ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
ตอนที่ ๘๕๗
สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง
วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำจึงต้องกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องขึ้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีศีลไหม
อ.ธนากร เดี๋ยวนี้มีศีล เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสภาพรู้ จิตเจตสิกเกิดเป็นปกติ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้ววันนี้ตั้งแต่เช้ามา ปกติเป็นศีลอะไร
อ.ธนากร เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ เป็นอกุศล คือปกติเป็นอกุศล เราก็ใช้คำว่า อกุศลศีล เท่านั้นเอง แล้วแต่ว่าปกติเป็นอะไร ถ้าปกติเป็นกุศล ขณะนั้นก็เป็นกุศลศีล เป็นปกติซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วปัญญาคืออะไร
อ.ธนากร ปัญญา เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไรถูกต้อง
อ.ธนากร เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏ ก็เข้าใจไม่ได้ ไม่รู้จะไปเข้าใจอะไร ใช่ไหม
อ.ธนากร ใช่
ท่านอาจารย์ พูดเท่านี้ก็ยังไม่เข้าใจอธิศีล ได้แต่ได้ยินชื่อ แล้วก็พูดไปตามที่ไม่เข้าใจ ว่าอธิศีลคืออะไร ถ้าไม่มีปัญญา ศีลจะเป็นอธิศีลได้ไหม
อ.ธนากร ไม่ได้ แล้วก็ปัญญาก็ต้องเข้าใจ สิ่งที่ปรากฏด้วย
ท่านอาจารย์ การสนทนาธรรมนี่ ก็จะทำให้เข้าใจคำที่เราได้ยินและเรายังไม่เข้าใจเพิ่มขึ้น เช่น อธิศีลกับศีล ได้ยินแล้วผ่านไปเลย หรือว่าจะสนทนาให้เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ชีวิตประจำวันก็คือ มีปกติเป็นอกุศลและกุศล แต่ถ้าคำว่า อธิศีล ต้องขอความกรุณาท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะเข้าใจอธิศีลไหม
ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็เป็นไปไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็พูดคำที่ไม่รู้จัก แล้วจะพูดคำที่ไม่รู้จักกันไปเรื่อยๆ ไหม ก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ ขอให้เข้าใจถูกต้องจริงๆ แม้แต่คำว่าธรรม
ผู้ฟัง ขณะที่กำลังเข้าใจ ขณะนั้นก็ค่อยๆ เริ่มเป็นอธิศีล
ท่านอาจารย์ จะรีบร้อนเป็นอธิศีลทำไม หรือจะเรียกชื่ออธิศีลทำไม เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ก็ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ แค่ได้ฟัง ก็ยังเป็นคุณบุษกร ก็ยังเห็นคุณบุษกร เพราะฉะนั้นไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นธรรม
ผู้ฟัง ก็แปลก ท่านอาจารย์พอพูดถึงธรรมนี้ รู้สึกจะเป็นอะไรก็ไม่ทราบ จะเหมือนกับว่าคิดไปไกล แต่ถ้าพูดว่ามีจริงๆ ไหม จริง ตรงนี้ถึงจะสามารถเข้าใจได้ว่า ขณะนี้กำลังมีอะไรที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ แล้วก็ลืมใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะไม่ลืม เพราะฉะนั้น ถ้าได้ยินคำว่า อธิศีล ต่างกับ ศีลธรรมดา ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ศีลธรรมดา ก็คือ สภาพรู้นี้ จิตเจตสิก ปกติเป็นอย่างไร ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลศีล เพราะว่าปกติเป็นอกุศล เท่านั้นเอง ถ้าปกติเป็นกุศล ขณะนั้นก็เป็นกุศลศีล นี่คือเรื่องที่ฟังมา เดี๋ยวนี้เป็นอะไร
