ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
ตอนที่ ๗๘๙
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ฟังไว้เข้าใจไว้สะสมไป เพราะว่าสิ่งที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราเลย แต่ว่าเพราะปัญญาความเห็นถูกค่อยๆ ละความไม่รู้ และความที่เคยยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นเราทีละเล็กทีละน้อย แม้ในขั้นการฟังต้องตรง เป็นสัจจญาณการรู้จริงๆ ว่า สภาพธรรมเปลี่ยนไม่ได้ เป็นอย่างนี้
อ. ธิดารัตน์ ลักษณะของศรัทธาเกิดร่วมกับกุศลทุกประเภทเลย แต่เหมือนกับเราเรียนเรื่องของลักษณะของศรัทธาว่าเป็นความเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นความผ่องใสของจิต แต่จริงๆ ลักษณะของศรัทธา ก็รู้ได้ยาก
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราเจาะจง จะไปรู้คำหนึ่งคำใด แต่เมื่อได้ยินคำไหนควรที่จะเข้าใจ ศรัทธา คำนี้คนไทยใช้บ่อย เดี๋ยวนี้มีศรัทธาหรือเปล่า
อ. ธิดารัตน์ ก็ต้องเริ่มจากเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นกุศลหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ถ้าใครตอบว่ามี หมายความว่า รู้จักศรัทธา มิฉะนั้นก็หมายความว่าเดาว่ามี คิดว่ามี คาดคะเนว่ามี แต่ศรัทธาจริงๆ คืออะไร ต้องเริ่มทีละคำอย่างชัดเจน ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าสภาพธรรมละเอียดมาก ขณะนี้สภาพธรรมเกิด และดับไป นับถ้วนไหมในสากลจักรวาล แต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว ไม่ได้กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นได้ยินแต่ละคำไม่เผิน ก่อนอื่นอย่าเพิ่งไปคิดว่า จะได้เข้าใจศรัทธา เข้าใจหิริโอตตัปปะ เข้าใจฉันทะ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงแค่ว่าขณะนี้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ใครเลยสักคน และลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ละทางนี่ ก็หลากหลาย
เพราะฉะนั้นยังไม่ถึงศรัทธาเลย เพราะว่าขณะที่ฟัง สภาพธรรมที่ดีงามที่เกิดพร้อมกับความเข้าใจความเห็นถูก เกิดแล้วดับแล้ว ไม่ใช่เฉพาะศรัทธา หิริก็มี โอตัปปะก็มี แต่ว่าเราจะรู้หรือ ในเมื่อแม้แต่เพียงขณะนี้เป็นธรรมก็ยังไม่รู้ แล้วก็ฟังอีกมากเลย ทุกคำ คิดว่าเมื่อฟังแล้วจะเข้าใจธรรม จะเป็นการศึกษาพระพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรมเริ่มจากตรงนี้ และรู้ว่าฟังอย่างนี้ รู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นมีจริงก็ดับแล้ว ได้ยินมีจริงก็ดับแล้ว คิดมีจริงก็ดับแล้ว ยังไม่ทันจะเห็นถูกว่าไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องรู้ว่าเราฟังทำไม ฟังเพื่อเห็นความละเอียดอย่างยิ่งของสภาพธรรม เพื่อให้เราค่อยๆ เข้าใจถูกต้องในขั้นฟัง ว่าไม่ใช่เราแน่นอน เป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นการฟังก็คือว่า ให้รู้จริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรมก่อน แล้วก็จะศึกษาอะไร จะศึกษาสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม หรือว่าจะศึกษาธรรมที่เป็นนามธรรม เพราะเหตุว่า รูปธรรมมีแน่ๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเนี่ย เป็นเราหมดเลย หน้าเรา ขาเรา เท้าเรา หูเรา เราหมด แต่ว่าลองกระทบสัมผัสแข็ง แข็งเป็นของใคร แล้วขณะที่แข็งกำลังปรากฏ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจขึ้น จะรู้ว่าต้องตรง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือขณะใดก็ตามที่แข็งปรากฏ ขณะนั้นแข็งต้องเกิด
