ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
ตอนที่ ๘๑๑
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ จะมีสิ่งใดที่ประเสริฐเท่ากับความเห็นถูก ความเข้าใจถูกความรู้ถูกในสิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม จุดประสงค์คือเพื่อเข้าใจถูก ใครเข้าใจ ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดจริงๆ ซึ่งกำลังได้รับมรดกจากคำที่ได้ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา คือความเข้าใจของใครกำลังมีเกิดขึ้นในขณะนี้ นั่นคือสิ่งซึ่งเป็นมรดกได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นทายาทของพระธรรม เพราะเหตุว่าถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์เลย ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครจะบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ว่าพอฟังพระธรรมไม่เข้าใจ จะคิดหรือว่าพระองค์เป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้จึงได้ทรงแสดงอย่างนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้
เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เข้าใจ เริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระปัญญาคุณว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนกระทั่งตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งขณะนี้กำลังเกิดดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ จนไม่ปรากฏการดับของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เพราะว่าสืบต่ออย่างเร็ว จากเห็นเป็นได้ยิน เป็นคิดนึก เป็นสุขเป็นทุกข์ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็คือว่า เข้าใจเมื่อไร รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น แต่ถ้าไปฟังคำอื่นที่ไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพูดถึงสิ่งที่มีจริง ให้คนที่ฟังไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ทุกครั้งที่ฟัง พระธรรมยาก เพราะฉะนั้นก็คิดว่า สิ่งที่ปรากฏมาโดยตลอดแล้วเรา เราคือผม มีเราอีกแล้ว
ท่านอาจารย์ มีทุกคนจนกว่าจะเป็นพระโสดาบัน ถึงเป็นแล้วก็ต่างกับคนอื่นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง จึงต้องมีคำที่ใช้ ผู้ที่รู้แล้วพูดว่าเรา แต่รู้ว่าเราหมายความถึงอะไรไม่ได้หมายความถึงคนอื่น แต่ผู้ไม่รู้ และเข้าใจผิดก็ยึดถือว่ามีเราจริงๆ ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง คือไม่ต้องบอกว่าเราหรอก แต่มันก็เราอยู่นั้น
ท่านอาจารย์ พูดก็ได้ ไม่ได้หมายความถึง คุณปริญญาเวลาคุณวีระพูดคำว่าเราก็คือคุณวีระไม่ใช่คุณปริญญา ถ้ามีความเข้าใจว่าเป็นธรรม ต่างก็เป็นธรรมทั้งหมด แม้ไม่ต้องมีชื่อเลยก็เป็นธรรม
จะเห็นตรงไหนบนสวรรค์ นรก มนุษย์ ใต้น้ำ เป็นปลา เป็นงู เห็นอะไร เห็นก็เป็นเห็นไม่มีใครเห็น ไม่ใช่เรา แต่เวลาที่จะพูดหมายความถึงขันธ์ไหน สิ่งไหนอะไรที่เกิดขึ้นก็ต้องกล่าว มีเรา มีเขา เห็นตรงนี้กับเห็นตรงโน้น ไม่ใช่เห็นอันเดียวกัน
ผู้ฟัง เราคุ้นเคยว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ นี่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สุขทุกข์เศร้าโศกเพราะเรื่องราวต่างๆ เพราะชื่อต่างๆ ชื่อมีมากเหลือเกินเลยทำให้เราคุ้นเคยกับชื่อต่างๆ เหล่านั้นเลยลืมสภาพที่ว่าท่านบอกว่านี่เป็นธรรม ลักษณะนี้ คิดว่าลักษณะ เรียกได้เลยว่าโง่
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ใช่คุณวีระ แต่เป็นอวิชชา ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็นโมหะ แต่ถ้าภาษาไทยก็คือไม่รู้ความจริง
