ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๘๔

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง ต้องไตร่ตรอง และประโยชน์สูงสุดก็คือว่า เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ในสิ่งที่มีกำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะเหตุว่าขณะนี้เองค่ะ ถ้าเป็นความไม่รู้ก็เหมือนเดิม คือเหมือนก่อนที่เราจะได้ฟังธรรม เราก็ไม่รู้ และถ้าไม่ได้สนทนาธรรมกัน ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ละคนก็อาจมีความเข้าใจที่เคยสะสมมาต่างๆ ซึ่งไม่ตรงกับ สิ่งที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นการที่ได้ร่วมกันสนทนานี่ค่ะ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง แล้วก็จะได้เข้าใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้เข้าใจในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ

    เพราะเหตุว่าแม้เพียงธรรมคำเดียว ใครมีโอกาสจะได้ฟังบ้าง และถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมแต่ละหนึ่งนะคะ จะฟังไปทำไม ถ้าฟังแล้วไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็คือกำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น ยากมั้ยคะ กว่าจะตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้แหละ เกิดเพราะเหตุปัจจัย อาศัยสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเองได้ตามใจชอบ ว่าใครอยากจะให้อะไรเกิดก็เกิดได้ นั่นคือผู้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย แต่ถ้าฟังแล้วพิจารณาทุกคำกล่าวถึง สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เองค่ะ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะได้เริ่มเข้าใจว่า ธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ไม่ได้อยู่ในตำรา หรือว่าไม่ได้อยู่ที่ฟากฟ้าหิมพานต์ หรือที่ไหนก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง

    เพราะฉะนั้นต่างคนก็ต่างอ่าน ต่างคนก็ต่างฟัง ต่างคนก็ต่างคิด ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้แม้ในสังสารวัฎฏ์ที่ผ่านมาแล้ว ก็เป็นอย่างนี้อ่ะค่ะ เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสได้สนทนาธรรม ด้วยความเป็นผู้ที่จริงใจ เป็นผู้ตรงที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นโอกาสที่จะกล่าวถึงธรรมแต่ละหนึ่ง เพื่อความรอบรู้ และเพื่อความชัดเจน เพราะเหตุว่าขณะนี้ค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม มากมายนะคะ ไม่ว่าจะบนโต๊ะ ในห้อง บนเพดาน ข้างฝา ทุกสิ่งทุกอย่างนี่ค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจทีละหนึ่งให้ชัดเจน ให้ละเอียดก็สับสน เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ที่ใช้คำว่ารอบรู้นะคะ ทีละหนึ่งคำ ทีละหนึ่งคำนี้หมายความถึงทีละหนึ่งสภาพธรรมที่มีจริง จนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มเข้าใจแต่ละหนึ่ง ตามควรแก่การที่ว่า ฟังครั้งที่หนึ่งเนี่ย จะเข้าใจอย่างผู้ที่ฟังมานาน หรือชาติก่อนเคยฟังมาแล้ว หรือจะเหมือนพระสาวกที่ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลถามสนทนาธรรม พระองค์ตรัสคำใดผู้นั้นก็สามารถเข้าใจได้เลย แต่ว่าเราจะเป็นอย่างนั้นหรือ

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นอย่างบุคคลในครั้งนั้น ก็คงจะต้องสนทนาธรรมกันเพื่อจะได้เข้าใจขึ้น ในแต่ละครั้งที่มีโอกาสได้พบกันค่ะ ทั้งหมดเป็นธรรม และถ้าฟังค่อยๆ ไตร่ตรอง ก็จะเข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา ต้องไม่ลืมนะคะ รอบรู้ในแต่ละคำ ธรรมสิ่งที่มีจริง เห็นมีจริง ทุกสิ่งที่มีจริงนะคะ ก็เพราะเหตุว่าคำว่ามีจริงในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาบาลี ที่ดำรงพระศาสนาไว้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับคนที่ฟังคำนั้น ในภาษานั้นแล้วเข้าใจ แต่สำหรับเราถ้าจะฟังคำนั้น ไม่มีทางเข้าใจได้ ชาติก่อนอาจจะเคยฟัง แต่ชาตินี้ก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้นเกิดมาคุ้นเคยกับภาษาไหน ก็ฟังคำในภาษานั้น ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงนี่ค่ะให้เข้าใจได้ แต่ไม่ว่าภาษาไหนๆ ก็ตามธรรมไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ทุกอย่างเป็นธรรม เริ่มฟัง เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง

    นี่แหละ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเราจะฟังก็จะรู้ความจริง อย่างพระสัมสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทันทีได้ไหม เพราะพระองค์ก็ตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้นเลยค่ะ ทรงตรัสรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้นะคะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีเท่านี้เอง ไม่ว่าในโลกไหน แต่กว่าจะได้รู้ความจริงนะคะ ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก

    เพราะฉะนั้นฟัง ไตร่ตรองค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็รู้ว่าพระธรรมก็คือคำสอนให้แต่ละคนที่ได้ฟังนะคะ สามารถมีความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มีสิ่งซึ่งรู้หรือยัง แทงตลอดหรือยัง ตรงตามที่ได้ฟังหรือยัง หรือว่าเพิ่งเริ่มฟัง แล้วต้องเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่าความเข้าใจ ที่เกิดจากการฟังนี่ค่ะ มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ให้คนอื่นต้องบอกเลยนะคะ แต่ผู้ฟังเนี่ย บางท่านก็บอกว่าท่านฟังมา ๔๐ ปี ๕๐ ปี ก็มี แต่เห็น ขณะนี้รู้หรือยัง ต้องตรง รู้ขั้นไหนขั้นฟังเข้าใจปริยัติ ฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ฟังคำคนหนึ่งคนใดเลยทั้งสิ้นค่ะ ไม่ว่าใครจะกล่าวคำจริง คำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะพูดเรื่องเห็นเดี๋ยวนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วเรื่องนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปคิดเอง คิดเองเท่าไหร่ ก็คิดไม่ออก คิดไม่ถูก แต่จากการฟังนี่คะ จะเริ่มเห็นความลึกซึ้งของสิ่งซึ่ง ทุกคนเหมือนรู้ว่ามี เหมือนรู้ว่าเข้าใจ แต่ว่าความจริงลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น เพราะเหตุว่าจากปริยัติ ฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคำลืมไม่ได้ค่ะ ธรรมทั้งหลายหมายความว่าทุกอย่างไม่เว้น เพราะฉะนั้นไม่ว่ากำลังมีอะไรปรากฏ สิ่งนั้นแหละเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากธาตุ สิ่งนั้นมีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แม้แต่ขณะนี้นะคะ ก็เป็นอย่างนี้แต่ฟังไว้

    เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถ ที่จะทำให้ปัญญารู้แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมขณะนี้ได้ เพียงขั้นฟังเล็กน้อย แต่จากการฟัง ค่อยๆ มีความเข้าใจขึ้น ยังอีกไกลมากกว่าจะค่อยๆ รู้ว่าขณะนี้ค่ะ เป็นขั้นฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมี ที่กำลังเกิดดับ แต่ว่ายังไม่ใช่การที่สามารถที่จะเข้าถึง ลักษณะของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาต่างขั้น ซึ่งถ้าไม่มีความรอบรู้ มั่นคงเป็นสัจจญาณ ในปัญญาขั้นแรกคือปริยัติ ฟังพระพุทธพจน์ แล้วก็สามารถที่จะรอบรู้ในแต่ละคำไม่ลืม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมทั้งหลายทั้งหมด ทั้งปวงทั้งสิ้นไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา

    ความหมายของอนัตตาก็คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งก่อนได้ฟังธรรมนี่คะ เป็นคนเป็นสัตว์ เป็นแก้ว เป็นโต๊ะ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา แต่ความจริงไม่มีการเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่ปรากฏทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนกว่าจะได้ฟัง มีประโยชน์ไหมคะ สำหรับในชาติหนึ่ง ซึ่งเกิดมาเห็นมาแล้วก็มาก ได้ยินก็มาก ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่มีโอกาสมีการได้ยิน มีการได้ฟัง มีการที่จะเข้าใจ

