ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
ตอนที่ ๘๑๔
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครสักคน มีแต่ธรรมซึ่งเป็นจิต และเจตสิกเกิดดับสืบต่อทำกิจการงานทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ในขณะนี้ นี่คือเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นกว่าธรรมที่เข้าใจในวันนี้จะไม่ลืม มั่นคงขึ้นเป็นสัจจญาณยังไม่ถึงขั้นปฏิบัตินะคะ อย่าลืมคะอย่าเพิ่งไปตู่ว่า นี่คือปฏิบัติเป็นความรู้ขั้นปริยัติเท่านั้นที่จะนำไปสู่ปฏิบัติ หรือปฏิปัติ ถ้าไม่มีความรู้ขั้นนี้ไม่มีทางที่สติสัมปชัญญะที่ถามจะเกิดได้เพราะเหตุว่าสติมีหลายขั้น
สติที่เป็นไปในขั้นทาน ก็มีใช่ไหม ระลึกเป็นไปที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น วันหนึ่ง วันหนึ่งนี่เรามีของมากมีอะไรตั้งหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้ให้คนนั้นคนนี้ แม้แต่อาหารที่จะให้คนอื่น ก็ให้เป็นประโยชน์กับเขาได้ใช่ไหมแต่ก็ไม่ได้ให้เพราะสติไม่เกิด ไม่ระลึกเป็นไปในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะฉะนั้นทำความดีเมื่อไหร่ ความดีเกิดเมื่อไหร่ เพราะสติเกิดระลึกเป็นไปในความดีนั้นๆ เห็นคนกำลังเหนื่อย ช่วยเขาหน่อยหนึ่ง ไม่ใช่เราเลย
แต่สติระลึกได้เป็นไปในการที่จะช่วยเหลือคนอื่น ให้เขาทุกข์น้อยหน่อย เหนื่อยน้อย หน่อย หรืออะไรก็ได้ วาจาคำพูดมีตั้งหลายอย่าง พูดด้วยความโกรธก็มี พูดด้วยความเมตตาก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นน้ำเสียงหรือเสียงที่พูด ก็หลากหลายกันไป ว่าเป็นระดับที่กำลังเห็นใจกำลังเข้าใจ กำลังเป็นมิตร กำลังรู้ว่าเพียงเสียงแข็ง คนได้ฟังก็ไม่เป็นสุข และสติเกิดเสียงนั้นเปลี่ยนได้
เพราะฉะนั้นสติก็เป็นธรรมฝ่ายดี ขณะใดที่ธรรมฝ่ายดีเกิดให้ทราบว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เป็นโสภณเจตสิก ๑๙ อย่าง รวมทั้งสติหนึ่งด้วย และยังมีหิริ มีโอตตัปปะ มีอโลภะ มีอโทสะ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เลย เหมือนโลกที่อยู่ในความมืดสนิทแล้วก็กำลังได้ฟังเรื่องของสิ่งที่อยู่ในความมืด เพราะยังไม่ปรากฏว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ปรากฏแต่เพียงรวมกัน แล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะเหตุว่าไม่มีลักษณะใดที่จะปรากฏความเกิดดับ เพราะการที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ต้องไม่ใช่ขั้นฟัง
ฟังอย่างนี้รู้ว่าสภาพธรรมเกิดดับ แต่ไม่มีปัจจัยพอที่จะทำให้สติสัมปชัญญะซึ่งกำลังรู้เฉพาะสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้โดยความเป็นอนัตตา และมีความเข้าใจมีความเห็นที่ถูกต้อง ขณะนั้นก็เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสติสัมปชัญญะเป็นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งต่างจากขณะที่กำลังฟังเข้าใจ เพราะฉะนั้นขั้นปริยัติไม่ใช่ขั้นปฏิบัติ ไม่ใช่ขั้นปฏิเวธ
ผู้ฟัง ขอให้อาจารย์ช่วยทบทวนสิ่งที่ปรากฏทางตาเทียบเคียงกับคำว่านิมิต