เพราะฉะนั้นเคยจำไว้ว่า มีโต๊ะ มีเก้าอี้ แค่จำผิดว่ายังมีอยู่ เหมือนกับขณะนี้ มีหูไหม แค่นี้ เห็นไหม ไม่ได้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นปัญญาต้องค่อยๆ เข้าใจถูก โดยมั่นคง ฟัง แล้วก็เริ่มคิด ขณะนี้สภาพธรรมใดปรากฏ ลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น ซึ่งเป็นลักษณะที่ใครก็ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้เลย แล้วก็เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มีหูไหม มีก็จำไว้อีก แต่ว่าลักษณะจริงๆ มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ ไปจำหู และสิ่งที่กำลังปรากฏก็เกิดแล้วดับแล้ว แล้วอย่างนี้จะเห็นความลึกซึ้งของพระธรรมหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากเข้าใจมากๆ อยากรู้มากๆ แล้วก็จะเข้าใจธรรมได้ แต่เป็นเรื่องละเอียดที่รู้ว่า การเข้าใจสภาพธรรม แม้ธรรมมีจริงแค่ฟัง ฟังแล้วยังผิดๆ ถูกๆ แล้วจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ไม่ประมาท พระปัจฉิมวาจาก่อนที่จะปรินิพพาน จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ให้ถึงพร้อมแม้ขณะที่ฟัง เพราะว่าถ้าคลาดเคลื่อนไปนิดเดียว ผิดจากการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการฟังคนอื่น คำอื่น หรือคิดเอง ซึ่งคิดเองแต่ละคนก็คงจะรู้แล้วว่าไม่มีปัญญาที่จะไปคิดเรื่องของธรรมได้เลย มีทางเดียวคือฟังแล้วก็พิจารณา จนกระทั่งเป็นความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย อีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้มีฟันหรือไม่ ใครยังมีอยู่บ้าง นี่คือการฟังธรรม ไม่มีเรา คิดถึงคำนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่มีอย่างอื่นปะปนเลย จะละการยึดถือ และความจำว่ามีเราได้ไหม ในเมื่อจำมานานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียวทุกชาติมา ธรรมเกิดแล้วก็ดับก็ไม่รู้ ก็ยึดถือว่าเป็นเราหมด เพราะฉะนั้นขณะนี้มีปอดไหมคะ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละทาง ซึ่งสิ่งนั้นต้องเกิดค่ะจึงปรากฏ และเมื่อปรากฏแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน พร้อมกันไม่ได้เลย แต่ว่าการเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เพราะฉะนั้นกว่าจะไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งเนี่ย ก็ต้องอาศัยการฟัง และการเข้าใจจริงๆ ค่อยๆ เริ่มว่าไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตน ไม่ได้หมายความว่า กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ แล้วมานั่งจำว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน นี่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะให้ไปจำแล้วไปคิด แล้วก็คิดว่าตัวเองเข้าใจแล้วว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา แต่ความจริงไม่ใช่เลย สิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้น ไม่มีเราเหลือเลย แต่มีสภาพธรรมเพียงหนึ่ง ที่กำลังปรากฏแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป ยับยั้งไม่ให้ดับไปได้ไหม เห็นเมื่อครู่นี้ไม่ต้องนับเลย เท่าไหร่ก็ดับไปหมด แม้แต่ได้ยิน แม้แต่คิดแต่ละขณะ ก็ดับไปหมด
