ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
ตอนที่ ๘๕๔
สนทนาธรรม ที่ ภูพานเพลส จ.สกลนคร
วันที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ว่าจะให้ปัญญาเจริญขึ้น หรือว่าไม่สนใจ อยู่ไปในโลกวันๆ นี่ก็สนุกดี เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข ก็ทนได้ อยู่ไปด้วยความไม่รู้ ถ้าจะเป็นอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า แล้วเราจะทำอะไรเขาได้ แม้พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจ ของคนที่ไม่ฟังธรรม ไม่เห็นประโยชน์ของธรรม ให้มาได้ยินได้ฟังสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ตอนนี้ใครจะตอบ อัพยากตธรรม
ผู้ฟัง อัพยากตธรรม คือ สภาพที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แน่นอนแล้วอะไรที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล จิตที่เป็นเหตุที่ดี เป็นกุศลธรรม กุศลาธรรมา จิตที่มีเจตสิกที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วย เป็นเหตุที่ไม่ดีเป็นอกุศลธรรมาทั้งหมดเลย เมื่อเหตุมี ผลต้องมี มิฉะนั้นจิตที่เกิดเพราะจิตที่เป็นเหตุทำให้เกิดขึ้น เป็นผลของจิตที่เป็นเหตุ คือภาษาบาลีใช้คำว่า วิปากะ ภาษาไทยว่า วิบาก วิปากจิตเกิดได้อย่างไรถ้าไม่มีเหตุ เพราะฉะนั้นวิปากจิตนี้ เป็นจิตที่เป็นผลของเหตุ คือ กุศลเหตุ หรืออกุศลเหตุที่ได้กระทำไว้ ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้น ผลของกุศล และอกุศลที่กระทำไว้ ต้องมี ถึงนานแสนนานที่ได้ทำไว้ ถึงเวลาที่จะให้ผล ให้ผลได้
เพราะฉะนั้น ธรรมที่เราเรียกว่า กรรม เป็นเจตสิกหนึ่ง ที่ใช้คำว่า เจตนา (เจ-ตะ-นา) ภาษาไทยชอบพูดว่า เจตนา (เจด-ตะ-นา) แต่ภาษาบาลีต้องออกเสียงว่า เจตะนา สภาพที่จงใจ ตั้งใจ ไม่เพียงแค่นั้น ขวนขวาย กระทำให้สำเร็จลงไปนี่คือ เจตนา ที่กระทำกรรมนั้นสำเร็จ อย่างการมาฟังธรรมนี้ ทราบว่าหลายท่านมาไกล มีความตั้งใจ มีเจตนาที่เป็นกุศลแล้วสำเร็จด้วย คือมาจริงๆ ฟังจริงๆ ไม่ใช่ข้างทางก็เปลี่ยนใจ หรืออะไร
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เหตุมีแล้ว เพราะฉะนั้นผลต้องมี ต้องมีจิตที่เกิดขึ้นเพราะผลของกรรมนี้ เพราะถ้าจิต เจตสิกไม่เกิด จะเป็นผลได้อย่างไร ไม่มีการรู้อะไรเลยทั้งสิ้น เหตุก็หมดไปแล้ว กุศล อกุศลก็ดับไปแล้ว ไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องเป็นผล แต่ผลมี คือต้องเป็นจิตและเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นผลของกรรม แต่ไม่ใช่จิตเจตสิกซึ่งเป็นกรรม เพราะฉะนั้น อัพยากต รวมทุกอย่างที่ไม่ใช่จิตและเจตสิกที่เป็นกุศล และอกุศล รูปไม่ใช่กุศล และอกุศล รูปเป็นอัพยากต ความหมายก็คือว่า ไม่ใช่กุศลและอกุศล นั่นเอง ถ้าเป็นภาษาไทยก็เข้าใจง่าย ในภาษาของตนๆ ถ้าไปจำ ไปท่อง กุสะลาธัมมา อกุสะลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา ไม่รู้ว่าอะไร แต่พอไม่พูดคำนี้ พูดในภาษาของตนๆ อัพยากตก็คือสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้น รูปมีจริง ไม่ใช่กุศลและอกุศล รูปเป็นอัพยากต ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูก
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้อะไร จะไปรับผลของกรรมโดยการที่เกิดขึ้นรู้ ไม่ได้ แต่เป็นผลของกรรมได้ แต่ไม่ใช่วิบาก ความละเอียดคือ วิปากที่เป็นผลของกรรม หมายเฉพาะจิตและเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ เกิดมารู้นั้น ขณะไหนเป็นผลของกรรม ลำบากลำบนแค่ไหน ไม่มีใครทำให้เลย แต่ขณะนั้นต้องมีเหตุที่ได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้นจิตและเจตสิกเท่านั้น ที่เป็นวิปากะ แต่รูปเป็นผลของกรรม แต่ไม่ได้รู้เห็นอะไรเลยกับเขาทั้งนั้น ก็ไม่ใช่การเป็นผลของกรรมโดยการเกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีกุศลจิต กุศลธรรมก็มีกุศลวิบาก ตรงตัวคือเป็นผลของกุศลกรรมเท่านั้น อกุศลกรรมไม่สามารถที่จะทำให้กุศลวิบากเกิดได้ ต้องกุศลธรรม จึงจะทำให้จิตเจตสิกซึ่งเป็นผลเกิดขึ้น
ขณะแรกที่เกิดในชาตินี้ นั่นคือผลของกรรม เลือกไม่ได้ แต่เป็นจิตและเจตสิก ซึ่งไม่ใช่เหตุ เหตุได้กระทำแล้ว เยอะแยะ ไม่รู้ว่าเหตุใด แต่ต้องเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นคนในชาตินี้ ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรม เกิดแล้ว ไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ผลของกรรมคือทันทีที่จิตขณะแรกเกิด ใช้คำว่าปฏิสนธิจิต สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ปฏิ แปลว่า เฉพาะ สนธิ แปลว่า ต่อ เพราะฉะนั้นจิตนี้ไม่เกิดที่อื่นเลย เกิดต่อจากจุติจิตคือจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ที่เราใช้คำว่า ตาย สิ้นสุดกรรมที่จะให้เป็นบุคคลนั้น ก็มีกรรมอื่นอีกที่จะทำให้เป็นคนนี้ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดนั่นแหละ เป็นผลของกรรม หรือเป็นวิปากะ
เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เพิ่มความเข้าใจขึ้นมาอีก กุศลกรรม แล้วก็กุศลวิบาก แยกกันแล้ว เหตุกับผล เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมก็รู้ เข้าใจ ทุกขณะจิตที่เกิดขึ้นว่า ไม่ใช่เรา เพราะทรงแสดงไว้ละเอียดอย่างยิ่ง ขณะเกิดขณะนั้น มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ เพราะอะไร โดยฐานะใด รู้อารมณ์อะไร เพียงหนึ่งขณะจิต ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ทำกิจนี้อีก ในชาตินั้นไม่ได้ แค่ต่อจากจุติจิตของชาติก่อนแล้วก็ดับ เป็นอนัตตาไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ใครเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม
ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อกุสะลา ธัมมา กุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา เริ่มเข้าใจแล้ว รูปไม่ใช่กุศล อกุศล วิบาก จิตและเจตสิกไม่ใช่กุศล และอกุศล เป็นอัพยากต เท่านี้เอง แต่ก็มีอีกหนึ่ง คือ นิพพาน
ผู้ฟัง ก็ฟังแต่ชื่อ แล้วก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้
ท่านอาจารย์ แต่อย่างน้อยที่สุด มีความเข้าใจถูกว่า นิพพานไม่ใช่จิต นิพพานไม่ใช่เจตสิก นิพพานไม่ใช่รูป เพราะไม่เกิด เพราะไม่มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ คลายความติดข้อง จึงสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรม ที่ไม่มีการเกิด เป็นอัพยากต ครบไหม ปรมัตถธรรม ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน แต่พอถึงกุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล อีกนัยหนึ่ง ไม่พ้นจากจิต เจตสิก และรูป แล้วถ้าศึกษาเข้าใจแล้วอย่างนี้ กำลังไตร่ตรอง ขณะนั้นก็เป็นปัญญาด้วย ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการฟัง ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองเลย ลืมเลยก็ได้ น้อยมาก แต่ความคิดของเรานั้น เราห้ามไม่ได้ ว่าเราจะคิดอะไร ใช่ไหม แต่คิดในสิ่งที่คุ้นเคย เห็นคนที่เรารู้จักใหม่ๆ นั้น ไปคิดเรื่องอะไรของเขา ก็คิดไม่ออก บอกไม่ถูก เพราะไม่รู้ ใช่ไหม แต่ถ้าเป็นคนที่เราคุ้นเคย เขาอยู่ไหนเราก็รู้ เขามีพี่น้องกี่คน เราก็รู้ เขาทำอะไร เราก็รู้ ก็คิดถึงแต่สิ่งที่ประสบพบเห็น จนกระทั่งคุ้นเคย
ด้วยเหตุนี้ มีคำว่า อุปนิสสยโคจร (อุ-ปะ-นิส-สะ-ยะ-โค-จะ-ระ) เราได้ยินคำว่า อุปนิสัย นิสัย (นิ-สะ-ยะ) คือ ที่อาศัย อุปะ มีกำลัง ที่อาศัยที่มีกำลัง ที่จิตรู้บ่อยๆ ก็คิดถึงบ่อยๆ เป็นอุปนิสสยโคจร แต่ว่าเราคุ้นเคยกับเรื่องอื่น เยอะเลย คุ้นเคยกับธรรมหรือยัง ที่จะคิดถึงบ่อยๆ ลดความคิดถึงเรื่องอื่นน้อยลง เพราะเหตุว่ามีกำลังพอที่จะคิดถึงสิ่งที่เราได้ฟังที่เป็นธรรมเมื่อไหร่ เป็นอุปนิสสยโคจร เพราะว่าโคจร เป็นอีกคำหนึ่งของอารัมณะ หรืออารมณ์ หรือสิ่งที่จิตรู้ นี่คือการฟังพระธรรม ถ้าเข้าใจแล้วก็ไม่เหนื่อย ใช่ไหม แต่ให้ไปทำอย่างอื่นนั้น เหนื่อยแน่ แต่ฟัง แล้วก็มีความเข้าใจ ขณะนั้นไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเลย แล้วก็สดชื่นเบิกบาน ที่ใช้คำว่า สดชื่นเบิกบาน ที่นี่ ก็คือว่า ไม่ได้เป็นทุกข์อะไรเลยสักนิดเดียว
เพราะฉะนั้น ก็รู้เลย ถึงความเป็นจริง ถึงเหตุและผลด้วย แต่ละคำ แต่ละคำ เมื่อได้เข้าใจแล้วไม่เปลี่ยนแปลงเลย และมีความเข้าใจละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น เพื่ออะไร เพื่อรู้ว่า “ไม่ใช่เรา” ทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนถึงดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์ ก็เพราะ ไม่ใช่เรา จะมีเราต่อไปอีกไม่ได้เลย ถ้าปัญญาประจักษ์จริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ ที่นั่งอยู่นี่ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรา ต้องเป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏทีละหนึ่ง และเมื่อปรากฏทีละหนึ่ง ก็เห็นการเกิดขึ้น และดับไป ขณะนั้นจะเป็นเราได้ไหม เห็นชัดๆ ว่าเกิดแล้วดับไป แล้วไม่เหลือ เพราะฉะนั้นปัญญาก็เพิ่มขึ้นๆ จากปริยัตติ เป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติเกิดได้ อย่าไปปฏิบัติอะไรโดยไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว แล้วจะไปหวังว่าจะรู้อะไรนั้น เป็นไปไม่ได้เลย กำลังคัดค้านคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการพูดคำที่ไม่จริง ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด ตัวเองก็เข้าใจผิด และไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีปฏิบัติ และปริยัตินั้นต้องมั่นคงถึงสัจจญาณ ไม่เปลี่ยนเลย ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งแทงตลอด บรรลุพระคุณนามถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มากกว่าที่ใครจะประมาณได้ เพราะนี่เป็นคำสอนจากปัญญา มหาศาลเลย สุดที่จะประมาณได้ แล้วแต่ละคำ แค่กี่คำ แต่พระปัญญามากกว่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เพียงฟังจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องเข้าใจความละเอียดลึกซึ้งของธรรม