ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812


    ตอนที่ ๘๑๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

    วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    อ.คำปั่น ยังไม่เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรม ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี กราบเรียนท่านอาจารย์ในส่วนนี้

    ท่านอาจารย์ ทะเลสวยไหม

    อ.คำปั่น สวย

    ท่านอาจารย์ ดีไหม

    อ.คำปั่น ขณะนั้นก็ติดข้องก็ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ อาหารอร่อยมากเมื่อสักครู่นี้ดีไหม ชีวิตประจำวันแท้ๆ แล้วใครรู้ แสวงหาเพราะติดข้อง แต่ไม่รู้ว่าถ้าไม่ติดข้องเลย ลองคิด ไตร่ตรองจริงๆ ว่าดีกว่าไหม แค่คิด และถ้าเป็นจริง จะเป็นอย่างไร แล้วกว่าสัตว์โลกจะเข้าใจได้ว่าแท้ที่จริงแล้วทุกข์ทั้งหมดมาจากความติดข้อง ไม่ว่าทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ตอนที่ติดข้องไม่รู้ว่าไม่ดี แต่เวลาที่เป็นทุกข์ เข้าใจว่าความทุกข์ไม่ดี แต่หารู้ไม่ว่าความติดข้องไม่ดี จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แค่นี้ก็ต้องฟังมากๆ จนกระทั่งเข้าใจถึงเข้าใจแล้วผู้ที่จะดับความติดข้องได้หมดสิ้นคือพระอรหันต์

    ไกลกันแค่ไหนกับความไม่รู้ แต่จะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราพยายามอย่างยิ่ง อย่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน จะไปไม่ให้ความติดข้องเกิดขึ้น เสียเวลา เพราะเหตุว่าอย่างไรๆ ตราบใดที่ยังไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะไม่ติดข้องได้ แค่เห็นก็ไม่รู้แล้วว่าติดแล้ว ใครรู้ ถ้าไม่ได้ทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นทั้งวันติดข้องแค่ไหน แต่ขณะที่ฟังธรรมเริ่มเข้าใจ นั่นแหละเริ่มเข้าใจถูกต้อง

    อ.คำปั่น ความติดข้องความพอใจนำมาซึ่งทุกข์ ขณะที่ติดข้องพอใจก็ชอบความรู้สึก ก็รู้สึกว่าสบายใจด้วยในขณะนั้นที่เป็นโสมนัส

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้ว ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ลืมแล้ว เห็นไหม ว่าความติดข้องก็เป็นธรรม สุขก็เป็นธรรม ทุกข์ก็เป็นธรรม ทุกอย่างก็เป็นธรรม ฟังแล้วเมื่อไหร่ที่จะสะสมอยู่ในใจ จรดเยื่อในกระดูก ที่มั่นคงจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมก่อนที่จะไปรู้ลักษณะของธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน กว่าความเป็นธรรมจะเปิดเผยลักษณะที่แท้จริง คือขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่หลายๆ อย่างรวมกัน เพราะขณะนี้รวมกันหมดเลย ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน แล้วจะไปรอบรู้หรือรู้ชัดในอะไรได้สักอย่าง ต่อเมื่อไหร่สามารถที่จะถึงการที่เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตาเพราะละคลายความติดข้อง เพราะค่อยๆ ให้ความจริงโดยไม่ลืมในความเป็นธรรมว่าสิ่งที่มีจริงสวยน่าพอใจก็เป็นธรรม ติดข้องก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นฟังแล้วยังไม่ได้เป็นธรรม จนกว่าจะเข้าใจขึ้นตามลำดับทีละเล็กที่ละน้อย

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเพียงได้ฟังแล้วก็จะสามารถละกิเลสได้ ปัญญาขั้นฟังไม่พอที่จะละกิเลสใดๆ ได้เลย เป็นความเห็นถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่การรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไหร่ การละคลายกิเลสก็จะค่อยๆ เริ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ละคลายในขั้นฟัง ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพราะว่าเดี๋ยวนี้เห็นเป็นธรรม ทะเลสวย เป็นธรรมหรือไม่ เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อเห็น สิ่งที่ปรากฏก็มีจริงเป็นธรรม เห็นก็มีจริงเป็นธรรม ติดข้องก็มีจริงเป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธรรมเมื่อไหร่เมื่อนั้นคุ้นเคยกับธรรมในขั้นฟัง เพียงในขั้นฟัง จนกว่าจะอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังมีความเข้าใจมาก่อน จะมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้เข้าใจอย่างไรได้ เช่นแข็งขณะนี้ ถามใครก็แข็ง เด็กก็แข็ง ตอบได้ว่าแข็ง แต่ความเข้าใจอยู่ที่ไหน เป็นธรรมตรงไหน เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตาอย่างไร ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยอย่างไร ก็ไม่มีความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น