ผู้ฟัง แต่เราก็ฟังธรรม
ท่านอาจารย์ ฟังชื่อ พูดเรื่องตา รู้ความจริงของตาซึ่งกำลังเกิดดับหรือเปล่า พูดเรื่องหูได้ยินดับแล้ว หมดแล้วไม่ทันจะรู้ เพราะฉะนั้นฟังเป็นปริยัติ หมายความว่าฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อรอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟังอย่างมั่นคงขึ้น ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ฟังช้าๆ กำลังกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงนี่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ หลากหลายมากจึงเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าธรรม หรือใช้คำว่าธาตุ ทา- ตุ แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย กำลังพูดถึงสิ่งที่มี และไม่มีใครเป็นเจ้าของ และสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นจากไม่มีเสียง และเสียงปรากฏ ต้องมีธาตุที่ได้ยิน เสียงจึงปรากฏได้ถ้าไม่มีสภาพรู้ หรือธาตุรู้ เสียงก็ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะที่เสียงปรากฏลืมว่ามีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นธรรมจะปราศจาก ธาตุคือ ธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้เลย แต่เมื่อมีธาตุรู้เกิดแล้วเห็นจำได้ นึกถึงธาตุรู้ทั้งหมดเลยตั้งแต่เกิดจนตายใช้คำว่าจิต หรือจิตตะ หมายความถึงสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นเดียวนี้ ลืมตาเห็นแล้ว ไม่ให้เห็นได้ไหม ไม่ได้เป็นธาตุที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปวาดภาพออกมาเป็นคนๆ เป็นดอกไม้ เป็นแจกัน แต่มีจริงๆ กระทบตาแล้วปรากฏว่าสีสันวรรณะขณะนี้เป็นอย่างนี้ นี่คือธาตุ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธาตุ สิ่งที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธาตุ แม้คิดนึกก็เป็นธาตุ ทั้งหมดเป็นธาตุหรือธรรม คือ สิ่งที่มีจริงเพื่อที่จะได้รู้ว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนื่งสิ่งใดที่เที่ยง ก็เพราะสิ่งนั้นเกิดดับสืบต่อเหมือนไม่ได้ดับไปเลย ยากไหม ลึกซึ้งไหม
ผู้ฟัง ลืกซึ้ง
ท่านอาจารย์ ไม่มีคำว่าง่าย
ผู้ฟัง ก็เมื่อสักครู่ก็มีสิ่งที่ปรากฏอยู่
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้แล้ว
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องความไม่รู้เมื่อสักครู่ขณะนี้ ขณะนี้ที่เห็นข้ามไปเลย
ท่านอาจารย์ ข้ามไปตลอดเพราะขณะนี้ คิดจึงพูดใช่ไหม
ผู้ฟัง คิดก็พูดออกมา
ท่านอาจารย์ แล้วเสียงก็ดับไปแล้วใช่ไหม
ผู้ฟัง ดับไปแล้ว
ท่านอาจารย์ แล้วคิด ที่คิดถึงเสียงน้ันก็ดับแล้วใช่ไหม แล้วมีเสียงใหม่ ก็คิดใหม่แล้ว
ผู้ฟัง แต่เสียงเมื่อสักครู่ก็ไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเกิดดับโดยไม่รู้เลย สืบต่อจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดดับ แต่ขณะนนี้โลกคือโลกะคือสิ่งที่เกิดดับขึ้นทันที
ผู้ฟัง แล้วเราจะฟังเพื่อจะให้รู้
ท่านอาจารย์ รู้ความจริงเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนี้
ผู้ฟัง ทราบว่าความจริงเป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนแปลงได้ไหมก็เป็นเจ้าของอะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง มาแล้วก็ไปแล้ว ก็มาแล้วไปไม่เหลือเลยไม่เป็นเจ้าของ
ท่านอาจารย์ ไม่เหลือเลยไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีก
ผู้ฟัง แต่ว่าความจริงเป็นของใคร ไม่มีเลย