    และความตายนี่ค่ะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้เลย เย็นนี้จะจากโลกนี้ไป ความเข้าใจสิ่งที่มีที่ได้ฟังนี่มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นแต่ละครั้ง ก็เป็นประโยชน์ที่ว่าจะได้เข้าใจธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา แค่นี้ค่ะความรอบรู้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ตรงขึ้น ว่าเป็นธรรมแล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังมาแล้วนานนะคะและธรรมก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก แต่สามารถที่จะค่อยๆ ฟังค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ รู้ความห่างไกล ของผู้ที่เริ่มฟังธรรม กับผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง และได้ทรงแสดงความจริงไว้ถึง ๔๕ พรรษาความลึกซึ้งจะมากสักแค่ไหน

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์นะครับ สติระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อนได้มั้ยคะ

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ สติคืออะไร ทุกคนฟังธรรมเผินไม่ได้เลยค่ะ เมื่อพูดคำไหนต้องเข้าใจคำนั้น มิฉะนั้นคิดเอง สิ่งที่ไม่ใช่สติก็บอกว่าเป็นสติ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยต้องชัดเจน สติคืออะไร ทุกครั้งที่จะเป็นความรอบรู้ค่ะ ต้องตั้งต้นว่าคืออะไร เพื่อความไม่สับสนนะคะเพราะฉะนั้นสติคืออะไร

    ผู้ฟัง สติคือหนึ่งในเจตสิก ๕๒ มีหน้าที่ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมฝ่ายดีหรือฝ่ายไม่ดีค่ะ

    ผู้ฟัง ฝ่ายดีครับ

    ท่านอาจารย์ ฝ่ายดีหมายความว่า เป็นโสภณเจตสิกใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ มีทั้งดีมีทั้งไม่ดี แต่ถ้ากล่าวถึงธรรมหนึ่งไม่ใช่ชื่อแต่มีจริงๆ ไม่เรียกชื่อก็ได้นะคะเพราะฉะนั้นสติเป็นหนึ่งใน ๕๒ เจตสิก เจตสิก หมายความว่าสภาพของธาตุรู้ ซึ่งเกิดพร้อมจิต ธาตุรู้ต้องเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นธาตุรู้ อาศัยเจตสิกเกิดขึ้น เจตสิกก็เป็นธาตุรู้ซึ่งอาศัยจิตเกิดขึ้น แต่จิตไม่ใช่เจตสิกหนึ่งสักอย่างเดียว จิตเป็นจิต และเจตสิกทั้งหมด ๕๒ ประเภทก็ไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้นการพูดถึงแต่ละชื่อเนี่ย เราก็ต้องสามารถที่จะเข้าใจได้นะคะ ว่าหมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้นเวลานี้ คงไม่มีใครสงสัย เพราะว่าได้ฟังกันมาแล้วใช่ไหมคะ ว่าเจตสิกไม่ใช่จิตเกิด พร้อมจิต เมื่อเป็นธาตุรู้ทั้งสองอย่าง ก็รู้สิ่งเดียวกันเพราะเกิดพร้อมกัน แต่ว่าหน้าที่ต่างกัน หน้าที่ของจิตคือเป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เช่นขณะนี้ค่ะ เห็น ไม่ใช่เจตสิกที่ทำทัสนกิจอย่างจิตนะคะ ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่ว่าขณะนี้นะคะ มีอะไรอยู่ที่นี่ให้เห็น นั่นคือจิตเกิดขึ้นกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ พูดถึงธรรมต้องกำลังมีเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ค่ะต้องมีเจตสิกเกิดกับจิต แต่เวลาที่เรากล่าวถึงจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เนี่ย เราไม่ได้พูดถึงเจตสิกเลย แต่ให้รู้ว่าขณะนั้นนะคะ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และก็การศึกษาธรรม ก็ทีละคำ ตอนนี้จิตเกิดเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็มีเจตสิกเกิดกับจิตที่เห็นนะคะ ๗ เจตสิก ขณะนี้ไม่ได้ปรากฏลักษณะของจิตเจตสิกเลยใช่มั้ยคะ เพราะว่าสภาพธรรมต้องปรากฎทีละอย่าง ใน๗ เจตสิกที่เกิดกับจิตที่กำลังเห็น ไม่มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถูกต้องไหมคะ

