ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785


    ตอนที่ ๗๘๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เมื่อปัญญาเกิด ต้องเห็นตรงตามความเป็นจริง เพราะขณะนั้นกำลังเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงนี่แหละ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ถ้าไม่มีจริง จะตรัสรู้อะไร ถ้าสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ไม่ทรงตรัสรู้ จะแสดงความจริงอะไร แล้วเราจะไปฟังเรื่องอะไร เรื่องที่ไม่มีในขณะนี้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ขณะที่เข้าใจตรงอย่างนี้ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ซึ่งขณะนั้น ต้องมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่าปัญญาเกิดตามลำพังไม่ได้ ไม่มีสภาพธรรมใดเลยซึ่งจะเกิดได้โดยไม่ต้องอาศัยสภาพธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ในขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ แต่เราไม่ทราบว่ามีสติเกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรายังมีอยู่มากเหลือเกิน สะสมมาแสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้นต่อให้ได้ฟังอย่างนี้ก็ยังเป็นเรา ถ้าเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก่อนนี้ไม่เห็นแล้วเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ขณะที่ได้ยิน เห็นก็ต้องดับไป เราอยู่ที่ไหน ฟังว่าเห็นเป็นเราหรือว่าเห็นเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นธรรม เห็นเกิดหรือไม่

    ผู้ฟัง เกิด

    ท่านอาจารย์ เห็นดับ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วเราอยู่ไหน

    ผู้ฟัง สติเกิด

    ท่านอาจารย์ สติเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ สติเกิดหรือไม่

    ผู้ฟัง เกิดครับ

    ท่านอาจารย์ สติดับหรือไม่

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ สติเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธรรมค่อยๆ เข้าใจขึ้นแล้วใช่ไหม ต้องตรงกับความเป็นจริง

    ผู้ฟัง แต่เวลาเห็น

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้กำลังเห็น

    ผู้ฟัง เราทราบ

    ท่านอาจารย์ แต่เราไม่มี กำลังฟังไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น แต่ทั้งฟังทั้งเห็นไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ลึกซึ้งไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ทุกคำเป็นวาจาสัจจะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ปัญหาก็คือว่า เห็นรู้ แต่สติไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ก็นี่เราคิดไม่ใช่หรือ เราไม่ได้เป็นผู้ที่ฟังพระธรรมเลย ถ้าเป็นผู้ฟังพระธรรมเราต้องมีความเคารพสูงสุด ว่าใครเป็นคนที่ตรัสไว้ดีแล้ว ให้เรารู้ว่าเห็นนี่มีไม่ใช่ไม่มี แต่เห็นนี่จะเป็นเราหรือ คิดก็มี คิดจะเป็นเราหรือ สุขก็มี สุขจะเป็นเราหรือ ทุกข์ก็มี ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี เห็นผิดก็มี ศรัทธาก็มี มานะความสำคัญตนก็มี ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ความจริง ที่แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ใครอยากให้เกิดก็เกิด ใครไม่อยากให้เกิดก็ไม่เกิด แต่มีปัจจัยจึงเกิด สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ใครตรัสไว้ คำว่าธรรมดามาจากคำภาษาบาลี ธรรมะกับตา ก็คือความเป็นไป

    เพราะฉะนั้นธรรมดาก็คือ ความเป็นไปของธรรม ใครไปกั้นไม่ให้เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าโลกนี้โลกไหนก็มีธาตุซึ่งเป็นธรรมที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย แต่เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่าเป็นเราหรือเป็นของเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าไม่มีอะไรเลย ซึ่งเป็นของใครหรือเป็นใคร แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพียงฟังเท่านี้ เห็นพระคุณหรือไม่ มีโอกาสจะได้เข้าใจความจริงอย่างนี้ไหม และความจริงนี้ ละเอียดจนกระทั่งจากขั้นฟังเข้าใจมากขึ้นจนเป็นสัจจญาณ ญาณที่มั่นคงในความจริงว่า ความจริงต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ก็จะทำให้มีปัญญาอีกระดับ หนึ่งเกิดได้เป็นกิจจญาณซึ่งเราใช้คำว่าปฏิปัตติ ไม่ใช่เรา

    ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจเลย ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละพระชาติของพระโพธิสัตว์ ก็มีความดีความชั่ว มีการเกิดเป็นโน่นเป็นนี่ต่างๆ แต่ไม่มีการเห็นถูกในความเป็นจริงของสภาพธรรม จนกว่าเมื่อบารมีถึงพร้อมที่จะรู้ความจริง ไม่มีอะไรไปกั้นเพราะเหตุว่าเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าสัตว์โลกไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ด้วยตัวเอง ต่อให้จะคิดอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ จนถึงการประจักษ์แจ้ง ซึ่งเป็นกตญาณหรือปฏิเวธ เพราะว่าปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวท ต้องตามลำดับ ซึ่งถ้าไม่มั่นคงเป็นสัจจญาณ กิจจญาณก็เกิดไม่ได้ กตญาณก็เกิดไม่ได้ ทรงแสดงธรรมไว้แต่ละคำเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งคำ ซึ่งถ้าเราศึกษาอย่างช้าๆ เราก็จะพูดถึงแต่ละคำ แต่ที่นี้เพราะเราเคยได้ฟังมาแล้ว พอจะรู้ว่าหมายความว่าอะไร เพราะเคยได้ยินบ่อยใช่ไหมปฏิบัติก็เคยได้ยิน ปริยัตติก็เคยได้ยิน ปฏิเวธก็เคยได้ยิน แต่เราเข้าใจแต่ละคำหรือไม่ เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรม เพื่อที่จะให้เป็นผู้ที่รอบรู้ในแต่ละคำ ต้องทีละคำ

    ผู้ฟัง แล้วคำว่าในขณะที่สภาพธรรมปรากฏ ถ้าสติระลึก

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไป ถ้าสติเกินไกลกว่าขณะนี้ใช่ไหม เพราะเราพูดถึงถ้าสติเกิด แต่เอาเดี๋ยวนี้ก่อน เดี๋ยวนี้ มีเห็น แล้วก็มีความมั่นคงหรือยังว่าเห็นไม่ใช่เรา แล้วรู้จักสติหรือยังว่าสติมีกี่ขั้น ขณะที่เป็นปริยัติ ถ้าไม่เข้าใจก็อ่านตามคำ สืบทอดกันมาเป็นตำรา แต่ว่าสาวกในครั้งนั้นขณะที่ฟังมีธรรมกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้มีพระภาคตรัสถาม สาวกพวกนั้นก็สามารถจะตอบได้ในขณะนั้น ไม่ไปคิดถึงว่า ถ้าสติจะเกิด ไม่มีในครั้งนั้น แต่ของเราฟังแล้วไม่เข้าใจตรงที่ฟัง แต่เราไปคิดข้างหน้าว่า ถ้าสติจะเกิด คิดทำไม ยังไม่รู้เลยว่าสติต่างกับขณะนี้อย่างไร และจะถ้า ก็คือว่า ถ้าไปเรื่อยๆ ตลอดชาติทุกชาติ โดยไม่รู้ว่าสติคืออะไร และสติจะเกิดได้อย่างไร นี่คือประโยชน์ของการที่จะเข้าใจ รอบรู้ในแต่ละคำ เพราะเหตุว่าถ้าไม่รอบรู้ในคำที่หนึ่ง จะไปรอบรู้ในคำหลังๆ ได้อย่างไร ถ้าไม่รอบรู้ในความเป็นธรรมพูดถึงสติ สติคืออะไรก็ไม่รู้ แต่พูดถึงแล้วก็ยังคิดถึงด้วยว่าถ้าสติจะเกิด ก็เดี๋ยวนี้เราทำไมไม่พูดถึงสิ่งซึ่งมี ซึ่งเป็นปัจจัยให้สติเกิดได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ สติจะเกิดได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ก็เพราะไม่เข้าใจสติ

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นพูดถึงสติ สติคืออะไร ไม่ข้ามเลย รอบรู้จริงๆ ว่าสติคืออะไร