ท่านอาจารย์ ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจทีละคำ เคยได้ยินชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่าทีปังกรไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ แล้วเคยได้ยินชื่อสุเมธดาบสไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ เป็นใครคะ คุณคำปั่น
อ.คำปั่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต ส่วนท่านสุเมธาดาบสก็คือผู้ที่สะสมบารมี แล้วก็ได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ท่านผู้นี้คือท่านสุเมธาดาบสในอีก ๔ อสงไขยแสนกัปก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม
ท่านอาจารย์ คนในยุคนั้นฟังแล้ว ปลาบปลื้มดีใจว่าถ้าเขาไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในสมัยของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รู้ความจริงในสมัยของพระสมณโคดมคือท่านสุเมธดาบสอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เพราะฉะนั้นเราอยู่ที่ไหนสมัยโน้นแล้วถ้าสมัยนี้เราไม่ได้ฟังธรรมเลยจะอยู่ไปอีกเกิน ๔ อสงไขยแสนกัปป์
ผู้ฟัง จะมากกว่านั้น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมเลย
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หมายความถึงว่า เข้าใจว่าสุเมธดาบสนี่ท่านต้องใช้เวลามากมายทีเดียวเลยซึ่งเราไม่สามารถจะคิดได้
ท่านอาจารย์ เคยได้ยินชื่อพระสารีบุตร หรือไม่
ผู้ฟัง เคยได้ยิน
ท่านอาจารย์ ท่านพระสารีบุตร เป็นใคร
อ.ธีรพันธ์ ท่านพระสารีบุตรก็เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา ท่านได้ตั้งความปรารถนาที่จะเป็น พระอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญา ในสมัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอโนวาทศรี เป็นเวลาหนึ่งอสงไขยแสนกัปป์
ท่านอาจารย์ ถ้าจะกล่าวถึง ๒๕๐๐ กว่าปี ถอยไปทีละร้อยปีนี้คงไม่นานเท่าไหร่ ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ และรู้แจ้งสัจธรรม แต่ก่อนนั้น นานเท่าไหร่ กว่าจะได้มีความเข้าใจในพระธรรมในชาติที่ท่านได้รู้ความจริง และชาตินี้ท่านกำลังอยู่ในสมัยของพระสมณโคดม จะต้องบำเพ็ญความเข้าใจถูกความเห็นถูกไปอีกนานเท่าไหร่ไม่สำคัญเลย สำคัญว่ากำลังฟังขณะนี้เข้าใจหรือไม่
ถ้าเข้าใจก็คือจุดเริ่มต้นของการที่จะเข้าใจยิ่งขึ้นๆ แต่ต้องตรง ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง และก็สิ่งนี้ก็กำลังมีปรากฏให้เข้าใจถูกต้อง เห็นขณะนี้ไม่ใช่เห็นขณะก่อน ถ้าไม่ได้ฟังบ่อยๆ ก็ลืม ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ได้ยินเมื่อครู่นี้เลย ก็ฟังบ่อยๆ การฟังบ่อยๆ จนกว่าจะคุ้นเคยกับธรรมว่า นี่คือสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา สะสมการละคลายความไม่รู้ และความติดข้องรวมทั้งความต้องการที่จะรู้ที่จะถึง
ยุคนี้สมัยนี้คนคิดว่าจะสละละดับกิเลสที่สะสมมานานได้เร็วเพียงไม่ทำอะไรเลย นอกจากนั่งนิดหน่อย เดินไปบ้าง ทำอะไรบ้าง แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วก็เป็นการหันหลังให้พระสัทธรรมไม่รู้ว่าหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือหนทางที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเริ่มตั้งแต่ปริยัติคือการเป็นผู้รอบรู้ในการฟังพระพุทธพจน์
พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกไม่ใช่มีไว้สำหรับเพียงให้อ่าน แล้วไม่รู้เรื่องแต่ต้องมีความเข้าใจแต่ละคำ เช่นคำว่าธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นแล้วพระผู้มีพระภาคจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็นเดี๋ยวนี้ว่าเกิดขึ้น และดับไป และประจักษ์ความจริงยิ่งกว่าใครทั้งหมดคือสามารถที่จะรู้ได้ว่าจิตเห็นขณะนี้ ประกอบด้วยสภาพธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นซึ่งเป็นนามธรรมแต่ไม่ใช่จิต
