ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
ตอนที่ ๘๕๖
สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง
วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ แม้ได้ฟังพระธรรม แต่ปัญญาขั้นฟัง เพียงฟัง ก็เริ่มที่จะเข้าใจว่า เห็น ขณะนี้เกิดแน่นอน จึงมีเห็น แต่เห็นขณะนี้เห็นแล้วดับไป เท่านั้นเอง เห็นไม่รู้เลยว่าเป็นดอกไม้ หรือเป็นคน หรือว่าเป็นเก้าอี้ เป็นโต๊ะ แค่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ นี่แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่เกิดมาถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้ความจริงที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นก็อยู่ด้วยความไม่รู้ไปตลอดชีวิต จนกว่าจะได้มีโอกาสฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นตอนนี้ เพียงแค่ได้ยินคำว่า ธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้กำลังมี เห็นเป็นนกหรือเปล่า เห็นเป็นอะไร เห็นเป็นเห็น เปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมทุกอย่างเปลี่ยนไม่ได้ เพราะสั้นมาก เพียงแค่เกิดแล้วดับ ใครทำอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรกับสิ่งที่มีปัจจัยเกิดสั้นมาก แล้วก็ดับไป เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ นี่คือคำสอนของผู้ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง สิ่งที่เห็นและสิ่งที่ปรากฏ ที่เป็นจริงทุกครั้ง แล้วมันก็ดับไป แต่สิ่งที่มันยากเย็น แสนที่มันจะยากมากๆ คือ เห็นแล้วคิด คิดแล้วเก็บไปฝัน
ท่านอาจารย์ ห้ามได้ไหม
ผู้ฟัง ห้ามไม่ได้
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง มิได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีอีกคำหนึ่ง อนัตตา เพราะฉะนั้นจะมีคำภาษาไทยว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ไม่เว้นเลย อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่อัตตา อัตตาคือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน ไม่ปรากฏการดับไปเลย อย่างขณะนี้ก็ไม่มีอะไรดับไปเลย เพราะไม่ได้ตรัสรู้ความจริง ปัญญายังไม่ถึงระดับขั้นที่จะเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ แต่เริ่มคิดถึงสิ่งที่มี แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย น้อมไปสู่การที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงเมื่อได้ฟังมากขึ้น
สภาพธรรมทนต่อการพิสูจน์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ธรรมดาไหมเดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ดับก็ไม่รู้ เกิดก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่ตรัสรู้ ตรัสรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง นอนหลับ ไม่เห็นเลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้เห็น เพราะฉะนั้น “เห็น” ไปไหน ตอนนอนหลับ แสดงให้เห็นว่า เพียงแค่ได้ยินเกิด ไม่ใช่เห็นแล้ว เห็นต้องดับไป เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงสภาพรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการที่มีสิ่งต่างๆ ปรากฏขณะนี้ ก็เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิด อะไรก็มีปรากฏไม่ได้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีการคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่สภาพธรรมนั้นมีจริงๆ และก็กำลังมีด้วย และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย เห็นแล้ว ไม่จำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เห็นได้ไหม ไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ ไม่รู้หมดเลย ไม่รู้สักอย่างเดียว แต่จากการฟัง เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าก่อนที่จะได้ฟังธรรม ได้ยินชื่อ กราบไหว้ สูงสุดด้วย แต่ว่าไม่รู้เลย ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งเป็นคำจริงทั้งหมด วาจาสัจจะ พูดถึงแต่สิ่งที่มีจริงๆ และกำลังมีทุกกาลสมัย ที่จะให้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีโดยถูกต้อง เพราะเหตุว่าเราเพียงคิดว่า เราเกิดมาแล้วเราก็ตาย มีใครจะไม่ตายไหม ไม่มีเลย
ผู้ฟัง แต่ก็อยากอายุยืน ไม่อยากไปเร็วๆ