    แต่การฟังที่เข้าใจธรรมก็รู้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มี ปกติธรรมดาเหมือนเดิม แต่เดิมไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เดิมไม่เข้าใจ ปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งกว่าจะคุ้นเคยในความเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมมก่อน นั่นคือความรอบรู้ในปริยัติ ซึ่งเป็นสัจญาณซึ่งจะนำไปสู่กิจญาณหรือปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ถ้าไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น จะไม่สามารถมีปัญญาซึ่งสามารถที่จะเจริญขึ้น จนถึงการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง และรู้ว่าเป็นจริงตามที่ได้ฟังทุกคำ

    ผู้ฟัง ตอนนี้สิ่งที่กำลังปรากฏ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง เห็นมีจริง

    ท่านอาจารย์ เวลาเห็นต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มีใครไปทำให้เห็นเกิดรึเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาถ้าไม่มีจะปรากฏให้เห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีจริง ชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแต่ละทางด้วย ทางตา ไม่ใช่เสียง แต่ว่ามีสิ่งที่ทันทีที่ลืมตาก็มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ความรวดเร็วของสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏเหมือนพร้อมกับรูปร่างสัณฐานเลย จำได้เลยว่าเห็นอะไรทันที แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงการเกิดขึ้นของจิตหนึ่งขณะ แล้วก็ดับสืบต่อกันตามลำดับกว่าจะเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือความต่างกันมากของการได้ฟังพระธรรม กับการที่ไม่ได้ฟังพระธรรมก็คิดว่าพอเห็นก็รู้เลยว่าเห็นอะไร และเหมือนกับว่าทั้งเห็นทั้งได้ยินด้วย และก็ยังคิดด้วยในขณะที่เห็นได้ยิน นี่แสดงให้เห็นว่าการเกิดดับสืบต่อของสิ่งที่มีจริงเหมือนมายากลซึ่งยิ่งใหญ่กว่านักเล่นกลทั้งหลาย เพราะเหตุว่าความรวดเร็วของการเกิดดับสามารถที่จะทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ และก็ยึดถือในความที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะว่านักเล่นกลเขาแสดงสิ่งซึ่งเหมือนจริงใช่ไหม แต่ว่าจะเป็นจริงได้อย่างไร หยิบนกออกมาจากหมวกได้หรือ แต่ว่าเหมือนเป็นอย่างนั้น แต่ว่าจิตรวดเร็วกว่านั้นกี่เท่านับประมาณไม่ได้เลย จนปรากฏเป็นนักเล่นกล และก็กำลังแสดงกิริยาอาการท่าทางอย่างนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้นทุกๆ ขณะในขณะนี้ก็เป็นสิ่งซึ่งกำลังเกิดดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ค่อยๆ ไตร่ตรอง ว่าทำไมเราไม่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะเร็ว เห็นขณะนี้ ตั้งกี่ขณะนับไม่ถ้วน กว่าจะปรากฏเป็นสิ่งที่กำลังเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ ฟังไว้ก่อนแล้วค่อยๆ ไตร่ตรองว่าเพียงแค่หลับตาทำไมไม่มีอะไร แต่พอลืมตาทันที เหมือนมีคนไม่ใช่คนเดียวด้วย มากมายด้วย และไม่ใช่มีแต่คนด้วย มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ด้วย แต่ที่เป็นความจริง เมื่อรู้ก็คือว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏกับจิตเห็น แต่ไม่ใช่จิตที่คิดนึก ขณะที่คิดนึกไม่ต้องเห็นก็ได้ จำสิ่งที่เคยเห็นแล้วก็คิดนึก อย่างเสียงฝนเมื่อสักครู่นี้ แค่เสียงก็เป็นเสียงฝนเพราะจำ คิดนึกถึงเสียง แต่เสียงที่ปรากฏดับแล้ว และจิตก็คิด