ท่านอาจารย์ ประเด็นนี้ก็น่าสนใจมาก เพราะเหตุว่ากำลังเป็นขณะนี้ เพราะฉะนั้นปัญญาความเข้าใจก็คือว่าคิด และไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ฟัง เห็นมีจริงๆ เกิดแล้ว ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ความจริงในบรรดาจิตที่เกิดดับทั้งหมด จิตเห็นนี่เกิดขึ้นเห็นเพียงหนึ่งขณะ สั้นมากไหม
ผู้ฟัง สั้นมาก
ท่านอาจารย์ ยังไม่ทันจะรู้เลยว่าเป็นอะไร แค่หลับตาแล้วลืมตายังเร็ว ก็ไม่รู้ว่ามีอะไร แต่เพราะเหตุว่ามีการเห็นบ่อยๆ เราประมาณไม่ได้เลย นับไม่ถ้วนเลย แต่ว่าเพราะมีเห็นซึ่งปรากฏเหมือนไม่ได้ดับขณะนี้ แล้วก็มีการจำ สภาพจำนี่ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ทุกครั้งที่มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะต้องมีเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นจำ ภาษาบาลีเรียกเจตสิกนั้นว่าสัญญาเจตสิก นี่ก็ต่างกับความหมายของสัญญาในภาษาไทย สัญญาก็เหมือนกับว่าทำกันไว้เพื่อที่จะได้ไม่ลืม แต่สภาพของสัญญาเจตสิกเป็นสภาพที่จำสิ่งที่ปรากฏ ดับแล้ว ก็เกิดซ้ำบ่อยๆ เหมือนเด็กที่เกิดมานี่รู้ไหมว่าเห็นอะไร มีเห็นใช่ไหม เกิดมาวันแรกขณะแรกลืมตาก็เห็น แต่ไม่รู้ว่าเห็นอะไร แต่ต้องมีเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ว่าเห็นบ่อยๆ เข้า ชินขึ้น จำได้ว่าคนนี้ไม่ใช่คนนั้น สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งนั้น เพราะเหตุว่าเห็นซึ่งเกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิต นิมิตตะนี้หมายความว่ารูปร่างหรือสัณฐานที่เสมือนปรากฏพร้อมกับเห็นเลย เพราะความรวดเร็วอย่างยิ่งเหมือนมายากล ซึ่งเห็นเป็นคนที่เป็นนักมายากลกำลังแสดงกลอะไรต่างๆ เพราะความรวดเร็วอย่างยิ่งของจิต
เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นจิตที่เกิดดับ มากจนกระทั่งทำให้มีสภาพที่จำสีสันวรรณะต่างๆ เพราะว่าจิตเห็นนี่ไม่ได้คิด เพียงแค่รู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏ และสิ่งที่ปรากฏนี่ไม่ต่างกับเดี๋ยวนี้เลย เป็นสีต่างๆ สีดำบ้าง สีน้ำตาลบ้าง สีขาวบ้าง รูปร่างสัณฐานต่างๆ สีต่างๆ ก็ทำให้เกิดรูปร่างสัณฐานเร็วมากเลย จนกระทั่งจำได้ทันทีที่เห็นว่าเห็นอะไร หรือแม้แต่เสียง เสียงก็มีนิมิต เพราะความหลากหลาย ถ้าเป็นแค่ได้ยินขณะเดียวจะจำไม่ได้ว่าเป็นอะไร แต่เพราะซ้ำกันบ่อยๆ ใช่ไหมคะจำได้เลยว่าเสียงใครทั้งๆ ที่ไม่เห็นหน้าก็รู้ได้ว่าเสียงของใคร
เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วจะปรากฏเสมือนพร้อมนิมิตเลย ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นจึงทำให้มีการทรงจำว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ว่าเป็นแต่ละสิ่งซึ่งเกิดดับ ยากที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าขณะนี้ถ้ามีการรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏอย่างเดียว เช่น ขณะนี้ แข็งกำลังปรากฏหรือไม่ ตรงหนึ่ง ตรงใดเฉพาะแข็งที่ปรากฏมีโลกนี้ไหม มีคนในห้องนี้ไหม มีอะไรไหม มีตัวเราทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าหรือไม่ หรือมีเฉพาะแข็งที่ปรากฏ ถ้าปรากฏอย่างนี้จริงๆ สัญญาความจำเริ่มจำในความเป็นเพียงสิ่งที่เป็นแข็ง ไม่เป็นอย่างอื่นเลย
