ยังไม่ต้องหลับตา ถูกต้องไหม ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดดับไม่เที่ยงนี่แหละเป็นทุกข์ ในความหมายที่ว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดี แต่หลงยินดีเพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้เพียงคำนี้ก็แสดงความต่าง แสดงว่าต้องมีธรรมอื่นที่ไม่ใช่สังขาร แต่ธรรมนั้นก็ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ต้องเป็นอนัตตาด้วย จึงจะตรงกับคำที่ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เฉพาะสังขารไม่เที่ยงเป็นทุกข์ แต่ทั้งสังขาร และธรรมอื่นที่ไม่ใช่สังขารก็เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นธรรมอะไรซึ่งเป็นอนัตตา แต่ไม่ใช่สังขารมีไหม เดี๋ยวนี้ไม่มีแน่ใช่ไหม แต่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นที่ดับกิเลส เพราะสภาพธรรมนั่นไม่เกิด ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด เมื่อไม่เกิดแล้ว จะเป็นที่ยินดีได้อย่างไร เพราะเหตุว่าทุกคนยินดีในสิ่งที่กำลังปรากฏให้ยินดี เพราะไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เกิดขึ้น ไม่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นมาได้เลย สภาพธรรมนั้นมีจริงๆ สามารถที่จะรู้แจ้งด้วยปัญญา เพราะเหตุว่าขณะนั้นรู้แจ้งในสภาพธรรมที่ไม่เกิด จึงดับความยินดี ความติดข้อง ที่เคยมีในสังขารทั้งหลายได้ เพราะฉะนั้นทุกคำ เป็นวาจาสัจจะ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แต่ธรรมที่ไม่ใช่สังขารก็มี แล้วธรรมที่ไม่ใช่สังขารนั้นเที่ยงหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เที่ยงในความหมายที่ว่าเมื่อไม่เกิดก็ไม่ดับ

    ผู้ฟัง ก็แสดงว่าธรรมที่เที่ยงก็มี คืออะไรครับ

    ท่านอาจารย์ นิพพานอย่างเดียว เพราะฉะนั้นสำหรับนิพพานนี่ใช้คำว่าวิสังขารธรรม ธรรมที่ปราศจากปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด ถ้าเข้าใจแล้วไม่เปลี่ยนเลย ทุกคำเปลี่ยนไม่ได้เพราะเป็นวาจาสัจจะ

    เห็นเป็นอะไร เป็นสังขารธรรมไม่เที่ยง

    ได้ยินเป็นวิสังขารธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าได้ยินเกิดแล้วก็ดับ

    ความสุขเป็นวิสังขารธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะว่าความสุขก็มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    โกรธเป็นวิสังขารธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะมีปัจจัยเกิดขึ้นโกรธแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นธรรมเดียว ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และไม่เกิด คือนิพพาน เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็รู้ ขณะนี้นิพพานไม่ได้ปรากฏ เพราะต้องปรากฏกับปัญญาเท่านั้น และไม่ใช่ปัญญาขั้นฟัง และยังมีความสงสัยในสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพราะสภาพธรรมนั้นยังไม่ได้ปรากฏ ยังไม่ได้เกิดขึ้นให้เข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้นกว่าที่ปัญญาจะอบรมเจริญ ละคลายความไม่รู้ ในสังขารธรรมทั้งหลาย ที่กำลังปรากฏขณะนี้ ค่อยๆ คลายการที่เคยยึดถือ ว่าเป็นเรามานานแสนนาน จนกว่าปัญญาจะเกิดขึ้นตามลำดับ ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมด้วยปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ขั้นปริยัติแต่เป็นขั้นปฏิปัตติ ก็อีกนานกว่าจะถึงขั้นปฏิเวธ เพราะเป็นเรื่องละโดยตลอด ถ้าทำด้วยความอยาก ไม่มีทางที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะขณะนั้นเป็นความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา จึงอยากที่จะได้ผล อยากจะรู้สิ่งซึ่งตัวตนรู้ไม่ได้ ความเห็นผิดรู้ไม่ได้ อวิชชารู้ไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้

    ตอนนี้แยกได้แล้วใช่ไหมระหว่างสังขารธรรมกับวิสังขารธรรม และคำว่าอัตตากับอนัตตา อัตตาหมายความว่าสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะความจริง สภาพธรรมที่เกิดดับไม่ได้ปรากฏว่าเกิดแล้วดับ เพียงปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง และไตร่ตรองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี่ไม่เที่ยง เห็นก็ไม่เที่ยง อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นไม่เที่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจอย่างนี้ จึงจะเข้าใจความหมายของสังขารธรรม ไม่ใช่หมายความว่าร่างกายเป็นสังขารธรรม แต่เห็นไม่ใช่สังขารธรรม นั่นคือไม่ได้ฟังธรรม