    ผู้ฟัง สติคือสภาพธรรมที่ระลึก

    ท่านอาจารย์ สติเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่จิต

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่รูป

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่นิพพาน

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ บังคับให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วสติจะเกิดเมื่อไร

    ผู้ฟัง เมื่อมีเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิด

    ผู้ฟัง ก็คือการฟัง

    ท่านอาจารย์ ฟังพอหรือยัง

    ผู้ฟัง ฟังยังไม่พอ ก็จึงต้องถาม

    ท่านอาจารย์ ฟังเพื่อเข้าใจใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจ มีสติเกิดร่วมด้วย ทุกครั้งที่ความเข้าใจ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา จะมีสติเจตสิกซึ่งเป็นโสภณสาธารณะทุกครั้งที่จิตฝ่ายดีเกิด จะต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง แต่ไม่ใช่เฉพาะสติ โสภณสาธารณเจตสิกหมายความว่า เจตสิกสาธารณะคือเกิดทั่วไปกับโสภณ คือจิตที่ดีงามทุกประเภทไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้น สติเป็นโสภณเจตสิก ที่เกิดกับจิตที่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ปัญญาจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ เพราะเหตุว่าธรรมดา โสภณสาธารณะเจตสิกหมายความว่าเจตสิก ๑๙ ประเภท ไม่ใช่แต่เฉพาะสติที่เกิดกับจิตหนึ่ง ขณะซึ่งเป็นจิตที่เป็นโสภณ เพราะมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่ว่าจิตจะเลือกเป็นโสภณได้ตามใจชอบ จะเป็นดีงามตามใจชอบ แต่ว่าถ้าไม่มีเจตสิกซึ่งเป็นโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตนั้นจะเป็นโสภณดีงามไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้สัทธาเจตสิกเป็นโสภณเจตสิก แต่ต้องเข้าใจให้ถูก การศึกษาธรรมต้องรู้ว่าคำของใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะเข้าใจเผินๆ คิดเองได้ไหม ศรัทธาเจตสิกคืออะไรต้องรู้ด้วย

    อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก หิริเจตสิก โอตตัปปเจตสิก ตัตรมัชฌัตตาเจตสิกเท่านี้ยังไม่พอ ต้องครบ ๑๙ เจตสิก ขณะนั้นจิตจึงจะเป็นโสภณเจตสิกได้ โดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยถ้าขณะนั้นไม่เข้าใจธรรม แต่ว่าขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจธรรมจะปราศจากโสภณเจตสิกทั้ง ๑๙ ไม่ได้เลย แต่มีปัญญาร่วมอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งซึ่งลองไตร่ตรองดูจริงไหม มีการให้ทาน มีการช่วยเหลือคนอื่น มีความกรุณาคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่เขามีปัญญาที่รู้ไหมว่า ขณะเห็นเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมากทุกอย่าง ไม่มีใครไปดลบันดาลได้เลยทั้งสิ้น แต่ว่าไม่ใช่เราทั้งหมดเลย ลืมไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรมเผินๆ เวลาที่เห็นเกิดขึ้น แล้วเราคิดว่าอย่างนี้ เห็นไหมแสดงว่ายังไม่หมดความเป็นเรา แต่ถ้าฟังธรรมจริงๆ เห็นดับไปแล้ว จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นดับไป ดับไปหมดเลย ไม่เหลือเลย การดับไปของจิตขณะนั้น เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ยับยั้งไม่ได้เลยเหมือนเดี๋ยวนี้ สืบต่อมาตั้งแต่ขณะแรกของชาตินี้ และจิตขณะแรกของชาตินี้ ก็สืบต่อมาจากชาติก่อน ย้อนไปย้อนไปก็คือ จิตเกิดดับสืบต่อไม่หยุดเลย แม้เดี๋ยวนี้เอง ฟังเพื่ออะไร เพื่อไม่ใช่เรา เพื่อเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และกว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ ซึ่งเป็นได้ ไม่ใช่เป็นไม่ได้ เพราะมีผู้ที่ดับกิเลสที่เคยยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นเราเป็นตัวตนได้มากมายในอดีต ตามกาลสมัย เป็นกาลสมบัติหรือเปล่า แต่เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาก็จะนำไปในกิจทั้งปวง ฟังอย่างนี้ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง

    เพราะฉะนั้นกิจเดี๋ยวนี้ก็คือว่า เมื่อมีความเห็นถูก ปัญญานำไปสู่การฟังเพื่อเข้าใจขึ้น ในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา โดยไม่มีความเห็นของเรา เข้าไปแทรกไปเกี่ยวเลย เพราะรู้ว่าเราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ถ้าเรารู้เองได้ไม่ต้องทรงแสดง ใครก็คิดไปเอง แต่ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้นเลย เพราะแม้เดี๋ยวนี้ทุกอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะจิตเห็น มีปัจจัยเกิดแล้วดับนับไม่ถ้วน แต่การค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ก็จะทำให้รู้ความจริงว่า ปัญญาไม่ใช่เรา ปัญญาน้อยแค่ไหน และกว่าจะมีปัญญาเพิ่มขึ้นได้อีก ปัญญาต้องสามารถเข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งขณะที่เพิ่งฟังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป นี่คือความละเอียด นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม

    ผู้ฟัง แล้วคำว่าหมั่นเจริญสติปัฏฐานบ่อยๆ เนืองๆ แปลว่าอะไร

    ท่านอาจารย์ หมั่นเจริญสติปัฏฐานบ่อยๆ เนืองๆ ไม่รู้เลยว่า สติคืออะไร ปัฏฐานคืออะไร แล้วหมั่นอย่างไร แล้วใครหมั่น เต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่รอบคอบ ไม่ละเอียดที่จะรู้ว่า พระธรรมทรงแสดงให้เห็นความไม่ใช่เรา ทรงแสดงว่าขณะใดบ้างที่มีวิริยะเกิดแล้ว ง่วงนอน ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยินเลย มีวิริยเจตสิกเกิดแล้ว เป็นไปในทางไหนใครรู้ จริงหรือไม่หรือว่าคิดเอง หรือว่าเป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อให้เรารู้ความจริงว่า ใครทำอะไรไม่ได้เลย จะเพียรก็คือเราเพียร แต่ไม่ได้เราเข้าใจว่าขณะนี้เพียรเกิดแล้ว เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นความเห็นผิดง่ายมาก กับดักรอบตัวที่จะก้าวไปสู่ด้วยโลภะ ด้วยความติดข้องในความเป็นเรา เพราะมีความต้องการ มีความยึดมั่น มีความอยากได้ อยากรู้ แต่ว่าไม่ได้ฟังพระธรรม แล้วนับถือพระพุทธศาสนาหรือนับถือใคร จะค่อยๆ เข้าใจหรือจะเพียร แค่คำถามธรรมดาแล้วแต่ว่าปัญญานำไปในกิจทั้งปวงหรือเปล่า แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นปัญญา เป็นความเห็นถูกทั้งนั้น แม้แต่ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ความเห็นว่าเป็นเรา ถ้าความเห็นว่าเป็นเรา ก็นำไปในทางที่จะเพียรด้วยความเป็นเรา โลภะก็อยากที่จะได้ผลจึงเพียรแต่ไม่รู้เลย

    ปัญญารู้อะไร ถ้าไม่มีการรู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน ของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้ จะเป็นปัญญาหรือ และปัญญาจะมาจากไหน คิดเองได้ไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่การจะเป็นคนตรง ก็ยังต้องไตร่ตรอง ด้วยความรอบคอบ

    ผู้ฟัง ฟังเทปของท่านอาจารย์ก็ได้ยินว่า ปกติมีการเจริญสติปัฏฐานบ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ สำหรับใคร

    ผู้ฟัง แล้วก็เลยไม่เข้าใจว่า

    ท่านอาจารย์ แล้วเราเป็นใคร สาวกในครั้งพุทธกาลเป็นใคร แล้วไปบอกคนที่เขาไม่เคยฟังธรรมเลย ต้องเจริญสติปัฏฐาน ควรเจริญสติปัฏฐานบ่อยๆ บอกเขาแล้วเขาเข้าใจอะไร สติก็ยังไม่รู้ว่าอะไร สติรู้อะไรก็ยังไม่รู้ แล้วไปทำความเพียรอะไร ก็มีความเป็นตัวตน เป็นอวิชาเป็นความไม่รู้ เป็นความเห็นผิดแน่นอน เพราะไม่รู้ เห็นขณะนี้ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วจะไปเพียรทำอะไร