สภาพธรรมซึ่งเกิดกับจิตอาศัยจิตเกิดขึ้น และจิตก็อาศัยสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นก็คือเจตสิก เพราะฉะนั้นจิตเห็นขณะนี้ เป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็นเกิดพร้อมกับเจตสิกเท่าไหร่ โดยปัจจัยอะไร โดยฐานะอะไร นี่คือการที่ได้ทรงแสดง ความจริงให้ผู้ที่ฟังค่อยๆ เข้าใจว่าไม่มีเรา แล้วก็คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา จนกว่าจะรู้ขึ้นค่อยๆ คลายความไม่รู้ไป จนสภาพธรรมประจักษ์ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะถึงขณะที่กำลังรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ได้
ผู้ฟัง การที่จะฟังคำแต่ละคำ หรือฟังเสียงแต่ละเสียงนี่ ถ้ามีเสียงอื่นแทรกขึ้นมาความคิดของเราไปกับเสียงอื่น แล้วก็คิด ว่าฝนตกแล้วเดี๋ยวจะกลับอย่างไร แล้วก็ลืมคำที่ท่านอาจารย์พูด แต่ก็พยายามทวนกลับมาแต่เสียงนั้นก็ไปแล้ว เสียงฝนมาใหม่อีกแล้ว อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นนี่ นั่นคือความคุ้นเคยกับความเห็นผิดเลย
ท่านอาจารย์ กับความจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตสัญญา แต่ความจริงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม แสดงอยู่ตลอดเวลาว่าทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในห้องนี้ ได้ยินเสียงฝนจำได้ด้วยว่าเป็นเสียงฝน เพราะฉะนั้นขณะนั้น เห็นความเป็นอนัตตาไหมว่าไม่ได้ตั้งใจจะได้ยินเสียงฝนเลย อยู่ในห้องนี้ก็มีเสียงฝนเกิดขึ้น และก็กำลังได้ยินเสียงฝน แล้วยังคิดต่อไปอีกมากมายซึ่งแสดงความคิดว่าแต่ละคนเดี๋ยวนี้ คิดต่างกันหมด ไม่เหมือนกันเลย คุณวีระคิดถึงเสียงฝน คุณคำปั่นคิดถึงอะไร คุณธีรพันธ์คิดถึงอะไร ทุกคนในห้องคิดถึงต่างๆ กันไปตามการสะสมแสดงความเป็นอนัตตาว่าบังคับไม่ได้ ไม่ให้ได้ยินเสียงฝนก็ไม่ได้ ได้ยินแล้วที่จะไม่คิดว่าจะกลับบ้านอย่างไรก็ไม่ได้ ทั้งหมด เป็นอนัตตาทุกขณะ แต่ไม่เคยสนใจไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วหามีเราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ มีแต่ธรรมทั้งหมด ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย
ผู้ฟัง เหมือนกับว่า รู้สภาพนั้นเป็นธรรม และธรรมนั้นปรากฏคุ้นเคยที่จะรู้จักลักษณะปรากฏของธรรมทุกสิ่ง
ท่านอาจารย์ ยังไม่คุ้นเคย คุ้นเคยกับความเป็นเสียงฝน คุ้นเคยกับเราจะกลับบ้านยังไง คุ้นเคยกับห้อง คุ้นเคยกับเรื่องทั้งหมดเลย ยังไม่คุ้นเคยกับลักษณะที่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วก็หมดไป รวดเร็วมากยังไม่คุ้นเลย ฟังธรรมเพื่อเมื่อไหร่จะคุ้นเคย ถ้าคุ้นเคยแล้วขณะนี้เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏ แต่ยังไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับได้เพราะเหตุว่ายังไม่ได้อบรมการคุ้นเคยกับความไม่ใช่เราจนกระทั่งคลายความยึดมั่น ไม่ว่าอะไรก็ตามทั้งหมดเป็นธรรมจนกว่าปัญญาจะอบรมเจริญขึ้นตามลำดับขั้น
ผู้ฟัง ฉะนั้นเมื่อมีธรรมเกิดขึ้นอีกแล้ว ก็ไม่ต้องหนักใจอีกแล้ว ๔อสงไขย แสนกัปป์ยังสั้นมาก