นี่คือการฟัง ฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่ามีโอกาสได้ฟังวาจาสัจจะของผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็สามารถที่จะเทียบได้ว่า คำสอนอื่นๆ สามารถที่จะให้ปัญญาเกิดไหม ที่จะรู้ความจริง ไม่ใช่ต้องไปขอยืมปัญญามาจากใคร ไม่ใช่ไปขอคำตอบ นี่ใช่ปัญญาไหม แต่กำลังฟังขณะนี้ มั่นคงที่จะรู้ว่าเป็นจริงอย่างที่ได้ฟังหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราจะกล่าวถึงธรรม ก็มากมายไม่ว่าอะไร แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมทีละคำ
ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์พูดก็สนใจมากว่าปัญญา เพราะว่าเชื่อว่าทุกท่านที่มาวันนี้ หรือที่ติดตามท่านอาจารย์ไปทุกครั้ง ต้องมาด้วยใจที่เป็นปิติ โดยที่ไม่มีใครชักจูงแล้วก็คิดว่าเมื่อเรามาฟังนี่ เราก็จะได้ข้อมูลทางธรรมมากมาย ที่สำหรับมาประดับสมองเราแต่ก็ยังสงสัย
ท่านอาจารย์ ยังไม่ละทิ้งการที่เป็นเราไปเลย เพราะฉะนั้นขณะที่ฟัง ไม่คิดเรื่องอื่น ที่จะได้ประโยชน์จริงๆ คือไม่รู้ว่าเราจะศึกษา เข้าใจอะไรมาอย่างไร ก็อย่าได้ไปคิดถึงเลย ฟังคำที่ได้ยิน แล้วก็เริ่มเข้าใจคำที่ได้ยิน อันตรายก็คือว่าปะปนเอาความคิดของเรามา เพราะฉะนั้นขณะนั้นจะไม่เข้าใจ แม้แต่คำว่าไม่ใช่เรา คือสิ่งที่มีจริงๆ เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา มีแต่สิ่งที่กำลังเกิดปรากฏแล้วก็ดับไป หมายความว่า กว่าจะรู้ว่าไม่มีอะไรเลย แม้แต่ที่จะไปจำไว้เป็นอัตตสัญญาว่ามีเรา มีปอด มีหู มีตา มีขา มีแขน ขณะนั้นไม่ได้ปรากฏ แต่ยังจำไว้ คิดดูว่ากว่าจะหมดอัตตสัญญา ความจำว่าเป็นเรา อีกนานไหม เพราะฉะนั้นขณะที่ฟัง ให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ไม่เอาความคิดอื่นมาปะปนเลย
ผู้ฟัง สงสัยว่า มหากุศลจิตซึ่งประกอบปัญญา ยังเข้าใจไม่ชัดเจน
ท่านอาจารย์ มหากุศลจิตซึ่งประกอบด้วยปัญญา หารู้ไม่ว่า ขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้เข้าใจหรือเปล่า ถ้าเข้าใจไม่ต้องเรียกชื่อใช่ไหม เพราะเหตุว่ารูปเข้าใจอะไรไม่ได้เลย จิต และเจตสิกซึ่งเป็นธาตุรู้นั่นแหละ ซึ่งขณะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด และเจตสิกฝ่ายดีซึ่งเกิดร่วมกันในขณะนั้น รวมทั้งปัญญาคือความเห็นถูก ก็เกิดในขณะนั้น แล้วจะไปเข้าใจอะไรอีกต่างหาก จะไปเอาชื่ออะไรมาใส่ มหากุศลญาณสัมปยุต เรียกชื่อ แต่เดี๋ยวนี้ขณะที่กำลังเข้าใจ เกิดแล้วดับแล้ว ยังไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่มีชื่อละ ว่าขณะนั้น มหากุศลญาณสัมปยุตต
เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่าฟังธรรมต่างกัน คนในสมัยครั้งพุทธกาลที่สะสมความเห็นถูกมาแล้ว พอได้ยินคำ รู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ต้องไปจำเป็นเรื่อง เป็นชื่อ แล้วก็มาหาว่าอยู่ไหน ขณะใดที่กำลังเข้าใจ ไม่ใช่เรา เห็นถูกตามความเป็นจริงเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเข้าใจถูก ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่ดี เป็นกุศล เพราะฉะนั้นจึงเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาก็ขณะที่กำลังเข้าใจนี่แหละ ไม่ใช่เราในขณะที่รู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏ ให้ศึกษา ให้เข้าใจความจริงว่า ไม่ใช่เราแน่นอน กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ทุกคนเห็น ฟังเพื่อที่จะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนั้นไม่ต้องเรียกว่าปัญญาได้ไหม ขณะที่กำลังเข้าใจ ไม่ต้องเรียกว่ากุศลได้ไหม ก็เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่ไปติดชื่อ แต่เข้าใจธรรมที่ไม่ใช่เรา ขณะนั้นไม่ใช่คุณรัชนี แต่เป็นจิต และเจตสิก และขณะนี้ไม่ใช่แต่เฉพาะคุณรัชนี ไม่ใช่ใครเลยทุกคน เป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นจิตเจตสิกเกิดขึ้น แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ ฟังจนกระทั่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปติดที่ชื่อ
ผู้ฟัง เป็นคนว่าง่ายกับคนว่ายากนี้ต่างกันหรือไม่
ท่านอาจารย์ เชื่อง่ายเป็นคนว่าง่ายหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็ไม่เสมอไป
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่เสมอไป เชื่อง่าย ต้นไม้ต้นนี้ มีเทวดาต้องไปไหว้
ผู้ฟัง อย่างนี้เชื่อแบบไม่มีเหตุผล
ท่านอาจารย์ แบบนี้ คือเชื่อง่าย
ผู้ฟัง แต่ถ้าเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นทุกคำ อะไรดีเดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง ในเบื้องต้นอาจจะว่า
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ นี่คือเบื้องต้น
ผู้ฟัง เบื้องต้นก็ดีสำหรับเราก่อน
ท่านอาจารย์ อะไรดี หาไม่ได้ แต่รับไปแล้ว เพราะฉะนั้นเผินมาก คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้ง แล้วก็กล่าวถึงสิ่งที่มีชัดเจนแต่ละหนึ่ง เพื่อการรู้ว่าไม่ใช่เรา นี่คือคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้ว่าต่างกับคำสอนอื่น เพราะไม่ใช่เพียงคิด แต่เป็นการตรัสรู้ความจริง ด้วยพระปัญญาที่กำลังประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นทุกคำต้องตรง ผู้ที่จะรับฟังก็คือว่าพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นแต่ละคำ ไม่คลาดเคลื่อน และไม่คิดเอง ขณะนี้อะไรดี อะไรดี
ผู้ฟัง สิ่งที่เป็นกุศลดี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นกุศล
ผู้ฟัง การฟังธรรมเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ แล้วก็เข้าใจไหม
ผู้ฟัง เข้าใจบ้าง
ท่านอาจารย์ ขณะที่เข้าใจบ้าง เป็นกุศลหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นกุศล
ท่านอาจารย์ น้อยหรือมาก
ผู้ฟัง น้อยก็ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ตรง ตามความเป็นจริง แต่ละคำไม่เผินเลย
ผู้ฟัง คือน้อยก็ยังดี ก็ยอมรับไว้ เชื่อไว้
ท่านอาจารย์ เชื่ออีกแล้ว
ผู้ฟัง ก็เชื่อว่าเป็นกุศลน้อย
ท่านอาจารย์ กุศลคืออะไร
ผู้ฟัง กุศลคือสิ่งที่ดีงาม