    ผู้ฟัง ถูกครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นกล่าวถึงสติหมายความถึง ขณะไหน เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง สติระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลยเนี่ย สติจะเกิดระลึกรู้ และเข้าใจถูกในสิ่งที่จิตกำลังรู้ได้ไหม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เลยนะคะเพราะฉะนั้นเพียงฟัง ยังไม่ได้มีความเข้าใจมากเลย สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ไหม แค่ฟังเดี๋ยวนี้คะ ว่าจิตต้องเกิด ไม่เกิดไม่มีจิต ขณะนี้เห็นเป็นจิตเห็นต้องเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดจะไม่มีเห็นเลย เพียงฟังเท่านี้ สติจะเกิดขึ้นรู้ลักษณะของเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีปริยัติ ความรอบรู้ ความเข้าใจถูก ในคำที่ได้ฟังมั่นคง ในความไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งขณะนี้จิตเกิดขึ้นยังมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยตั้ง ๗ และยังมีรูปที่ปรากฏให้รู้ด้วย ธรรมเกิดดับขณะนี้มากมาย เพราะฉะนั้นการที่จะสามารถเข้าใจธรรมทีละหนึ่งได้นี่นะคะ ก็ทำให้เราค่อยๆ คลายการยึดถือว่าเป็นเรา เพราะขณะนี้ก่อนฟัง เราเห็นถูกต้องไหมคะ

    ผู้ฟัง ถูกครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเรา แล้วจะให้หมดความเข้าใจผิด ที่ยึดถือเห็นว่าเป็นเรา โดยเพียงแค่ฟังว่า เห็นเกิดแล้วเห็นดับ แค่นี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะมีปัจจัยนะคะ ที่จะทำให้สามารถเข้าใจจริงๆ ในเห็น ทั้งๆ ที่ฟังมานาน บ่อย ๑๐ ปี ๒๐ ปี ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปหวัง ไปคอย ไปทำ ไปรอ แต่ยิ่งเพิ่มความเข้าใจละเอียดขึ้น ในความลึกซึ้งของสิ่งซึ่ง แม้ฟังมาแล้วแต่ยังไม่พอ ปริยัติยังไม่พอที่จะเป็นสัจจญาณที่มั่นคง ที่จะทำให้ปฏิบัติคือกิจจญาณของสภาพธรรมที่สามารถ เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ คิด ว่าเป็นความจริงไหม เพราะฉะนั้นในขณะที่ทุกคนกำลังเห็น และฟังเรื่องเห็นเนี่ยนะคะ มีใครบ้างไหม ที่กำลังถึงเฉพาะลักษณะของเห็นซึ่งเกิดดับ ต้องเป็นผู้ตรงแต่ละคนนะคะ ไม่เหมือนกันเลย