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็เป็นปกติ ที่ฟังท่านอาจารย์แล้วก็ ค่อยๆ เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นศีลอะไร เดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ ไม่ทราบ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ก็ฟังแล้ว ก็ไม่ทราบ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น การฟังนี่ขอให้เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำว่า ถ้าพูดถึงศีล ต้องหมายความถึงสภาพรู้ รูปมีศีลไม่ได้ ไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าสภาพรู้ก็มีทั้งจิตและเจตสิก กล่าวโดยละเอียดก็แยกไป แต่ถ้ากล่าวโดยรวม ก็ทั้งจิตและเจตสิก หมายความว่า ธรรมที่เกิดร่วมกันในขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็เป็นอกุศลศีล ถ้าขณะที่กำลังฟังเข้าใจอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วเป็นศีลอะไร
ผู้ฟัง ขณะที่กำลังเข้าใจก็เป็นกุศลศีล
ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะเป็นอธิศีล
ผู้ฟัง ก็ต้องฟังให้เข้าใจขึ้นจริงๆ
ท่านอาจารย์ นี่คือความต่างแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่าศีลก่อน ทั่วๆ ไปก็คือ ปกติ มีทั้งอกุศลศีลขณะที่เป็นอกุศล มีทั้งกุศลศีลขณะที่เป็นกุศล แต่ว่าถ้ายังคงเป็นกุศลและอกุศลอยู่ ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่ดับกิเลสหมด แต่สำหรับผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ไม่มีทั้งกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นปกติของจิตซึ่งเคยเป็นกุศล ก็เป็นอัพยากตะ เพราะเหตุว่าไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดต่อไป เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟัง อาจจะได้ฟังไม่บ่อย แต่อย่างน้อยที่สุด ขอให้ได้เข้าใจพอสมควร ว่าคำนั้นหมายความถึงอะไร เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก แต่ละคำนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ถ้าพูดถึงอัพยากตะ ภาษาบาลี แต่ภาษาไทยก็คือ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล
เพราะฉะนั้นก็มีธรรม ๓ ประเภท คือธรรมที่เป็นกุศล ๑ ธรรมที่เป็นอกุศล ๑ และธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศลอีก ๑ นี้คือความเข้าใจต้องตามลำดับ เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นกุศลต้องเป็นสภาพรู้ ดี ถ้าเป็นอกุศล สภาพที่ไม่ดี เป็นสภาพรู้ แต่ว่าสำหรับอัพยากตะเท่านั้น ไม่มีคำว่าศีล อัพยากตะคือธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ตอบได้แล้วใช่ไหม แต่ถ้าไม่เคยฟังมาเลย คิดไม่ออก ใช่ไหม กุศลพอได้ยิน อกุศลก็พอได้ยิน แต่ธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลก็มี คิดดู จะงงไหม เพราะว่าเคยได้ยินแต่กุศล และอกุศล เพราะฉะนั้น แต่ละคำนั้นขอให้เข้าใจจริงๆ ถ้าแบ่งธรรมทั้งหมดเลย ออกเป็น ๓ ประเภท ก็ธรรมที่เป็นกุศลก็ต้องเป็นกุศล เป็นอกุศลไม่ได้ ธรรมที่เป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล แล้วธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล ก็จะไปเป็นกุศลและอกุศล ไม่ได้ นี่คือทั้งหมด