ท่านอาจารย์ นี่คือคิด ไม่ใช่เห็นไม่ใช่ได้ยินแต่คิด เพราะฉะนั้นความคิดก็หลากหลาย การคุ้นเคยกับคำมาต้องมีหลายระดับ ระดับปริยัติคุ้นเคยกับเรื่องชื่อต่างๆ ซึ่งกล่าวถึงธรรมทั้งหมดให้รู้ว่าไม่ใช่เป็นชื่อแต่เป็นสิ่งที่มีจริง นี่คือคุ้นเคยกับการที่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแม้ไม่เรียกชื่อเลยก็มี ไม่ต้องพูดว่าเห็น ไม่ต้องพูดว่าคิด ไม่ต้องพูดว่าจำ เป็นธรรมทั้งหมดแต่ ไม่คุ้น คุ้นเคยกับชื่อ กับเรื่องทั้งหมด เพราะฉะนั้นกว่าจะคุ้นเคยในขั้นการฟังปริยัติก็จะต้องรู้ว่าฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ว่ากำลังฟังเรื่องธรรมหรือไม่ได้ฟังเรื่องธรรม ถ้าพูดเรื่องอื่น ก็รู้ว่าคนนั้นไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ให้เข้าใจถูกต้อง
เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความรู้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่ใช่ธรรม ฟังเรื่องอะไรสิ่งที่ฟังนี่นำไปสู่การที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า นี่คือกว่าจะคุ้นเคยจนกระทั่งรู้ว่าอะไรเป็นธรรม เรื่องไหนเป็นธรรม และสามารถที่จะเข้าใจธรรมขึ้นได้ไหม ถ้าคุ้นเคยอย่างนี้ขึ้น เป็นปริยัติรอบรู้อย่างมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะถึงระดับขั้นของปฏิปัติ การถึงเฉพาะด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูกซึ่งได้เข้าใจอย่างมั่นคงแล้วจากปริยัติจึงสามารถที่จะกำลังเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ แล้วรู้ด้วยขณะที่กำลังเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา เพราะว่าเป็นผู้ที่มั่นคงในปริยัติแล้วว่าไม่มีเรา ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้ายังไม่คุ้นเคยกับการที่จะรู้ว่าแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมจะไม่มีการที่สามารถจะรู้ว่าที่กำลังเข้าใจถูกในแต่ละหนึ่ง ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนั้นไม่ใช่เราเลย เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตาด้วย นี่คือหนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ซึ่งลึกซึ้งพระผู้มีพระภาคตรัสว่าอริยสัจทั้ง ๔ ลึกซึ้ง ไม่ใช่เฉพาะนิโรธอริยสัจซึ่งหมายความถึงนิพพานที่ลึกซึ้ง แต่ทั้ง ๔ อริยสัจลึกซึ้ง หนทางที่จะทำให้รู้ความจริงเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง จริงขณะนี้ก็ลึกซึ้งด้วย ถ้าไม่ฟังอย่างนี้จะไม่เข้าใจในความลึกซึ้งเลยคิดว่าไปนั่งทำอะไรก็จะสามารถรู้ได้ แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็ใช้คำเพื่อจะให้เรานี่ฟังแล้วเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพูดถึงเห็นทุกทีเลย ใครที่ไปมูลนิธิ ก็จะได้ยินว่าเดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นอะไร เตือนแล้วใช่ไหม ว่าเห็นไม่ใช่เราใช่ไหม เพราะพูดถึงเห็น และเห็นอะไรก็ต้องรู้ด้วยว่าไม่ใช่ได้เห็นคนสัตว์อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะแค่หลับตาก็ไม่มีแล้วสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ปรากฏแต่พอลืมตามีสิ่งที่ปรากฏแต่ก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพที่เป็นธรรมซึ่งเป็นเพียงธาตุที่สามารถกระทบตา และปรากฏให้เห็น แล้วก็เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้
กว่าจะเป็นคนแต่ละคนคิดดู หลากหลายมาก เป็นดอกไม้แต่ละชนิดเป็นสิ่งของต่างๆ นี่จิตเกิดดับเท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้นจะประมาณไม่ได้เลย ว่าจะละคลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน อย่างหนาแน่นมากเลยเมื่อไหร่ แต่อาศัยการฟังเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ถ้าจะอุปมาความไม่รู้ซึ่งมีมาเนิ่นนานหลายแสนโกฏิกัปป์หนาแน่นสักเท่าไหร่ เหนียวสักเท่าไหร่ หนักสักเท่าไหร่ แล้วจะให้หมดไปไม่ยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏเพราะรู้ความจริงจะต้องอาศัยกาลเวลาที่เป็นผู้ตรง สัจจบารมีหมายความว่าถ้าไม่มีบารมีคือ คุณความดีความเห็นถูกในเรื่องการที่จะเข้าใจความจริงว่าความจริงต้องเป็นความจริงอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น