    ผู้ฟัง แสดงว่าทุกอย่างก็เพียรฟังไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟัง มีโอกาสจะเข้าใจหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มีโอกาส

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นปัญญาของผู้ฟังเอง ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ปัญญาไม่ผิด ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา ถ้าเป็นเรา ก็ผิดแน่ เราคิดเอง คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้ แต่ปัญญารู้ว่าสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยได้ยินสักคำว่าไม่ใช่เรา และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืนเลยสักอย่างเดียว ขณิกมรณะ ตายทุกขณะ ไม่กลับมาอีกเลย แค่นี้ยังไม่ละความเป็นตัวตน เพราะว่าการที่ไม่รู้ และยึดถือความเป็นตัวตน นานแสนนาน มากมายมหาศาล กิเลสนี้ก็อุปมาว่าจักรวาลกี่จักรวาล ถ้าเป็นรูปธรรมก็บรรจุความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลายไม่หมดไม่พอ แล้วปัญญาแค่ไหน ที่จะไปดับกิเลสด้วยความไม่รู้ แค่ฟังแค่นี้ไม่มีทางเลย แต่ฟังแค่นี้รู้แล้ว ยังมีอีกมากนักที่ถ้าฟังแล้วจะเข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าฟังแค่นี้ แม้ว่าจริงจากไม่มีเห็น แล้วก็มีเห็น แล้วเห็นก็ดับไป ไม่มีได้ยิน แล้วก็มีได้ยิน แล้วก็ดับไป เราอยู่ที่ไหน ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับหมดเลย ไม่เคยรู้เลย

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังวาจาสัจจะเพิ่มขึ้น คิดเองแล้วเป็นอย่างไร เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นใคร ยากมาก ยากจริงๆ ความไม่รู้ กับการที่เคยยึดถือสภาพธรรม และโลภะซึ่งมีความต้องการ ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม จากรูป เสียง กลิ่น รส ทรัพย์สมบัติ เงินทอง ความเพลิดเพลินต่างๆ พอมาฟังธรรม ก็อยากที่จะทำอย่างนั้น อยากที่จะทำอย่างนี้ เปลี่ยนความอยากอย่างหนึ่ง มาสู่ความอยากอีกอย่างหนึ่ง ไม่เห็นโทษเลย และโลภะเกิดจากไหน เกิดจากความไม่รู้ ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง จะทำอย่างอื่นไหม ในเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ก็จะรู้จักเห็น จนกระทั่งละความติดข้อง จนกระทั่งคลายการยึดมั่น ไม่ใช่เฉพาะเห็นด้วย ทั้งทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจมากมายมหาศาล และจะไม่ค่อยๆ ฟังให้เข้าใจ เพื่อปัญญาจะได้ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ผู้ฟัง คือตัวผมไม่เคยคิดจะทำอะไร แต่ฟังแล้วไม่เข้าใจก็ต้องซักถาม

    ท่านอาจารย์ สมควรอย่างยิ่ง เป็นการสนทนาธรรมที่ถูกต้อง แล้วก็ต่างคนก็ต่างฟังเหตุผล ว่าความจริงเป็นอย่างไร ถ้ามีคนบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้จะทำไหม ให้เพียรอย่างนั้นอย่างนี้จะเพียรไหม

    ผู้ฟัง ผมไม่เคยทำ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเพียรไหม

    ผู้ฟัง ไม่เคยทำ ก็ไม่เพียร

    ท่านอาจารย์ แต่ฟังต่อไปแล้วก็จะได้ค่อยๆ ละความไม่รู้ เมื่อไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ได้หมายความว่าฟังแล้วเชื่อ ฟังแล้วเชื่อ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง

    ผู้ฟัง เพราะว่าเราฟังแล้วเรายังไม่ประจักษ์

    ท่านอาจารย์ จากไม่รู้ ไปประจักษ์นี่อีกนานไหม

    ผู้ฟัง นานมาก

    ท่านอาจารย์ เมื่อวันก่อน ก็ได้สนทนากับคนหนึ่งค่ะ เด็กผู้ชายอายุ ๑๕ เขาเข้าไปในเว็บไซต์รายการบ้านธรรมทั้งหมด อ่านโดยที่พ่อแม่ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไร คิดว่าเล่นเกมส์ แต่พอได้สนทนากับเขา ถามเขาฟังอย่างนี้ อีกนานเท่าไร จะฟังต่อไปอีกไหม เขาบอกฟังต่อไป จะฟังต่อไปอีกนานไหม เขาบอกจนกว่าจะตรัสรู้ ถูกไหมคะ

    ผู้ฟัง ถูก แต่ก็ต้องฟัง ฟังอาจารย์ที่ถูก

    ท่านอาจารย์ ฟังพระธรรมทุกคำเป็นคำจริง ถ้าใครไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ให้คนที่ฟังนี่เข้าใจ มีประโยชน์อะไร เหมือนกับเอาตำรามาอ่าน และคนฟังเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าคนฟังขณะนี้ อยู่ในสังสารวัฏฏ์ช่วงไหน ช่วงที่กำลังใกล้จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมหรืออย่างไร หรือว่าพอพูดเรื่องเห็น ก็ยังไม่รู้เลย ยังคงยึดถือเห็นว่าเป็นเรา ได้ยินว่าเป็นเรา พอได้ยินก็เกิดจะทำความเพียร โดยที่ไม่รู้เลยว่าทั้งหมดเดี๋ยวนี้เองทั้งหมด จะพูดถึงอะไรก็เป็นธรรม หิริก็เป็นธรรม โอตตัปปะก็เป็นธรรม ศรัทธาก็เป็นธรรม สติก็เป็นธรรม อโลภะ อโทสะ อโมหะก็เป็นธรรม ตัตตระมัชฌตัตตาก็เป็นธรรมธรรมฝ่ายดีกำลังเกิดดับ ในขณะที่กำลังเข้าใจ แต่ไม่มีใครรู้จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ละเอียดขึ้นๆ ถึงจะค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เราแน่นอน ถ้าไม่มีความมั่นคงเป็นสัจจญาณ กิจจญาณหรือปฏิปัตติ เกิดไม่ได้ เพราะกิจจญาณหมายความถึงกิจของสติ และสัมปชัญญะคือปัญญา ซึ่งเกิดขึ้นรู้ และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพียงฟัง และไม่ใช่ด้วยความจงใจ เพียรที่ต้องการที่พยายามที่จะรู้ นั่นก็ผิดอีก เรื่องผิดมีมาก เพราะว่าสะสมความเห็นผิด ความไม่รู้ไว้มาก แต่ว่าปัญญาค่อยๆ เห็นถูก มิฉะนั้นจะมีบารมีหรือ วิริยบารมีไม่ใช่เราเพียร ขันติบารมีความอดทนกี่อสงไขยกว่าจะรู้สิ่งที่กำลังเกิดดับ จะรู้ไม่ก็ยังไม่รู้เลย ถ้าวันนี้ไม่ฟังให้เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็จะไม่ถึงวันนั้น สัจจบารมีรู้แน่ว่าปัญญารู้อะไร เข้าใจอะไร สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเลย เห็นขณะนี้มีความไม่รู้แล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ไปเรื่อยๆ กับขณะที่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อีกนานไหมกว่าจะละการที่เคยยึดถือเห็นด้วยความเป็นเรามานานแสนนาน เพราะฉะนั้นถ้าสัจจญาณไม่มี กิจจญาณคือสติสัมปชัญญะจะเกิดปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นต้องฟังอีกเท่าไหร่ ไม่ต้องคิดถึงเลย เรื่องที่ว่าจะเป็นเราไปคอย กี่วัน กี่เดือน กี่ปี แต่เป็นความเข้าใจถูกต้อง ว่าเดี๋ยวนี้ที่ฟังมีความเข้าใจแค่ไหน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    14 ต.ค. 2567