ท่านอาจารย์ ถ้าเกิดบนสวรรค์ อายุยืนยาวกว่ามนุษย์มาก ถ้าเกิดเป็นพรหมยิ่งยืนยาวกว่าสวรรค์ ยิ่งพรหมที่ไม่มีรูป ยิ่งยืนยาวใหญ่เลย แต่แล้วก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก เพราะความติดข้อง และความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้ายังมีเหตุ คือความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จิตของแต่ละคนเวลานี้เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเกิดรู้แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะนี่ ยังไม่ปรากฏ เพราะว่าแต่ละคนไม่สามารถที่จะแม้รู้จักตัวเอง ใครรู้จักตัวเองบ้าง อย่างน้อยที่สุด มีความไม่รู้ อันนี้รู้แน่ ใช่ไหม เกิดมาแล้วก็ไม่รู้ แต่ว่ายังมีอีกมากที่ไม่รู้ ความไม่ดีมีเยอะ อยู่ที่คนอื่นหรือเปล่า หรือทุกคนเหมือนกันหมด จึงได้ชื่อว่า ปุถุชน ผู้ที่หนาด้วยกิเลส แต่เพราะได้ฟังพระธรรม ความเข้าใจเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อฟังและเห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป ช้าหรือเร็ว ต้องไปแน่นอน แล้วก็จะมาคิดเสียดายไหม ก่อนจะตายรู้อย่างนี้ ทำอย่างนั้นเสียก็ดี ทำอย่างนี้เสียก็ดี ก็สายไปเสียแล้ว
เพราะฉะนั้น ก่อนสาย ก่อนที่จะจากโลกนี้ จะได้ไม่ต้องเสียใจก็คือ ทำดีแล้วก็เข้าใจธรรม เพราะมิฉะนั้นแล้วเกิดอีก ก็เหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วก็เปลี่ยน สิ่งที่สะสมมาในชาตินี้ สะสมสืบต่อในจิตทุกขณะ เพราะว่าทันทีที่จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ในภพภูมิต่อไป ไม่มีคนนี้อีกต่อไป เสียดายหรือดีใจ คนนี้เป็นอย่างไร ดีชั่วแค่ไหน เสียดายไหม ดีใจไหม พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ เป็นคนใหม่ แต่คนใหม่มาจากไหน ก็มาจากคนนี้แหละ และคนนี้มาจากไหน ก็มาจากชาติก่อนๆ นั่นแหละ สะสมสืบต่อ นับไม่ถ้วนเลย จึงต่างกันเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่มีซ้ำกันเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรมก็เป็นประโยชน์ที่ทำให้รู้ความจริงว่า ก่อนตายก็ควรจะได้เข้าใจความจริง เพราะว่าตายโดยที่ไม่เข้าใจความจริง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ดีแค่ไหน เพราะว่าวันนี้ที่ได้ฟังธรรม รู้ว่ายังมีกิเลสแน่นอน มากด้วย แต่ถ้ามีการได้ยินได้ฟังธรรม ก็ยังมีความเห็นถูก สะสมไป ที่จะเจริญขึ้น จนสามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่ว่าบางคนก็ชอบกิเลสมากเลย
ผู้ฟัง กิเลสเป็นสิ่งยั่วยวน อย่างเช่น สิ่งที่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตานี้ อย่างเช่น ดอกไม้ เห็นสี เห็นรูปร่างซึ่งสวยงาม แต่ถ้าเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวแห้ง คงจะเศร้าหมองตามมา แล้วเก็บไปฝันว่าเห็นดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งต่างๆ นานา เหมือนเรื่องจริง แต่ปรากฏว่า ตาไม่ได้ลืมตอนที่หลับ
ท่านอาจารย์ นี่คือผู้ไม่รู้ความจริง แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ แสดงว่าสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้นี่ เดี๋ยวนี้เลย เกิดเร็วมาก แล้วก็ดับเร็วมากเลย แต่ว่าเกิดอีก สืบต่อ สนิทจนไม่เห็นการสืบต่อ เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ฟังไว้ แล้วก็ค่อยๆ คิด ว่าเป็นความจริงไหม แล้วก็จะเห็นความไม่รู้ของตัวเองว่ามากมายที่ว่า พอใจติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะว่า มี แล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีก แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันที เหมือนยังมีอยู่ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วก็คือว่า ขณะที่สิ่งนั้นยังไม่ดับไป มีความติดข้อง แต่เพราะดับไปไม่รู้ ก็มีความติดข้อง เหมือนของที่เคยติดข้อง แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่สิ่งเดียวกันเลย เพราะว่าสภาพธรรมใด ที่เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นขณะนี้ ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับสืบต่อ เร็วจนไม่ปรากฏการเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นจะดับกิเลสได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ก็ต้องเป็นกิเลสไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ แต่จะดับได้ หมดได้ ด้วยการเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง อย่างตัวโป๊ดเอง แต่ก่อนที่จะฟังพระธรรมนั้น บวชก็บวชมาแล้ว ก้าว ย่าง ยก เหยียบ ทำมาตลอด แต่ก็ยังมีโกรธอยู่ แต่พอมาฟังพระธรรม ก็ได้ข้อคิดที่ว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ทำให้ความโกรธอันนั้นมันลดน้อยลงไป อันนี้ซึ่งต้องบอกว่าได้ผลจริงๆ