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นจิต ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เป็นเจตสิก สภาพเจตสิกนี่หลากหลายมาก มี ๕๒ ประเภท แล้วแต่ว่าจิตนั้นมีเจตสิกกี่ประเภทเกิดร่วมด้วย แต่เจตสิกก็เป็นเจตสิก เจตสิกจะไปเป็นจิตไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมไม่ว่าจะกี่โลกที่ไหนก็ตามแต่ ก็ต้องต่างกันเป็นสภาพรู้ กับสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สำหรับธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร เช่น แข็ง เสียง พวกนี้ ก็เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นสำหรับสภาพธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ได้แก่อะไรบ้าง เห็นไหม เราไม่เคยฟังมาเลย จะให้เราคิดออกก็เป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อฟังแล้ว ได้ยินคำว่าอัพยากตะ สงสัยอยากรู้ ได้ยินคำว่าอธิศีล สงสัยอยากรู้ แต่เราไม่มีพื้นความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ เลย แล้วเราก็สับสน
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ทีละคำ ถ้าได้ยินคำว่า อัพยากตะ ไม่พยากรณ์ ใช่ไหม ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะสภาพนั้นไม่ใช่กุศล จะบอกว่าเป็นกุศลได้อย่างไร สภาพธรรมนั้นไม่ใช่อกุศล จะบอกว่าเป็นอกุศลได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มี แต่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ได้แก่อะไร พอที่จะรู้สักอย่างไหม เอาแค่อย่างเดียว ธรรมที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไรเลย มี เป็นรูปธรรม สภาพธรรมที่เกิดขึ้น แล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นสภาพที่ไม่รู้อะไร เป็นกุศลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ จึงเป็นอัพยากตธรรม คือ ถ้าได้ยินคำไหน ขอให้เข้าใจคำนั้นพอสมควร ไม่ใช่ว่าเก็บโน่นเก็บนี่ แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร อธิศีลเป็นธรรมฝ่ายไหน
ผู้ฟัง ฝ่ายดี เป็นฝ่ายปัญญา
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญาก็เป็นอธิศีลไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญญารู้อะไร เห็นไหม คำถามต้องมี เพื่อที่จะให้เข้าใจขึ้น สนทนา ถาม เพื่อให้คิด ไตร่ตรอง จะได้เป็นความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น และก็ไม่ลืมด้วย เพราะฉะนั้นไม่ใจร้อนไปรู้คำเยอะแยะหมดเลย แต่ไม่รู้เลยว่าหมายความถึงอะไร แต่ศึกษา ได้ยินคำไหน ขอให้เข้าใจคำนั้น เช่น ธรรม ทุกอย่างที่มีจริงๆ กำลังมี แสดงว่ามีจริงแน่นอน ก็ต้องเป็นธรรม เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงก็หลากหลาย เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย มีลักษณะของตนๆ เช่น แข็งเป็นแข็ง เสียงเป็นเสียง กลิ่นเป็นกลิ่นสภาพไม่รู้เป็นรูปธรรม สภาพรู้ก็มี ๒ อย่าง คือจิตกับเจตสิก เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ พอได้ยินคำไหนก็ไตร่ตรอง
เพราะฉะนั้นกุศลธรรมได้แก่อะไร อกุศลธรรมได้แก่อะไร อัพยากตธรรมได้แก่อะไร ไม่ตอบเดี๋ยวนี้แต่ว่าตอนเย็นๆ คิดถึงสิ เท่าที่ได้ฟังมาแล้ว พอที่จะนึกออกไหม จำได้ไหม ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่ละคำนั้นจะมีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตามลำดับ เพราะฉะนั้นเวลาได้ฟังแล้ว อย่าลืมความเข้าใจขั้นต้น จะต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป เปลี่ยนไม่ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะรู้ทั้งหมดทันที แต่ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจ มั่นคงขึ้น พระคือใคร ภาษาบาลีว่าอะไร