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ทางที่จะรู้สิ่งที่มีจริงๆ ในแต่ละวันได้ มี ๖ ทาง ทางตาหนึ่ง ทางหูหนึ่ง ทางจมูกหนึ่ง ทางลิ้นหนึ่ง ทางกายหนึ่ง ทางใจหนึ่ง ไม่พ้นไปได้เลย นอนหลับสนิท มีอะไรปรากฏไหม ไม่มีเลยใช่ไหม จำได้ไหมว่าชื่ออะไรอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้แน่นอน มีญาติพี่น้องกี่คน

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ เพราะหลับ

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีจิต เพราะยังไม่ตาย นี้แสดงความต่างของจิตที่ยังเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของธรรมทั้งตื่น และหลับ ตั้งแต่เกิดจนตายว่าเป็นธรรมทั้งหมดแล้วก็เป็นธาตุแต่ละธาตุซึ่งเพียงฟังวันนี้ก็ทราบว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นด้วย เปลี่ยนแปลงหยุดไม่ให้เกิดก็ไม่ได้เลย จะไม่ให้เห็นไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่เห็นจะต้องเกิด

    เพราะฉะนั้นทราบได้เลยว่า ทุกอย่างนี่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่ามีเราที่ทำได้ มีเราที่ลืมตาแล้วก็หลับตา แต่ลืมตาไม่ใช่เรา หลับตาก็ไม่ใช่เราเพราะถ้าไม่มีรูป ลืมตาได้ไหม หลับตาได้ไหม ไม่มีจิตที่คิดจะลืมตา ตาก็ไม่ลืม ถ้าไม่มีจิตคิดที่จะหลับตาก็ยังคงลืมตาอยู่ ก็เป็นธรรมทั้งหมดให้ทราบว่าทุกวัน ทุกขณะ มีแต่ธรรม หมายความว่าสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ค่อยๆ เข้าใจธรรมไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมั่นคง

    . คำปั่น เพราะฉะนั้นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดย นัยยที่หลากหลาย มากมาย แต่ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจถึงความจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเคยได้ยินมาก่อนไหมว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ หมายความว่า ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะเหตุว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสองสามเดือนก่อนได้ยินมาแล้ว ก็คำนั้นแหละเพิ่งได้ยินต่างจากคำก่อนๆ ที่เคยได้ยินทั้งหมด เพราะฉะนั้นเกิดมาก็ได้ยินคำมากมายหลายเรื่อง แต่คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคนนั้นก็เข้าใจได้ว่า ต้องพูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ จึงเข้าใจความหมายของคำที่เริ่มต้นว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ต้องต่างกับคำของบุคคลอื่นทั้งหมด เพราะเหตุว่าจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริง เพราะก่อนนั้นถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ผมนายไกรสิงห์ มิตรดี เป็นคนอำเภอหัวหินโดยกำเนิด ขอถามว่า คำว่าดวงตาเห็นธรรม หมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ตาที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นดวงตาเห็นธรรมหมายความถึง รู้ว่าธรรมคืออะไรก่อน ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไรจะไปเห็นอะไร เพราะฉะนั้นขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ มีจริงๆ เป็นธรรม แต่ก็ยังไม่เห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงว่าสิ่งที่มีจริงนี้ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นดวงตาที่นั่น คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ถึงระดับขั้นที่เป็นปัญญาที่สามารถรู้เฉพาะสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่กำลังเกิด และดับ เพราะว่าขณะนี้ เห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง ได้ยินก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เกิดไม่พร้อมกัน คิดนึกก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะเห็นธรรมก็คือเห็นธรรมหนึ่ง ซึ่งเกิด และดับ จึงสามารถที่จะรู้ว่านั่นแหละไม่ใช่เราแล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย เพราะฉะนั้นความเห็นถูกความเข้าใจถูกในขั้นฟัง เพียงเริ่มที่จะรู้ว่าธรรมเป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ แต่เมื่อได้อบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นในแต่ละธรรม วันนี้มีธรรมมากไหม