ท่านอาจารย์ คุณโป๊ด ได้ผล ไม่ใช่ธรรม ใช่ไหม
ผู้ฟัง เป็นเรื่องจริงของธรรม แต่ว่าตัวโป๊ดเองรู้สึกได้เลยว่า มีข้อแตกต่างจากการที่ฟัง แล้วทิ้งการฟังไม่ได้ด้วย แต่ก่อนจะชอบฟังเพลง แต่ว่าเดี๋ยวนี้ฟังเพลงก็ไม่เพราะ ฟังเสียงท่านอาจารย์เพราะกว่า
ท่านอาจารย์ ถ้าพูดไม่เป็นเรื่อง คงไม่ชอบใช่ไหม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์จะพูดทุกครั้ง ที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรม ท่านอาจารย์ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางจากเรื่องธรรม
ท่านอาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่คุณโป๊ดได้ฟังแล้ว รู้ว่าเป็นประโยชน์ ไม่ใช่พูดนอกเรื่อง ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ไม่ใช่พูดเรื่องไม่จริง ใช่ไหม เพราะฉะนั้นผู้ที่รักความจริง สัจจะบารมี ไม่ต้องการสิ่งอื่นซึ่งไม่จริง จะทำให้คนนั้นเป็นผู้ที่ตรงต่อสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ แต่กว่าจะตรง คือเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี กิเลสที่มีมากมายนับประมาณไม่ได้เลย ก็ต้องอาศัยพระธรรม ๔๕ พรรษานี้ กล่าวถึงธรรมทุกอย่าง ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างไม่ใช่ของใคร เพียงแค่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ขณะแรกที่เกิดในโลกนี้ คุณโป๊ดเลือกเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง โป๊ดไม่ได้เลือกเกิด
ท่านอาจารย์ ใครก็เลือกไม่ได้ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ยังไม่ทราบเลยว่าเป็นเรา ยังไม่มีชื่อด้วย
ท่านอาจารย์ ชื่อก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ภายหลังก็เป็นเรา แต่ก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด ตั้งแต่ขณะแรก เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงเหตุและผล ที่ให้เราค่อยๆ คิดไตร่ตรองด้วยความตรงว่า ถ้าเหตุดี ผลดีไหม
ผู้ฟัง ต้องเป็นเช่นนั้น
ท่านอาจารย์ ถ้าเหตุไม่ดี ผลเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง ผลก็ไม่ดีตามมา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราใช้คำว่า กุศล สำหรับสิ่งที่ดี อกุศลสำหรับสิ่งที่ไม่ดี บุญสำหรับสิ่งที่ดี บาปสำหรับสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นบาปบุญ เป็นเหตุที่จะให้เกิดผล แต่เราก็ยังไม่รู้ เราก็คิดว่าเราบาป เราบุญ แต่ความจริง บาปก็เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง บุญก็เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใครด้วย แต่เมื่อเหตุมี ผลต้องมี เพราะฉะนั้นการเกิดในโลกนี้ เป็นมนุษย์ต่างกับสัตว์เดรัจฉาน ก็แสดงให้เห็นเหตุที่ต่างกัน ถ้าเหตุไม่ดี ก็ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมด เกิดเป็นผีเสื้อ เกิดเป็นอะไร ก็เป็นผลของอกุศลกรรม หรือบาป ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็หลากหลายมาก มนุษย์พิการตั้งแต่กำเนิดก็มี หรือว่าตอนเกิดไม่พิการ อยู่ไปๆ พิการก็มี ถ้าไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดผล ผลเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่เริ่มมีความมั่นคงในความจริง ในความตรง ในเหตุและผล ทุกคำที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงอย่างผู้ที่ได้ฟังมาก่อนนาน เข้าใจมานาน อบรมมานาน พอฟังไม่นานเพียงไม่กี่คำก็สามารถที่จะประจักษ์ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง เช่น เห็นเกิดแล้วก็ดับ ไม่ใช่คิด ไม่ใช่ได้ยิน แล้วก็ธรรมทั้งหมด ทั้งวันนี่ เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เลือกไม่ได้ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น