มากเท่าไหร่ ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเท่านั้น ใครจะพูดถึงกุสะลาธัมมา อกุสะลาธัมมา อัพยากะตาธัมมาได้ถูกต้อง ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งอย่างนั้น แต่ถึงกระนั้น อกุศลธรรมที่ได้สะสมมาของบางคน แม้ในสมัยพุทธกาล สุนักขัตตะลิจฉวีบุตร ซึ่งเป็นภิกษุที่บวชเพราะเลื่อมใส พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต สุนักขัตตะลิจฉวีบุตรก็ตามหลัง เดินตามไป แต่คิดว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนทุกอย่างที่จริง ไม่ใช่จริง แต่จากการไตร่ตรองคิดนึก เพราะว่าตนเองไม่รู้ภาวะที่รู้แจ้ง ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยการคิดนึก แม้บุคคลในครั้งนั้นยังเข้าใจอย่างนั้น แล้วบุคคลในครั้งนี้เล่า และคนในครั้งโน้นที่เข้าใจผิดอย่างนั้น อยู่ไหน ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องเกิดอยู่ แล้วเกิดที่ไหน ใครจะรู้ได้ แต่ถ้าใครมีความเห็นอย่างนี้ ก็เป็นสาวกของผู้คนที่มีความเห็นอย่างนั้น ซึ่งมีมากในครั้งพุทธกาล ที่เห็นต่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่ายุคไหน ก็เป็นธรรมซึ่งเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม
อ.ธิดารัตน์ ถ้าเราศึกษา แล้วเราเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม ขณะที่เป็นธรรมนั้นก็ปฏิเสธความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ใช่ไหม อย่างเช่น เห็น ไม่ว่าจะเป็นเราเห็น ใครเห็น แมวเห็น ก็มีสภาพเหมือนกันคือ รู้สิ่งที่ปรากฏ แล้วจะเป็นใคร รูป หรือว่า สี ก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น เพราะว่าการที่คิดว่าเป็นดอกไม้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ การคิดถึงสิ่งที่ต่างกัน หรือว่าสีที่ต่างกัน ถ้ามีแค่เพียงสีเดียวจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไหม มีสีขาวสีเดียวหมดเลย ก็ไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีสีดำสีเดียวก็ไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะมีความคิดถึงความต่างกันของสี รวมกันเป็นรูปร่างสัณฐาน จริงๆ ก็เป็นทุกอย่างเลย เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น กราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติม
ท่านอาจารย์ ลองคิดโดยนัยกลับกัน คิดว่ามีคน แล้วธรรมคืออะไร หาเจอไหม ก็มีคน ใช่ไหม มีสิ่งโน้นสิ่งนี้ แล้วธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง ธรรม ก็คือสภาพที่ปรากฏอยู่ดี
ท่านอาจารย์ แล้วที่ว่าเป็นคน ปรากฏหรือเปล่า
ผู้ฟัง ปรากฏเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ปรากฏ จึงเข้าใจว่าเป็นคน แต่ถ้าไม่ปรากฏเป็นอะไร ไม่ปรากฏเลยเป็นคนได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ คิดว่านั่นเป็นคน คิด แต่สิ่งที่ปรากฏนั้น เกิดแน่นอน เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ เสียงเกิดไหม
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ ได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินเสียงไหม
ผู้ฟัง ได้ยิน
ท่านอาจารย์ ได้ยินเสียงใคร