    เพราะฉะนั้นสาวกในครั้งที่ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ความเข้าใจต่างกันสะสมมาต่างกัน บางท่านสามารถที่จะเข้าใจ แล้วก็สามารถที่จะถึงเฉพาะ แทงตลอดความจริง รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่บางท่านก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครจะไปรู้ใจของคนอื่นได้ แต่จากการฟังนี่ค่ะ ประโยชน์คือพูดตรงว่า เข้าใจถูกต้องอย่างนี้หรือเปล่า เพราะว่าต้องไตร่ตรองตรองเอง เพื่อที่จะได้เป็นผู้ที่มั่นใจเอง เพราะฉะนั้นสติเวลานี้มีไหม เกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ แต่ว่า จากการฟังพระธรรม เราไม่ได้พูดถึงอาหารอร่อย เราไม่ได้กำลังนั่งรับประทานอาหาร แต่เราก็ยังได้ยินคำ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นไม่มีเรา มีธาตุที่ได้ยินเสียง และเสียงนั้นก็เป็นไปตามสิ่งที่มีจริง เช่นคำว่าเสียงนะคะ เป็นไปตามความจริงว่าสิ่งนี้มีจริงมีใช้คำนี้ เพราะพูดถึงเห็น คำที่ได้ฟัง เสียงที่ได้ยินนะคะ ก็เป็นไปตามความหมายของธรรม เช่นพอถึงเห็นเนี่ย ไม่ได้คิดถึงเสียง ไม่ได้คิดถึงได้ยิน แต่พอพูดถึงได้ยินคำว่าได้ยิน ในภาษาที่คุ้นเคยเนี่ย ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า กำลังได้ยินคำนะคะ ซึ่งเป็นไปตามความหมายของเสียง คือพูดถึงได้ยิน

    นี่คือความละเอียด ที่จะต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่าขณะที่กำลังได้ฟังอย่างเนี้ย เสียงขณะที่ได้ยินเกิด ไม่มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่กำลังเข้าใจ ไม่ใช่เรา ความเข้าใจถูกไม่ใช่ความเข้าใจผิด ไม่ใช่ความไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นนะคะ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขณะใดที่มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิต พร้อมทั้งโสภณเจตสิกอื่นๆ อย่างน้อยที่สุดนี่ค่ะ ๑๙ ประเภทไม่ใช่เรา การฟังอย่างเนี้ย ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีน้อย เพื่อค่อยๆ คลายความติดข้อง ความจงใจ และความไม่รู้ ซึ่งไม่รู้มานานแสนนานในสังสารวัฎฏ์ แม้บุคคลในพุทธกาลจะตรัสรู้แล้วตามความเป็นจริง แต่ผู้ที่ฟังน้อยนี่นะคะ ก็ยังเป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ว่ายังไม่ใช่บุคคลเหล่านั้น

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าสติมีหลายขั้น ตั้งแต่ขั้นฟัง ขณะที่เข้าใจต้องมีสติเกิดร่วมด้วย คือไม่ใช่แค่ฟังเรื่องราว แต่กำลังถึงเฉพาะด้วยความเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังกล่าวถึง เพราะฉะนั้นมีสติต่างขั้น ไม่ใช่คุณชัยยงค์ไม่ใช่ใครเลยนะคะ แต่ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เพื่อวันนึงนะคะ ทั้งหมดจะได้เป็นอนัตตาไม่ใช่เรา กว่าจะไปถึงปัญญาขั้นต่อๆ ไป จากปริยัติ เป็นปฏิปัตติ เป็นปฏิเวทธ แต่ถ้ายังมากด้วยความไม่รู้อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะรู้ว่าสติเกิดเมื่อไหร่ มีลักษณะอย่างไร ขณะนั้นปัญญารู้แค่ไหน และจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร นี่เป็นความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมค่ะ เพราะฉะนั้นพอฟังธรรมรู้ว่า ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง จึงเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องตรงค่ะ

    ผู้ฟัง เมื่อกี้อาจารย์กล่าวว่า ในขณะที่ฟังเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่ใช่คุณชัยยงค์