ผู้ฟัง หมายความว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานี้ ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ
ท่านอาจารย์ เกิดแล้ว ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ผู้ฟัง ซึ่งห้ามไม่ได้
ท่านอาจารย์ แล้วก็พรุ่งนี้จะเกิดไหม
ผู้ฟัง อาจจะเป็นเรื่องใหม่
ท่านอาจารย์ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นพรุ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นเดี๋ยวนี้ วันนี้ โดยที่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า พรุ่งนี้คืออะไร แต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดขึ้น เมื่อมีเหตุ
ผู้ฟัง แต่เราก็มีความหวังว่าพรุ่งนี้เราจะมีการสนทนาธรรม วางแผนไว้หมดเลย จะต้องทำอาหารอะไร จัดดอกไม้เป็นโทนสีอะไรต่างๆ นานา ยันฝัน
ท่านอาจารย์ เพราะว่า มีเหตุปัจจัยที่จะคิดอย่างนี้ ไม่คิดอย่างอื่น แน่นอน ไม่ว่าความคิดจะเกิดเมื่อไหร่ อย่างไร ก็เพราะมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เมื่อวานนี้ที่คุณโป๊ดคิด แล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนคิดไหม
ผู้ฟัง เหมือน ก็ได้สมใจ
ท่านอาจารย์ คุณโป๊ดหรือเพราะเหตุปัจจัย มีแต่คิด
ผู้ฟัง เป็นเพราะเหตุปัจจัย ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งนี้เป็นอย่างที่คุณโป๊ดคิด ก็ไม่เป็น ใช่ไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ แต่เมื่อคิดแล้ว ก็มีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างคิด ก็เลยคิดว่าเราทำได้ แต่ความจริง เพียงไม่มีปัจจัยที่จะเป็นอย่างที่คิด ก็เป็นไม่ได้ แต่คิดได้ เพราะคิดแล้ว นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม แน่นอน เพราะเหตุว่าเราไปทำให้อะไรเกิดไม่ได้เลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเพราะมีปัจจัย ไม่ให้ดอกไม้เหี่ยวได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
อ. ธนากร กราบเท้าท่านอาจารย์ที่เคารพ มีข้อความว่า การที่ "สนใจ" ในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สามารถทำให้บรรลุธรรมได้ เพราะว่าในขณะที่เป็นอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เป็นทางมโนทวาร ถ้าไม่พิจารณาดีๆ ก็เหมือนกับว่า การที่มาศึกษาในเรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่ว่าจริงๆ แล้วก็คือ ไม่ได้สอนให้สนใจสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ว่าสอนให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ตรงนี้จะมีความต่างกันอย่างไร แล้วก็ความละเอียดในเรื่องนี้ ก็อยากให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยอธิบาย
ท่านอาจารย์ พูดคำที่ไม่รู้จักเยอะเลย ใช่ไหม เพราะฉะนั้น สนใจมีหรือเปล่า มีจริงๆ
อ. ธนากร สนใจ มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
อ. ธนากร เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ สนใจนี้ แข็งไหม อ่อนไหม
อ. ธนากร สนใจ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สนใจมีจริงๆ มองไม่เห็นเลย แต่ลักษณะสภาพที่ใส่ใจ สนใจ มีแน่นอน เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือว่า ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่สนใจ เพราะไม่รู้ จะสนใจได้อย่างไร ไม่ใช่สภาพรู้ แต่เมื่อเป็นสภาพรู้แล้วนั้น หลากหลายมาก มีสภาพธรรมซึ่งเห็น ได้ยิน พวกนี้ ลักษณะนั้นเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เราใช้คำว่า จิต แต่มีหลายคำ มโนก็ได้ มนัสก็ได้ หทยก็ได้ แต่ขอให้เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นนั้น เป็นธาตุที่มีจริง ธาตุ (ธา-ตุ) ธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีสิ่งใดปรากฏ จะบอกว่ามีธาตุรู้ ก็ไม่ได้ ใช่ไหม แต่เมื่อมีสิ่งใดปรากฏ แสดงว่าต้องมีธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้ปรากฏ เพราะมีธาตุเห็นที่เกิดขึ้น รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เป็นอย่างนี้ เสียงปรากฏ เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง
เพราะฉะนั้น ใส่ใจ มี แต่ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นสภาพนามธรรม ธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าวันหนึ่งๆ นี่ ชอบ ไม่ชอบ ขยัน เกียจคร้าน ง่วงนอน ทุกอย่างหมด มีจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งไม่มีรูปร่าง เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ใส่ใจเป็นธรรมประเภทไหน ยังไม่รู้เลย แต่มี แต่ถ้าใช้ภาษาไทยนี่ เห็นอะไร สภาพเห็นมี แต่ก็มีสภาพที่ใส่ใจในสิ่งที่เห็นด้วย เพราะฉะนั้น ใส่ใจ มีจริงๆ เช่น เดี๋ยวนี้ เห็นและใส่ใจในสิ่งที่เห็น ใช่ไหม จะน้อยจะมากก็ใส่ใจแล้ว พอสมควร ใช่ไหม ถ้าเป็นสิ่งที่สนใจมาก ใส่ใจมาก สภาพนี้ต้องมีจริง ก็ใส่ใจและสนใจในสิ่งที่ใส่ใจและสนใจนั้นมาก แต่ทั้งหมด ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม สภาพรู้ ซึ่งไม่ใช่จิต ใช้คำว่า เจตสิก ในภาษาไทย และภาษาบาลีก็ เจตะสิกะ ง่วง มีจริงๆ ไหม เบื่อ มีจริงๆ ไหม ทั้งหมด เป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต แล้วแต่ว่าจิตนั้นจะมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีใครไปเลือก ว่าให้จิตเห็นมีเจตสิกนั้นๆ มาเกิดร่วมด้วย หรือว่าจิตได้ยิน ให้มีสภาพธรรมนั้นๆ มาเกิดร่วมด้วย เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า อะไรจะเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยสิ่งที่เกิดพร้อมกันนั่นแหละเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ถ้าศึกษาโดยละเอียด จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนึ่งขณะจิตเกิดขึ้น จะต้องประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ หลากหลายต่างกันมาก เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เกิดแล้วตาย ก็ไม่รู้อะไรที่เป็นความจริงทั้งหมดเลย ด้วยเหตุนี้ประโยคเมื่อกี้นี้ ก็คนที่พูดรู้ไหม ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด คุณธนากรทบทวนคำพูดทั้งหมดอีกครั้ง
อ.ธนากร ก็เท่าที่ทรงจำได้ ใช้คำว่า การสนใจในสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อน เพราะถ้าไม่มี สี เสียง กลิ่น รส แล้วจะสนใจอะไร
อ.ธนากร ก็ไม่มีสิ่งที่จะสนใจ
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่พูดว่าสนใจในสี เสียง กลิ่น รส เพราะเหตุว่ามีสี เสียง กลิ่น รส ให้สนใจ แล้วอย่างไร เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ให้รู้หรือ
อ. ธนากร จริงๆ โดยคำก็คือ สนใจด้วยอกุศลก็ได้ สนใจด้วยความเข้าใจก็ได้ แล้วก็ในขณะที่เพียง สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ปรากฏ ก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจ แต่ว่าก็มีข้อความที่กล่าวตอนหลังว่า เพราะว่าในขณะที่สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่เป็นอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา แต่ทีนี้ ถ้าเกิดว่าฟังเผิน ก็เข้าใจผิดได้
ท่านอาจารย์ เขารู้จักอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา หรือเปล่า หรือคนที่ได้ฟังรู้จักหรือเปล่า พูด ๓ คำ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ศีลคืออะไร จิตคืออะไร ปัญญาคืออะไร ถ้าไม่รู้ว่าคืออะไร ก็ไม่มีประโยชน์เลย ทุกคำ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมจริงๆ ศึกษาทีละคำ จนกระทั่งรอบรู้ในคำนั้น หมายความว่า ไม่ผิวเผิน สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงนั้นถูกต้องได้ เพราะฉะนั้นยังไม่พูดถึง อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ศีลคืออะไร
อ. ธนากร ศีล ก็คือ ปกติ
ท่านอาจารย์ ปกติอะไร
อ. ธนากร ต้องเป็นธรรม คือจิต เจตสิก ที่เป็นปกติ ที่เกิดขึ้นเป็นไป
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จิต เจตสิก เกิดเป็นปกติหรือเปล่า
อ. ธนากร เป็นปกติ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นศีลหรือเปล่า
อ. ธนากร ก็เป็นศีล
ท่านอาจารย์ แล้วเป็นศีลอะไร
อ.ธนากร อกุศลศีล
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อธิศีล เห็นไหม เพราะฉะนั้นการที่จะสนทนาเรื่องอะไร ขอให้นำเรื่องนั้นทีละคำ มาให้เข้าใจก่อน ไม่เช่นนั้นก็เสียประโยชน์ เพราะเหตุว่าพูดไปทั้งชั่วโมง สองชั่วโมง กี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำจึงต้องกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องขึ้น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900