ท่านอาจารย์ นั่นสิอะไร เห็นไหมว่าแล้วก็ถึงทางตัน แต่ธรรมไม่ใช่เรา ลืมอีกแล้ว ถ้าจำได้ ตอบได้ เข้าใจได้ เพราะว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่จะรู้จักพระธรรมคำสอน และรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าคำใดถูกต้อง ต้องเป็นความเข้าใจ ถ้ายังไม่รู้ว่าอะไรก็คือว่าหมดเลยวันนี้ เปล่าประโยชน์ เพราะว่าทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ด้วย มีจริงเดี๋ยวนี้แล้วก็ไม่เข้าใจ นั่นคือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีจริงเดี๋ยวนี้แล้วเข้าใจถูก นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำไม่ข้าม จะเห็นได้เลยว่า ถ้าข้ามๆ ไป ไม่มีประโยชน์เลย แต่สหายธรรม กัลยาณมิตร ก็คือผู้ที่รู้ประโยชน์ ของความเข้าใจถูก อย่าพูดอะไรที่จะทำให้คนอื่นสงสัย เคลือบแคลงหลงผิด แต่ต้องชี้ชัดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงสิ่งนี้ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดตั้งต้นเลยลืมไม่ได้ คือเป็นธรรมไม่ใช่เรา มิฉะนั้นแล้วทั้งหมดที่เรียนมา เป็นเราตลอด เพราะฉะนั้นดีคืออะไร
ผู้ฟัง ดีก็คือไม่ใช่เรา เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร
ผู้ฟัง เป็นธรรมฝ่ายกุศล
ท่านอาจารย์ ธรรมฝ่ายกุศล ขณะนั้นน่ะเป็นอะไร
ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยเฉลยว่าดีคืออะไร
ท่านอาจารย์ เป็นรูปหรือเปล่า รูปรู้อะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง นามธรรม
ท่านอาจารย์ นามธรรมอะไร
ผู้ฟัง เป็นจิต
ท่านอาจารย์ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง จิตไม่จำ จิตไม่ดี จิตไม่ชั่ว แต่เจตสิกสภาพรู้ซึ่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตหลากหลาย ทำให้ลักษณะของจิต ต่างกันไปเป็นประเภทต่างๆ เดี๋ยวนี้เอง ถ้าฟังมาตั้งแต่ต้นแล้วไม่ลืม ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นจิต และเจตสิก แต่จะให้ตรง จิตเป็นแต่เพียงธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เจตสิกทั้งหลายที่เกิดพร้อมจิ ก็มีลักษณะหลากหลายแล้วก็ทำกิจของเจตสิกนั้นๆ ก้าวก่ายกันไม่ได้เลย สับสนกันไม่ได้เลย เจตสิกที่จำเกิดจำสิ่งที่กำลังปรากฏพร้อมจิต เจตสิกที่รู้สึกก็สบาย หรือว่าโทมนัสไม่สบายใจหรือว่าเฉยๆ ก็เกิดพร้อมจิต เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม จิตเจตสิกไม่ใช่เรา รูปไม่ใช่เรา นิพพานไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นธรรม คำนี้ถ้าลืม การศึกษาธรรมต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าไม่นำไปสู่การที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ถ้าจะถึงขั้นที่ไม่ใช่เรานี่ ต้องละสักกายทิฏฐิเลยหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ด้วยอะไร อยู่ดีๆ ละได้ไหม
ผู้ฟัง ด้วยปัญญา
ท่านอาจารย์ ปัญญาระดับไหน
ผู้ฟัง ระดับพระโสดาบัน
ท่านอาจารย์ โสดาปัตติมัคคจิตเกิด แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหนตรงไหน แล้วจะถึงขณะนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่เราไปทำใหญ่เลย แต่ปัญญาแม้การฟัง ก็เผินไม่ได้ แล้วก็ลืมบ่อยๆ ลืมแล้วจะเป็นธรรมได้ไหม ก็เป็นเราต่อไปทุกขณะที่ลืม
อ. อรรณพ เรื่องเชื่อไว้ก่อนก็คือเชื่อง่าย เชื่อง่ายก็คือว่ายาก เชื่อง่ายโดยไม่ได้มีการพิจารณาไตร่ตรองอะไรเลย ซึ่งสังคมไทยยุคนี้เนี่ยเป็นมาก เป็นมากจริงๆ ถ้ามีเรื่องอะไรก็จะแตกตื่นกัน แตกตื่นแล้วว่ามีวิธีปฏิบัติแบบใหม่ วิธีที่จะปฏิบัติให้ สามารถจะบรรลุธรรมได้แบบใหม่แบบใหม่ หลากหลายมาก แล้วคนก็ไปกันเพราะไม่ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นเชื่อง่ายก็คือว่ายากในธรรม ว่ายากถึงไม่น้อมไปที่จะฟังพระธรรม ได้ยินพระธรรมเหมือนกับเป็นสิ่งที่ไม่ได้เข้าไปในความสนใจ ความเข้าใจ เห็นการศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องที่บางคนก็บอกว่ายากไป ธรรมที่มาศึกษากันเป็นธรรมชั้นสูง ไม่ศึกษา เอาพื้นๆ ก่อน หรือเอาทางลัดก่อน นั่นคือว่ายากที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่ควรรู้คืออะไร