ถ้ามิฉะนั้นแล้วถ้าไม่มีการฟังธรรม นิ้วเรา เท้าเรา หรือกระทบสัมผัสอะไร ก็จำว่าเป็นสิ่งนั้น แต่ความจริงสิ่งที่สามารถกระทบปรากฏว่ามี ก็คือลักษณะที่แข็ง เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งว่าไม่มีเรา เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วจนปรากฏนิมิตต่างๆ แม้แต่เห็น ก็พร้อมรูปร่างสัณฐานว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ จะมีนิมิต จะมีรูปร่างสัณฐานมาก็ย้อนกลับมาถึงความจริงว่า ความจริงแท้ๆ ที่ใช้คำว่าธรรมเป็นปรมัตถธรรมหมายความว่าเป็นความจริง ซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย นอกจากลักษณะของสภาพนั้นต้องเป็นอย่างนั้น เช่นแข็งเป็นแข็ง เสียงเป็นเสียง เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด กลิ่นเป็นกลิ่น ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่ง จะเป็นดอกไม้หรือจะเป็นอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีการคิด แล้วถ้าไม่มีการเกิดดับจนปรากฏเป็นนิมิตให้จำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของอัตตสัญญา คือการจำไว้มานานแล้วเพราะไม่รู้ความจริงว่าแต่ละหนึ่งเท่านั้นซึ่งเกิดดับแสนเร็ว ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีใครเข้าใจความหมายของอนัตตาได้เลย เพราะเหตุว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่ใคร ถ้าขณะนี้ มีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่าเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ไม่ลืม ที่ไหนก็ปรากฏ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ค่อยๆ เข้าใจว่าจริงไหม ฟังนี่ถูกต้อง แต่ความเข้าใจกว่าจะถึงความจริงอย่างนี้ ทันทีที่เห็น ยากไหม ไม่ต้องคอยอะไรเลย แต่สติสัมปชัญญะ ปฏิปัตติเกิดขึ้นรู้เฉพาะ และเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งซึ่งได้ยินได้ฟังจนกระทั่งมันคงเป็นสัจจญาณว่าความจริงคือเป็นธรรม ไม่เป็นอื่น ไม่เป็นคน ไม่เป็นสัตว์ ทางตาแยกออกไปโลกหนึ่ง ขณะที่กำลังได้ยินเสียงจะมีคนในห้องนี้ไหม แต่เวลานี้ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย พร้อมนิมิตมากมาย จึงทำให้สำคัญผิดยึดมั่นว่าเป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือความหมายของอัตตสัญญา อัตตะคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เที่ยง ไม่ดับ เข้าใจผิด เป็นวิปลาส เพราะไม่รู้ความจริง อาศัยการฟัง นี่เป็นปริยัตที่จะนำไปสู่ปฏิบัติติอีกขั้นหนึ่ง
เพราะฉะนั้นการฟังนี่ฟังไปโดยไม่ต้องหวังอะไรเลย เพราะรู้ว่าความหวังไม่ได้ทำให้เข้าใจ แต่การได้ฟัง และไตร่ตรอง และเข้าใจขึ้นทำให้ละความหวัง เพราะรู้ว่าหวังอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะรู้อย่างนี้ได้ นอกจากค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าถึงเวลาที่สภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนั้นเมื่อไหร่ ก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้นได้ เพราะอะไร เพราะฟังจนกระทั่งเข้าใจ และไม่หวัง สภาพธรรมก็ปรากฏเหมือนเดี๋ยวนี้ คือความเป็นอนัตตา แต่ปรากฏเพราะว่าได้เข้าใจแล้วอย่างมั่นคง พอที่จะทำให้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นปฏิปัตติ แต่ยังไม่ถึงปฏิเวธ ขณะนี้นิมิตหมดเลย ไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อ.คำปั่น มีข้อความที่อธิบายในบทคำว่า พุทธะ ซึ่งแสดงถึงความเป็นจริงว่าพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง แสดงว่าเป็นผู้ตื่น คือตื่นจากกิเลสทั้งหลาย