    แต่ถ้าฟังธรรมคือสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัย เป็นสังขาก็เป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้นสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์ แต่ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา สังขารก็เป็นอนัตตาด้วย วิสังขารธรรมก็เป็นอนัตตาด้วย รวมความว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา สัพเพธัมมาอนัตตา สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตา เข้าใจยากมาก เพราะเหตุว่าแม้ว่าสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ก็ยังไม่เข้าใจโดยถ่องแท้ เพียงแต่ว่าได้ยินแต่ละคำ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจสิ่งที่ได้ยินว่าหมายความถึงเดี๋ยวนี้เอง แต่ต้องเป็นการพิจารณา ค่อยๆ พิจารณา อย่าไปคิดว่าเราเข้าใจแล้ว ว่าสิ่งที่ได้ฟังทั้งหมด เข้าใจหมด แต่ต้องพิจารณาว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ หรือเปล่า มีแน่นอน ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ภาษาไทยเราก็หมายความถึงว่า ศึกษาธรรมไม่ใช่ไปศึกษาเรื่องชื่อต่างๆ แต่ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ให้เข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะศึกษาธรรม เข้าใจธรรม ก็หมายความว่ารู้จักธรรมว่า หมายความถึงเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่กำลังมี แล้วศึกษาเพื่อเข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นขณะนี้ถ้าไม่เรียกว่าเห็น มีเห็นหรือไม่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเรียกก็มี นี่คือความจริง นี่คือสิ่งที่มีจริง ต้องเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานอย่างมั่นคงเลย ไม่ต้องเรียกก็มีสิ่งที่มีจริง จะบอกว่าไม่จริงได้ไหม จะบอกว่าไม่มีได้ไหม ไม่ได้ แต่ไม่ต้องเรียกก็ได้ใช่ไหม ขณะนี้กำลังเห็นจะเรียกชื่ออะไรดี จะใช้คำอะไรดีให้รู้ว่าหมายความถึงเห็นเดี๋ยวนี้ จะใช้คำอะไรดี ภาษาอะไรดี ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ พม่า ลาว เวียดนาม เขมร หรือว่าภาษาที่เราฟังแล้วเข้าใจ เพราะฉะนั้นคนไทยก็ใช้ภาษาไทย ไม่ต้องเรียนภาษาบาลีสักคำ แต่สามารถฟังธรรมให้เข้าใจได้ไหม

    ผู้ฟัง ที่เราเข้าใจก็น่าจะใช้ภาษาไทยได้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรอง ไม่ต้องเรียนภาษาบาลี แต่ว่าสามารถที่จะฟังธรรมให้เข้าใจได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือความตรง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงใช้ภาษาไหนเรียกก็ได้ แล้วแต่ว่า เขาเป็นผู้ที่ใช้ภาษาอะไร อย่างพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกเห็นว่า จักขุวิญญาณหมายความถึงสภาพรู้ที่อาศัยตา แต่คนไทยก็ไม่ต้องไปคิด ตามคำนั้นๆ นะคะ เราไม่ได้บอกว่าขณะนี้มีสภาพรู้ที่อาศัยตาใช่ไหม แต่เราบอกว่าเห็นใช่ไหม ก็หมายความอย่างเดียวกันใช่ไหม หรือว่าต้องพูดว่าจักขุวิญญาณ ไม่ต้องใช่ไหม เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมในภาษาของตนของตน เพื่อที่จะให้เข้าใจตามความเป็นจริง แต่ทั้งหมดต้องมาจากคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาภาษาบาลี ก็เกื้อกูลอนุเคราะห์ผู้ที่ใช้ภาษาอื่น มีการศึกษาบาลีเพื่อที่จะได้มีความสามารถที่จะแปลคำภาษาบาลีให้ถูกต้องไม่ให้คลาดเคลื่อน แต่ว่าถึงแม้ว่าจะแปลไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อน แต่ผู้เข้าใจธรรมก็รู้ เพราะเหตุว่าธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามความเป็นจริง ซึ่งในภาษาไหนก็ได้ ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจในภาษานั้น

    เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ก็คือฟังธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ในภาษามคธี ที่แต่ที่เราใช้คำว่าบาลี มาจากคำว่าปาละ ภาษาที่ดำรงความหมายของพระศาสนาซึ่งไม่ทำให้คลาดเคลื่อน แต่ว่าใช้ภาษาไหนก็ได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ขณะนี้มีเห็น เราเห็นมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เกิดมาก็เห็น กี่ชาติก็เห็น แต่ไม่เคยมีใครมาบอกเลยว่า เห็นเกิดแล้วก็ดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ทำให้เหมือนกับว่าเห็นไม่ดับเลย ถ้าเห็นนี้เกิดแล้วดับช้าๆ ก็รู้ใช่ไหมว่านี้เกิดแล้วดับ แต่เพราะเกิดดับเร็วจนสุดที่จะประมาณได้ เหมือนกับว่าไม่ได้ดับไปเลย อุปมาง่ายๆ จุดก้านธูปดอก ๑ แกว่งให้เป็นวงกลม มีแสงไฟที่ปรากฏเป็นวงกลม จากก้านธูปเพียงดอกเดียวใช่ไหมไม่ใช่มีหลายๆ ดอก แล้วทำให้เป็นวงขึ้นมา เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว พอที่จะเข้าใจว่าผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ รู้ว่าขณะนี้จิตเห็นเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะจิต ขณะเดียวเท่านั้น แล้วก็ดับ เร็วขนาดไหน เพราะขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่เห็น ถูกต้องหรือไม่ เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ ได้ยินจะเป็นเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามมีสภาพธรรมปรากฏเพียง ๑ หมายความว่า จิตนั้นเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นแล้วดับไป แล้วเวลาที่มีสิ่งอื่นปรากฏ ก็ต้องหมายความว่ามีธาตุรู้หรือจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น พร้อมกันไม่ได้เลย เพราะว่าตามความเป็นจริงของจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับ ถ้าจิตนั้นยังไม่ดับไปจิตอื่นจะเกิดสืบต่อจากจิตนั้นไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    22 ต.ค. 2567