ถ้าไม่มีความอดทน ขันติบารมีก็ไม่มีทางที่ฟังอย่างนี้ และสามารถจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งซึ่งเป็นจริงอย่างนี้ แต่เพราะเหตุว่าอกุศลที่สะสมมามากอกุศลทุกประเภทไม่สามารถรู้ความจริงของธรรมได้ อวิชชาความไม่รู้เป็นเหตุของความติดข้อง และนำมาซึ่งอกุศลทั้งหมดทุกประเภท เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งหลายจะหมดสิ้นหรือคลายไปได้ก็ต้องเพราะความรู้ แต่ถ้ายังไม่มีความรู้เลยก็ไม่มีทางก็เพิ่มความหนาแน่นมากขึ้น
เพราะฉะนั้นการฟังประโยชน์จริงๆ ก็คือว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระมหากรุณาคุณที่ทรงกล่าววาจาสัจจะให้ทุกคนได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจแล้วก็เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิเช่นนั้นก็หันหลังให้พระสัทธรรมได้ยินแต่ชื่อ แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใกล้ เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจในพระปัญญาคุณ
ผู้ฟัง ฟังมากมายไม่ได้เข้าใกล้พระพุทธเจ้าเลย
ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าเป็นใคร
ผู้ฟัง คือท่านก็มีพระคุณกับเรา
ท่านอาจารย์ มีพระคุณตอนไหน
ผู้ฟัง ตอนที่เราเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เข้าใจขณะนั้นแหละเห็นพระคุณ รู้จักเลยว่านี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยขณะที่เข้าใจ
ผู้ฟัง ตอนนี้ใกล้แล้วใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ฟ้ากับดินไกลกันเท่าไหร่ เราอยู่ที่ไหนพระสัมมาสัมเจ้า พระปัญญาคุณ ห่างจากความไม่รู้แค่ไหน เพราะฉะนั้นโอกาสเดียว ที่จะมีโอกาสเหมือนกับได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมไม่ว่าที่ไหน เพราะพระธรรมคือคำที่ได้ตรัสแล้ว เมื่อมีคำคือพระสุรเสียงที่ได้ตรัสแล้วกล่าวถึงความจริงเมื่อไหร่ตรงนั้นแหละคือที่ ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้เข้าใจในพระคุณแม้ว่าจะไม่เห็นพระรูปกายเลย แล้วก็ฟังไป ฟังไปไม่ต้องไปคิดว่าจะรู้ความจริงเมื่อไหร่ เพราะว่า อวิชชารู้ไม่ได้เลย แต่พอเริ่มเข้าใจความจริงก็รู้ว่าความจริงทีละเล็กทีละน้อยนี่แหละจะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
อ.คำปั่น และที่สำคัญ ธรรมเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ เข้าใจยากเพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งก็มีข้อความในอรรถกถาที่อุปมาให้เห็นชัดนะครับ ว่าจะยากเพียงใดเปรียบเหมือนกับ เมล็ดพันธุ์ผักกาดถูกบังด้วยภูเขา แสดงถึงความยากที่จะเห็นถึงความเป็นจริงของธรรมว่าต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานจริงๆ ในการที่จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจจากการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังความจริงไปทีละเล็กทีละน้อย เริ่มต้นกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ความดีก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ความไม่ดีก็มีจริงๆ ทั้งความติดข้อง ทั้งความขุ่นเคืองใจไม่พอใจเป็นต้น ยังไม่เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840