    ผู้ฟัง ครับ แสดงว่ามีสติในขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    ผู้ฟัง ทีนี้ตัวเราฟังเนี่ย เรารู้ว่าเราเข้าใจ แต่เราก็ไม่รู้สภาพของสภาพของสติ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งๆ ที่ฟังว่าเป็นสติ ก็เป็นคุณชัยยงค์เข้าใจ แสดงว่าความลึกของการติดข้องในสิ่งที่มีจริง และไม่รู้เนี่ยนานเท่าไรมาก เท่าไร ลึกเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้กิเลสทุกระดับ ซึ่งจะหมดสิ้นดับเป็นสมุทเฉท ไม่เหลือเลยได้ เนี่ยด้วยปัญญาระดับไหน แต่ปัญญาระดับนั้นก็จะเกิดทันทีไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาของผู้ฟังเองค่ะ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดไม่ว่าฟังใครไม่ใช่ปัญญาของผู้พูด หรือของใคร แต่ต้องผู้ฟังได้ประโยชน์จากการที่ฟังคำนั้นแล้ว สามารถที่จะไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเห็นถูกซึ่งเกิดขึ้น และดับไป เพราะเป็นธรรม จนกว่าจะไม่ใช่เรา ละเอียดไหมคะ นานไหม เป็นไปได้ไหม เพราะว่ามีผู้ที่ได้อบรมแล้วเป็นไปแล้วมาก แต่พวกที่ไม่ได้อบรม จะเป็นอย่างผู้ที่อบรมแล้วไม่ได้ค่ะ ยังไงก็เป็นไม่ได้ เหตุไม่สมควรแก่ผล

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรมกับอนัตตา ยังมีอีกมากที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา สำหรับผู้ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ไตร่ตรองแล้วก็เห็นถูก ไม่เห็นผิดเลย แต่ต้องตรงว่า เป็นปัญญาระดับไหน ไม่อย่างงั้นก็สับสนนะคะ เรื่องผิดมีง่ายมากค่ะ เหมือนกับกับดักทุกอย่าง พร้อมด้วยโลภะ โลภะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เพราะว่าเคยเป็นนาย เป็นศิษย์ เป็นอาจารย์ มานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์

    พระผู้มีพระภาคตรัสใช้คำว่าตัณหาทาโส เราเป็นทาสของโลภะโดยไม่รู้ตัวเลย แค่ยกมือเป็นเพราะจิตต้องการที่จะยก เป็นความติดข้องหรือเปล่าคะ เพียงแค่ยกมือ พอตื่นลืมตาก็ตามกิเลส จริงหรือเปล่า ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจจะรู้มั๊ยว่า แค่เหลียวซ้ายนิดหน่อย ยกมือขึ้นนิดหน่อย ขณะนั้นก็ตามกิเลสที่ต้องการแล้ว เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดความเป็นเรา คิดตรงตามความเป็นจริง ว่าจะง่ายหรือจะยาก แต่ว่าเป็นไปได้ไหมเพราะว่าปัญญาสามารถที่จะเกิดได้ จากอวิชาซึ่งไม่รู้เลย เราก็ยังมานั่งอยู่ตรงนี้ นี้ก็เป็นปัญญาระดับหนึ่ง มีปัจจัยที่จะทำให้เป็นคนที่เห็นประโยชน์ ของการที่ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง และมีโอกาสจะได้ฟังวาจาสัจจะ

    เพราะฉะนั้นเราฟังเพื่อที่จะรู้ว่า แต่ละคำเนี่ยมาจากการตรัสรู้ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพราะฉะนั้นเราจะข้าม แต่ละคำไม่ได้เลยค่ะ ถ้าข้ามแต่ละคำ หมายความว่า เราไม่เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ว่าแต่ละคำเป็นปัญญาทั้งหมดทุกคำ เช่นธรรม ถ้าไม่เข้าใจก็พูดโดยไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เอาหนังสือมาอ่าน หนังสือธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นทุกคำ หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ที่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกได้

    ผู้ฟัง เมื่อกี้อาจารย์กล่าวว่าถ้าเข้าใจ แสดงว่ามีสติเกิด

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นนะคะ ไม่ใช่คุณชัยยงค์ใช่ไหมคะ เข้าใจเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจเป็นปัญญาครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมนะคะ ดีหรือไม่ดี

    ผู้ฟัง ดีครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะถูก ไม่ใช่เพราะเราชอบ ใช่ไหมคะ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น ปัญญาเห็นตรงคะ ปัญญาไม่เห็นผิดเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    21 มิ.ย. 2567