อ.นิภัทร หนทางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าไม่ใช่เรา โดยการรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ที่เป็นรูปบ้าง ลักษณะของนามบ้าง ที่เกิดในแต่ละขณะ ขณะที่เกิดแล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ กำลังมีสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง
อ.นภัทร เพราะฉะนั้นความเป็นเรา ที่เหนียวแน่นมาก แม้กระทั่งอย่างเราคิดแล้วว่าอยากจะกินอะไร ความที่อยากจะกิน ก็คือความเป็นเราที่อยู่ลึกๆ เพราะฉะนั้นถ้าสติเกิดขึ้นระลึกในลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น ที่เรากำลังอยากจะกิน ก็เป็นลักษณะของนามธรรมอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ความเข้าใจยังไม่พอ ที่สติจะระลึก ขอเชิญคุณธิดารัตน์ทบทวนข้อความเรื่องปัญญาที่กล่าวถึงในตอนต้น ทีละประโยค
อ.ธิดารัตน์ ข้อความนี้จิตตุปาทกันณ์ะ ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นย่อมรู้ทั่วซึ่งธรรมทั้งหลาย
ท่านอาจารย์ ย่อมรู้ทั่วซึ่งธรรมทั้งหลาย ยังไม่ต้องไปไหนเลยใช่ไหม รู้ทั่วในธรรมเดี๋ยวนี้ ทั้งหลายหรือยัง สักหนึ่ง
อ.นภัทร ธรรมทั้งหลาย
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม ถูกต้องไหมทุกคำต้องตรง และไม่เปลี่ยน สมัยไหนเมื่อไหร่ยังไง ธรรมก็ต้องเป็นธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้นย่อมรู้ทั่วในธรรมทั้งหลาย ทั่วหรือยัง ยังไม่ต้องไปพูด เรื่องสติ เรื่องอะไรเลย ความเป็นผู้ตรง ว่าขณะนี้เห็นมีเป็นธรรม ได้ยินมีเป็นธรรม คิดมีเป็นธรรม ชอบมีเป็นธรรม ทุกอย่างหมดเลย แล้วรู้ทั่วหรือยัง แม้ในขั้นของการฟัง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ใครบอกว่า สติก็จะให้มีสติ ใครบอกว่าทำสติ ก็จะไปทำสติ ใช้สติก็จะไปใช้สติ แต่ไม่รู้ว่าสติคืออะไร เพราะฉะนั้นปัญญาคือรู้ทั่วในธรรมทั้งหลาย ในขั้นฟังยังไม่มีพอที่จะเป็นสัจจญาณ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงสติเลย เพราะฉะนั้นในขั้นฟังในธรรมทั้งหลาย ในขณะนี้เข้าใจใช่ไหม เป็นปัญญารู้ทั่ว ปัญญาบ้างไหม ว่าไม่ใช่เราที่เข้าใจ
อ.นภัทร ที่ผมบอกว่าบางทีความเป็นเราลึกมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นหนทางทางเดียว คือฟังเข้าใจนี่เป็นการที่จะละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความติดข้อง และการหลงยึดถือว่าเป็นเรา และเป็นวิริยารัมภกถา กถาคือคำที่จะให้เกิดวิริยะว่า ยากอย่างนี้ แต่จริงที่สุด ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความจริง ไม่ได้เลยในสังสารวัฎฏ์ตลอดในอดีต และอนาคต ธรรมก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคำจริงไม่เปลี่ยนความจริงเลย เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็คือบารมี ๑๐ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงว่ายาก แล้วขณะนี้เป็นผู้ตรงสัจจบารมี เข้าใจธรรมไหนบ้าง ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840