    ผู้ฟัง มาก

    ท่านอาจารย์ นับไม่ถ้วนถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้ว ดับแล้วไม่รู้เลย แต่เกิดแล้วดับแล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ แต่มี เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าการเริ่มต้องรู้ว่ามีธรรมซึ่งเกิดดับ ยังไม่ใช่ดวงตาเห็นการเกิดดับของธรรม แต่กำลังเป็นความเริ่มเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และเห็นธรรมคือดวงตาเห็นธรรมคืออะไร มิฉะนั้นถ้าคนอื่นบอกว่าดวงตาเห็นธรรมไปเห็นอย่างอื่น ไปเห็นแสงสว่างไปเห็นอะไรต่ออะไรแต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นธรรมใช่ไหม คนนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ถ้าเห็นธรรมก็ต้องเป็นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง สิ่งที่ล่วงไปแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก ไม่สามารถที่จะไปตามรู้ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ไม่รู้ว่าขณะต่อไปอะไรจะเกิด

    ไม่มีใครรู้เลย จะคิดด้วย หรือจะได้ยิน หรือจะรู้แข็งหรือจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ไม่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดยังไม่มาถึงนั้นเป็นอะไร ด้วยเหตุนี้ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งนี้เกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นต้องมีปัจจัย อาศัยสิ่งที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นสิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น เช่นเสียงมีต้องอาศัยหู โสตประสาท และถ้าเสียงไม่กระทบหู ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เราไม่ได้ ได้ยินตลอดเวลา

    แต่ขณะใดที่ได้ยินเสียงปรากฏ หมายความว่า เสียงนั้นต้องกระทบหูแล้วต้องมีธาตุพิเศษซึ้งรู้เฉพาะเสียงนั้นเกิดขึ้นได้ยิน เป็นธาตุรู้ ขณะนั้นความเป็นธรรมจะแจ่มแจ้งเพิ่มขึ้นไหม ว่าไม่ใช่เราเลย แม้เสียงขณะนั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง สิ่งที่กำลังได้ยิน ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เสียง และขณะที่สามารถที่จะรู้ความจริงขณะได้โดยลักษณะซึ่งเป็นธรรมซึ่งปรากฏการเกิดขึ้น และดับไปในฐานะความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เราโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เพราะอยากจะให้เห็นอย่างนั้น ไปเพียรพยายามทำหวังรอคอยให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ แต่เพราะเข้าใจขึ้น แล้วแต่ว่า ปัจจัยพร้อมที่จะให้ความเป็นอนัตตาของการประจักษ์แจ้งสภาพธรรมเกิดเมื่อไหร่ ก็ปรากฏโดยความเป็นอัตตาความเข้าใจมั่นคงว่าเป็นธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาก็มั่นคงขึ้น นั่นคือดวงตาเห็นธรรมซึ่งหมายความถึงปัญญา เพราะถ้าเป็นดวงตาที่เห็นสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่เข้าใจ แต่ดวงตาเห็นคือเข้าใจถูกในความเป็นธรรม ก็ต้องหมายความถึงปัญญาที่ได้อบรมแล้ว

    ผู้ฟัง ขอคำแนะนำทางสายกลางที่จะปฏิบัติเพื่อจะให้ ถึงสิ่งที่อธิบายอยู่

    ท่านอาจารย์ ได้ยินชื่อใช่ไหม ทาง คือหนทางมีหลายทาง แต่นี่เป็นทางสายกลางไปไหน

    ผู้ฟัง ปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงประโยคที่ว่าดวงตาเห็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ถึงการปฏิบัติเพราะยังไม่รู้ว่าปฏิปัติคืออะไร แต่หนทางที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ต้องมีใช่ไหม เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินหนทางนี้จึงสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ หนทางที่พระองค์ทรงดำเนินคือบำเพ็ญบารมีที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ด้วยความอดทน ด้วยวิริยะไม่ใช่หมายความว่าไปทำอย่างอื่นเลย แต่รู้ว่าอกุศลทั้งหลายเกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นอกุศลทั้งหลายไม่สามารถจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเป็นจริงเดี๋ยวนี้ได้เลย

    เพราะด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่าธรรมที่สามารถที่จะอบรม จนสามารถที่จะเห็นถูก ในสิ่งที่ปรากฏเป็นบารมี ๑๐ เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่เป็นสุเมธดาบส ก็ได้หาว่าอะไรจะเป็นเครื่องที่จะทำให้ได้เข้าใจความจริงก็รู้ว่าต้องเป็นพระบารมี๑๐ นี่แหละ ที่สามารถจะทำให้กุศลเกิดขึ้นไม่เป็นอกุศล เพราะขณะใดที่เป็นกุศลขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ และขณะใดที่เป็นอกุศลขณะนั้นกุศลก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าอกุศลเกิดมากๆ ใน ๔ อสงไขยแสนกัปป์ การที่จะถึงความจริงก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เพราะอาศัยบารมีนั่นเองจึงรู้ว่าสามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีในขณะนี้ได้ ด้วยเหตุนี้อะไรเป็นหนทางที่จะทำให้เข้าถึงหรือการรู้แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้ รู้แล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ทราบ