ผู้ฟัง ณ ตอนนี้ ได้ยินเสียงท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ แต่เสียงใคร ถ้ามีคนก็เป็นเสียงคน แต่ความจริงเสียงดับแล้ว เกิดขึ้นปรากฏเป็นเสียง แล้วดับ เสียงเป็นคนหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรเป็นคน เห็นไหม ถ้าคิดว่ามีคน แล้วธรรมคืออะไร อะไรเป็นธรรม หาธรรมไม่เจอ เพราะมีแต่คน แต่ถ้าเข้าใจธรรม ไม่มีคน แต่มีธรรม เพราะฉะนั้น อะไรถูก สิ่งที่เกิดขึ้น เปลี่ยนลักษณะไม่ได้ ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องเป็นธาตุที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงกล่าวว่าเป็นธรรม ไม่ใช่คน เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ก็เข้าใจได้ สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดดับจนปรากฏเป็นนิมิต รูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วสภาพที่จำ จำไว้แน่นมากเลย นี่คน นั้นดอกไม้ นี่โต๊ะ แต่แท้ที่จริงก็เพียงปรากฏให้เห็น แล้วจำ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ใครก็ตามที่มีความเข้าใจโดยที่ว่ายังไม่ได้ฟังพระธรรมเลย แล้วคิดเอง ผิดหรือถูก
ผู้ฟัง ผิด
ท่านอาจารย์ คิดอย่างไรก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม คือเพียงสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วไม่ประมาท และรู้ว่าทำไมต้องเป็นธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเป็นคน ไปหาธรรมมา จะเจอไหม ก็เป็นคนแล้ว ถ้าไม่มีธรรม มีแต่คน แต่ถ้ารู้ความจริง ว่าเป็นธรรม ก็ไม่มีคน มีแต่ธรรม แล้วก็พิจารณาไตร่ตรองว่า ธรรมแต่ละหนึ่งนั้น เป็นคนหรือ ได้ยินเป็นคนหรือ เห็นเป็นคนหรือ โกรธเป็นคนหรือ หรือเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละลักษณะ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ “คน” นั้น เราเป็นเจ้าของคนนี้ใช่ไหม แล้วเราอยู่ที่ไหน คนอยู่ที่ไหน มีแต่ความไม่รู้ กับการคิดว่าเป็นเรา แต่ธรรมก็เกิดไปดับไป เกิดไปดับไป ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ถ้าเข้าใจถูกก็ค่อยๆ ละความเห็นผิดไป ที่ไปยึดถือว่าธรรมเป็นเรา แต่ถ้าไม่มีธรรมเลยสักนิดเดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีใครที่คิดว่ามีคนบ้าง ก็คงจะถึงเวลาทบทวน สิ่งที่ได้ฟังมาแล้วตั้งแต่เช้า ชอบไหม ทบทวน หรือเบื่อ หรือไม่มีประโยชน์ หรือมีประโยชน์ เพราะว่าจะได้เข้าใจขึ้น และไม่ลืม ได้ยินคำว่า วิบาก แล้วใช่ไหม
ผู้ฟัง ได้ยินแล้ว
ท่านอาจารย์ ทบทวนว่า วิบากคืออะไร
ผู้ฟัง วิบาก คือ ผลของกุศลหรืออกุศลที่ได้รับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมประเภทไหน เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป หรือเป็นนิพพาน
ผู้ฟัง เป็นจิตกับเจตสิก
ท่านอาจารย์ เท่านั้น แต่ว่ากรรมไม่ได้ให้ผลเพียงทำให้จิตเจตสิกซึ่งเป็นผลเกิดขึ้น แต่ยังทำให้รูปที่เกิดเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว เกิดร่วมด้วย แต่รูปธรรมไม่ใช่จิต เจตสิก เพราะฉะนั้นไม่ใช้คำว่า วิปากะ หรือ วิบาก เพราะว่าไม่รู้อะไร แต่ว่าเมื่อเหตุคือกุศลกรรมและอกุศลกรรม เป็นปัจจัยให้เกิดธรรมที่เป็นธาตุรู้ คือ จิตและเจตสิกที่เป็นผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม จึงใช้คำว่า วิบาก เวลากุศลวิบากเกิดมีอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น กุศลกรรม
ผู้ฟัง กุศลกรรม
ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคงในเรื่องเหตุกับผล ปนกันไม่ได้เลย เวลาได้ยินคำว่า อกุศลวิบาก อะไรเป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบาก
ผู้ฟัง อกุศลกรรม
ท่านอาจารย์ อกุศลกรรม เพราะฉะนั้นขณะแรกที่สุด จิตเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก ขณะนั้นไม่ใช่เหตุ เหตุได้กระทำแล้ว มากมายในสังสารวัฎ แต่กรรมหนึ่งทำให้จิตเกิดสืบต่อจากจุติจิต เป็นครั้งแรก ที่เราใช้คำว่า เกิด แล้วแต่ประเภทของจิต ถ้าขณะนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม จิตที่เกิดเป็นอกุศลวิบาก เกิดสืบต่อจากจิตขณะสุดท้ายซึ่งเป็นจุติ เพราะฉะนั้นจิตขณะนั้นเป็นปฏิสนธิจิต ปฏิ เฉพาะ สนธิ สืบต่อ จากจุติจิตเท่านั้น จิตอื่นจะมาเกิดต่อไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตนี่เป็นผลของกรรม ถูกต้องไหม และกรรมก็ได้ทำให้รูปเกิดด้วย มิฉะนั้นแต่ละคนไม่ได้มีแต่เฉพาะจิต เจตสิก ยังมีรูป ตั้งแต่เกิด ซึ่งจากการเกิดเพราะกรรมนั้น ก็ทำให้รูปนั้นเจริญเติบโตตามกรรม จะเป็นอะไรก็ตามกรรม เพราะว่าเกิดมาขณะแรกนั้น ยังไม่ปรากฏให้รู้ว่ารูปร่างเป็นอย่างไร จะเป็นคน หรือจะเป็นช้าง หรือจะเป็นมด ก็ไม่รู้ แต่กรรมได้กระทำให้รูปนั้นเกิด พร้อมกับจิตและเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพนามธรรม เพราะฉะนั้นกรรมทำให้นามธรรมและรูปธรรมเกิด โดยเฉพาะนามธรรมที่เป็นธาตุรู้เท่านั้นที่เป็นวิบาก เพราะจะได้รับผลของกรรม โดยต้องเห็น
เพราะฉะนั้นการที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่เผิน พอได้ยินคำว่ากุศลกรรม และอกุศลกรรม กุศลวิบาก อกุศลวิบาก ต้องดูว่าขณะไหน ขณะแรก ไม่ทันเห็น ไม่ทันได้ยินเลย แต่กรรมก็ทำให้จิตนั้นเกิดแล้ว สืบต่อจากจุติของชาติก่อน เป็นการเริ่มต้นที่กรรมจะให้ผลต่อไป ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงขณะสุดท้ายที่จากโลกนี้ไป ก็เพราะสิ้นกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้นอยู่ไปเพราะกรรม แต่ต้องเข้าใจละเอียด เมื่อไหร่เป็นกรรม เมื่อไหร่เป็นผลของกรรม เมื่อไหร่เป็นรูปที่เกิดจากกรรม แต่ไม่ใช่วิบาก เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตนี้ ให้รู้ว่ามีอะไรบ้าง ขณะแรกที่สุดคือเกิด จิตเจตสิกซึ่งเป็นผล เป็นวิบาก แล้วแต่จะเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก พร้อมกับรูปที่กรรมนั้น ทำให้เกิดขึ้น มดที่เราเรียกว่า มด มีการเกิดไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เกิดจากอะไร
ผู้ฟัง เกิดจากผลของอกุศลกรรม
ท่านอาจารย์ เกิดจากกรรม เพราะการเกิดเป็นจิตที่เป็นวิบาก เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นวิบาก ไม่ใช่จิตที่เป็นเหตุ เมื่อจิตที่เป็นเหตุกระทำแล้ว จะไม่ให้วิบากเกิดไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่กรรมนั้นยังไม่ให้ผล จะให้วิบากเกิดก็ไม่ได้ ต่อเมื่อถึงเวลาที่กรรมนั้น เฉพาะกรรมนั้นจะให้ผล ผลของกรรมจึงเกิดได้ เช่น เมื่อจุติจิตขณะสุดท้ายดับไป ผลของกรรมหนึ่ง ถึงเวลาที่จะให้ผล ก็ทำให้จิตเจตสิกที่เป็นวิบาก เป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้น ต้องรู้ แล้วแต่ว่ากรรมจะให้รู้อะไร ทางไหน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900