ท่านอาจารย์ ถ้าขณะนี้ ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมเลย เหมือนหลับไหม อีกนัยยะหนึ่ง ถ้ากำลังหลับทุกคนฝันหรือเปล่า คนที่ไม่ฝันก็คงมี หรือว่าไม่ได้ฝันตลอดเวลา แต่ก็มีฝันใช่ไหม และถ้าฝัน และหลับแล้วไม่ตื่นเลยจะรู้ไหมว่าฝัน ฝันทุกขณะ ฝันไปเรื่อยๆ ฝันก็คือฝัน ซึ่งความจริง ฝันก็คือคิด โดยไม่เห็น โดยไม่ได้ยิน โดยไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่จำสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ แล้วคิดนึกเหมือนเดี๋ยวนี้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นถ้าหลับแล้วไม่ตื่นเลยนี่ จะรู้ไหมว่าหลับ ฉันใด ถ้าไม่รู้ไปเรื่อยๆ เหมือนหลับ ไม่ตื่นจากหลับจะรู้ไหมว่ากำลังไม่รู้ความจริงเหมือนหลับ เพราะฉะนั้นจะเห็นความต่างกันของความไม่รู้ซึ่งเหมือนหลับจริงๆ เพราะว่าขณะหลับก็ไม่รู้ว่าหลับ แล้วถ้าหลับไปเรื่อยๆ ไม่ตื่นขึ้นมาเลยก็ไม่รู้ว่าหลับ เพราะฉะนั้นเกิดกี่ภพ กี่ชาติก็เหมือนหลับมาเรื่อยๆ ยังไม่ตื่น ยังไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีเรา ไม่มีเรื่อง แต่ว่าเป็นธรรมทีละหนึ่ง คือจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับ จิตอื่นเกิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ที่เป็นคน เป็นเห็น ได้ยินต่างๆ นี่ จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนสืบต่ออย่างเร็วมาก ทีละหนึ่งขณะ ยังไม่ตื่นใช่ไหม เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ที่ตรัสถึงพระคุณของพระสัมมาสัมเจ้าคือ พุทธะ ผู้ตื่นจากความหลับคือกิเลส ความไม่รู้ กิเลสนี้จะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมเลย จะอยู่ไปในโลกกี่ชาติ ในอดีตมาแล้วต่อไปอีก ก็ต้องเกิดอีก เพราะว่ามีเหตุที่จะให้เกิด เหตุที่จะให้เกิดก็คือกิเลส ผู้ที่ดับกิเลสหมดไม่เกิด เ พราะฉะนั้นกิเลสนั่นแหละเป็นธรรมซึ่งทำให้ต้องเกิด และถ้าเกิดแล้วไม่รู้ความจริงก็เหมือนหลับไป จะต่างอะไรหลับกับตื่น หลับไปเรื่อยๆ ไม่มีทางรู้เลยว่าหลับ เพราะฉะนั้นไม่รู้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทางรู้เลยว่ายังไม่ได้ตื่นเลยเหมือนอยู่ในความหลับ
อ.คำปั่น นอกจากนั้น ก็ยังมีข้อความที่แสดงต่อไปอีกถึงพระมหากรุณาของพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้ที่ตื่นแล้ว แล้วก็เป็นผู้ที่ปลุกหมู่สัตว์ให้ตื่นตามด้วย
ท่านอาจารย์ กำลังถูกปลุกด้วยพระธรรม แต่ยังไม่ตื่นก็เหมือนกับฟังในฝัน ถ้าตื่นขึ้นรู้สภาพธรรมเมื่อไหร่เมื่อนั้นจริง มีลักษณะจริงๆ และปัญญาก็รู้ว่านั้นไม่ใช่เรา แต่ฝันนี่เป็นเรื่องทั้งนั้นเลย มีใครฝันเป็นธรรมเป็นสติบ้างไหม
อ.คำปั่น ส่วนที่กล่าวถึงว่าเป็นผู้เบิกบานก็เบิกบานด้วยคุณธรรม ด้วยความดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือด้วยปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ท่านอนาถบิณฑกะได้ยินคำว่าพุทโธ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความรู้สึกของท่านเป็นอย่างไร