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นกุศลธรรม และกุศลธรรมที่เหนือกุศลธรรมใดๆ ทั้งสิ้นก็คือปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงนี้กำลังมีจริงเพราะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการเกิดต้องมี และสิ่งที่มีจริงนี้ไม่ได้เที่ยงถาวรไปตลอด หมดแล้วมีอย่างอื่นเกิดสืบต่อแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ต้องดับไป เพราะฉะนั้นหนทางก็คือว่าเข้าใจความจริง หลังจากได้ฟังพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามทีปังกรแล้ว กว่าจะค่อยๆ เข้าใจความจริงจากการที่ วิริยะบารมี สัจจะบารมี ขันติบารมี อธิษฐานบารมี ต้องมีไม่ใช่ว่าไม่มีบารมี ไม่มีความอดทน ไม่มีความเพียร ไม่มีความมั่นคงว่าสิ่งนี้เท่านั้นที่รู้ได้ และหนทางที่จะรู้ก็คือว่าการเข้าใจขึ้นในฐานะของใคร ถ้าในฐานะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีในฐานะของพระมหาสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ที่กำลังฟังขณะนี้ สาวกบารมี สาวกโพธิสัตว์ สัตว์คือผู้ข้อง แต่ไม่ได้ข้องในการที่จะเพลิดเพลินในรูปเสียงกลิ่นรสในความไม่รู้ ตั้งแต่เกิดมาจนตายก็ไม่รู้ แต่ข้องคือรู้ความจริง ไม่ไปไหน รู้ว่าสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลกนี่ คือเวลาที่ได้รู้ความจริง ซึ่งกว่าจะรู้ความจริงได้ก็ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นนี้เป็นหนทาง สายกลางหรือไม่ เพราะเหตุว่าขณะนั้นต้องไม่มีโลภะ ความต้องการจนกระทั่งจิตไม่มีโทสะที่ไม่ต้องการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเกิดแล้วว่าเป็นธรรม เพราะว่าโดยปกติพอเกิดความไม่ชอบใจความทุกข์หรืออะไรก็ตามแต่ ไม่อยากมี ไม่อยากรู้ ขณะนี้ถ้ากำลังเพลิดเพลินทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ซึ่งเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ใครจะเลือกไม่ให้เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ใครจะเลือกให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจก็เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างพร้อมที่จะเข้าใจไหมว่านั่นเป็นธรรมแต่ถ้าเป็นเราก็ไม่อยากให้โกรธ ไม่อยากให้เสียใจไม่อยากให้เป็นทุกข์ ไม่อยากให้พบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา แต่ว่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายรู้ความจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นอาจหาญร่าเริงจากการฟังพระธรรม และก็เข้าใจมั่นคงว่าสามารถรู้ และก็ละความติดข้องซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งหลายได้ และสามารถที่จะรู้หนทางซึ่งเป็นทางสายกลางว่าเป็นทางเดียวคือทางของปัญญา ซึ่งเริ่มจากการเข้าใจถูกตั้งแต่ขั้นฟัง ปริยัติจนกระทั่งเป็นสัจญาณมั่นคง เป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ถึงความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว ในขณะนี้ โดยความเป็นอนัตตา ตรงตามที่ได้ฟังทุกคำนั่นคือปฏิปัติ นี่คือทางสายกลางจนกว่าจะประจักษ์แจ้งเมื่อไหร่ ดวงตาเห็นธรรมก็ประจักษ์ความจริงตรงตามที่ได้ฟังเป็นปฏิเวธ

    เพราะฉะนั้นทรงแสดงกำกับไว้ปริยัติ ปฏิปัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิปัติ มีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีปฏิปัติที่จะค่อยๆ เข้าใจถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง แล้วก็ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็จะไม่ถึงปฏิเวธ เพราะเหตุว่าไม่ใช้ทางสายกลาง แต่ทางสายกลางต้องเป็นปัญญาเท่านั้น ที่สามารถที่จะอาจหาญที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามที่ได้ฟังว่านั่นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    27 ต.ค. 2567