อ.ธีรพันธ์ ความรู้สึกของท่านนี่คือคำๆ นี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คำว่าพุทโธเป็นคำที่หาได้ยากอย่างยิ่งเลย ท่านซาบซึ้งด้วยปีติอย่างยิ่ง เพราะได้ยินคำว่าพุทโธจากราชคหเศรษฐี นี่คือการสะสมมาแน่นอนในชาติก่อนท่านต้องเป็นผู้ที่คุ้นเคยในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคแต่ละพระองค์ได้ทรงแสดง
ท่านอาจารย์ ความปีติเบิกบานของการที่จะได้ยินคำว่าพุทโธนี่ต้องต่างกันตามการสะสม ถ้าผู้ที่สะสม และมีความที่รู้คุณความเข้าใจความจริง เพียงได้ยินว่ามีผู้ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความปีติเบิกบานนี่จะมากสักแค่ไหน ทั้งคืนท่านคิดแต่จะได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นแต่ละครั้งที่ได้ฟังความจริง เบิกบานไหม ที่ได้เกิดมามีโอกาสที่จะได้เข้าใจ สิ่งซึ่งถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี ทั้งชาตินี้ ไม่มีโอกาสที่จะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ทุกชาติ คือไม่ได้ยินไม่ได้ฟังเลย ความไม่รู้คือความมืด และความหลับนี่จะมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้ามีการสะสมมา รู้ว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมีจริงๆ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะให้ความเข้าใจได้ ก็เป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้เท่านั้น ที่คำทุกคำนี่คะ เป็นคำจริง เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินอย่างนี้คำว่า พุทโธ มีความหมายสักแค่ไหนที่มีโอกาสที่จะได้รู้จักความหมายของคำนี้ และก็คำนี้ก็ยังมีการที่จะได้กล่าวถึงจนกระทั่งสามารถที่จะเห็นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ฟังคำของคนอื่น แต่ฟังแต่ละคำเป็นคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งต้องอาศัยการพิจารณาไตร่ตรองเคารพอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้พระธรรมนั้นคลาดเคลื่อน
เพราะเหตุว่าถ้าพุทธบริษัทไม่เข้าใจหรือว่าเข้าใจผิด หรือว่าประมาทในการฟังพระธรรมขณะนั้น ก็เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่ไม่รู้ตัว ว่าขณะนั้นตนเองเป็นผู้ที่ทำลายคำสอนให้อันตรธาน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องจริงใจ มั่นคงแล้วก็เคารพในความถูกต้อง มีการสนทนา เพื่อที่จะได้หมดความสงสัยในสิ่งที่สงสัยว่าไม่เข้าใจ เพราะเหตุว่าแต่ละคนก็ศึกษามา แล้วก็พร้อมใจกันที่จะได้ฟังได้สนทนากันเพื่อที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น
อ.คำปั่น การเข้ามาสู่พระธรรมวินัยของแต่ละบุคคล ก็มีความหลากหลายตามความเป็นไปของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างท่านหนึ่งเป็นบุตรเศรษฐี ชื่อว่าภัททชิกุมาร เป็นบุตรเศรษฐีมีชีวิตที่สะดวกสบายทุกอย่าง มีชีวิตไม่เดือดร้อนเลย วันหนึ่งก็เปิดหน้าต่าง เห็นความเป็นไปของแต่ละบุคคลมีชาวบ้านชาวเมืองนี้ เดินไปถือเครื่องสักการบูชา ก็ถามว่าคนเหล่านี้ กำลังจะไปไหนกัน พอได้ทราบว่ากำลังจะไปพระวิหาร เพื่อฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยคำเพียงเท่านี้ กระตุ้นเตือนแล้วเพราะว่าท่านเคยเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมมา ก็ตามคนเหล่านั้นไปฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และกุมารท่านนี้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เลือกไม่ได้เลย ทำไมเกิดที่นี่ ทำไมมาที่นี่ ทำไมฟังพระธรรม นี้ก็ต้องมีเหตุปัจจัยในอดีตที่ได้กระทำแล้ว แล้วชาตินี้ ก็จะเป็นอดีตของชาติหน้าแน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังคำในชาตินี้เลย พอถึงชาติหน้าจะสนใจไหมที่จะได้ฟัง แต่เมื่อได้ฟังแล้ว และไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ เพราะแม้เหตุที่จะให้ได้ยินได้ฟังก็ต้องได้กระทำมาแล้วในอดีตด้วย เป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้ฟังต่อไปได้เข้าใจต่อไป
เพราะฉะนั้นแต่ละชาติ ชาตินี้ก็จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้า สงสัยไหมพอถึงชาติหน้า ว่า ชาติก่อนเราทำอะไร ไม่ต้องสงสัยเลย ชัดเจนทุกวัน คือชาตินี้ แต่พอถึงชาติหน้าไม่เหลือเลย เปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถที่จะเป็นบุคคลในอีกได้เลย เมื่อจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมที่จะทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ก็ต้องจากโลกนี้ไปสู่ที่ไหนไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่กรรมที่ได้นำเราจากโลกอื่นมาสู่โลกนี้ กรรมอะไรก็ไม่รู้แต่ว่าโลกนี้ก็เป็นอย่างนี้เมื่ออยู่ที่นี่ แต่โลกต่อไปจะเป็นอะไรก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ก็มีเหตุที่ได้กระทำไว้ของชาตินี้ ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจขึ้น ก็จะรู้ว่าสิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดเป็นพระพุทธพจน์สิ่งใดเป็นความจริง ก็จะทำให้เป็นผู้ที่สามารถที่จะเจริญขึ้นในธรรม เพราะอริยบุคคลหมายความถึงผู้ที่เจริญในธรรม
อ.วิชัย ครั้งหนึ่ง ที่พระวิหารเชตวัน พระองศ์ทรงแสดงว่า สังสาระนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ ประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจโดยกาลนานนั้น กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไหนจะมากกว่ากัน บุคคลซึ่งยังมีเหตุที่ต้องให้เป็นไปอยู่ น้ำตาก็ย่อมมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
อะไรที่ชื่อว่าสังสาระ อะไรที่ชื่อว่าเป็นการ วนเวียนไปของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งกล่าวถึงเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำใหม่ที่บางคนอาจจะไม่รู้จัก ภาษาไทยมีคำว่าสงสาร แต่ไม่มีอะไรจะเกี่ยวข้องกับสังสาระในภาษาบาลีเลย เพราะเหตุว่าคำที่ได้ยินในภาษาที่เราไม่เข้าใจ ชาวเมืองที่ใช้ภาษานั้นเขาเข้าใจ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ถ้าเราจะพูดว่าเห็นมีจริงๆ หรือเปล่า ได้ยินมีจริงๆ ไหม หลับแล้วก็ตื่นขึ้นก็เห็นอีก ได้ยินอีก เหมือนเมื่อวานนี้เลย แล้วเมื่อวานนี้อยู่ไหนก็ไม่มีเลย แต่เมื่อวานนี้ได้มีแล้วทุกคนจำได้นั่งอยู่ที่นี่ฟังธรรมแต่ว่าไม่ใช่เดี๋ยวนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840