อ.คำปั่น พระนี่ก็เป็นคำไทย ถ้ามาจากภาษาบาลี คือ วร หมายถึงผู้ประเสริฐ
ท่านอาจารย์ เห็นไหม เรียก พระ พูดถึงพระ แต่ไม่รู้ความหมายของพระ พระคือผู้ประเสริฐ ต่างกันแล้วกับคฤหัสถ์ แต่ประเสริฐอย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาว่าประเสริฐ เราก็ประเสริฐด้วย แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าผู้ประเสริฐ ประเสริฐอะไร ประเสริฐอย่างไร ต่างกับคฤหัสถ์อย่างไร มิฉะนั้นแล้วเราก็จะไม่รู้จักพระแน่นอน เพราะฉะนั้นตอนนี้ทราบแล้ว พระคือผู้ประเสริฐ ประเสริฐอย่างไร
ผู้ฟัง ก็น่าจะถือศีลเยอะกว่า ปฏิบัติเยอะกว่า
ท่านอาจารย์ ถือศีลเยอะกว่า มีอะไรบ้าง ข้อหนึ่งที่ชัดเจนคือ รับเงินทองไม่ได้ ไม่ยินดีในเงินและทอง รู้จักพระหรือยัง ยังไม่ถึงข้อสูงๆ ขึ้นไปเลย ใช่ไหม แค่ข้อไหน คุณคำปั่น
อ.คำปั่น ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงนี้ เป็นอาบัติที่ยังผู้ต้อง ให้จิตตกไป แต่ว่าก็สามารถที่จะกระทำคืนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยถ้าเป็นผู้ที่เห็นโทษ เพราะว่าการรับเงินรับทอง เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ยังไม่ถึงกับขาดเป็นพระภิกษุ แต่ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุรูปใดก็ตาม ถ้าไม่ได้น้อมที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัย มีการล่วงสิกขาบท ก็ไม่ชื่อว่าเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ท่านอาจารย์ ผู้รู้น้อย ก็ค่อยๆ รู้ เมื่อกี้นี้เราพูดถึงปกติของจิต คือศีล ถ้าไม่มีจิตเจตสิกจะมีศีลไม่ได้เลย เพราะไม่รู้อะไรจะมีศีลได้อย่างไร โต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ พวกนี้ไม่มีศีลแน่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสภาพรู้ ธาตุรู้ ที่เราเรียกว่าสัตว์บุคคลต่างๆ นั้น ปกติเป็นอกุศลก็มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปกติของจิตเป็นอย่างไร เราก็ใช้คำว่าศีล เช่น ปกติเป็นอกุศล โกรธเค้า ขณะนั้นเป็นอกุศลศีล คือปกติต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอกุศลจะเปลี่ยนเป็นกุศลไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ขณะนั้นแหละเป็นอกุศลศีล และก็ถ้าเป็นทางฝ่ายดี เมตตา ช่วยเหลือคนอื่น อภัยให้คนอื่น หวังดีต่อคนอื่น ดีไหม ขณะนั้นเป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมขณะใดที่ดี ขณะนั้นเป็นกุศลศีล รู้จักศีลกี่ข้อ
ผู้ฟัง ปกติก็ ๕ ข้อ
ท่านอาจารย์ ช่วยบอกด้วยได้ไหม เพราะว่าจะได้ไปถึงข้อที่ไม่รับเงินทอง ๕ ข้อนี้ สำหรับคฤหัสถ์เป็นปกติ ข้อที่ ๑ จะได้รู้จักพระ
ผู้ฟัง ข้อที่ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์
ท่านอาจารย์ ของคฤหัสถ์ต่างกับพระ แต่ว่าศีล ๕ ก็เป็นนิจศีลที่คฤหัสถ์ควรจะเป็นคนดี คือเว้นทุจริต ๕ ข้อ ยากเหมือนกัน ศีลข้อที่ ๑
ผู้ฟัง ห้ามฆ่าสัตว์
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ห้าม ห้ามไม่ได้ถ้าจะฆ่า เจตนางดเว้นด้วยตนเอง ใครก็บังคับใครไม่ได้ วันหนึ่งก็มีแมลงวันเข้าไปในห้อง คนเขาก็พยายามที่จะจับมัน อีกคนก็บอกฆ่าเลย ใช่ไหม แค่แมลงวัน ๑ ตัว อกุศลจิตเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น มีใครไหม ที่อยากจะถูกฆ่า เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือเปล่า และขณะใดที่เว้นไม่ฆ่า ขณะนั้นเป็นกุศลศีล เพราะสภาพจิตที่ดีงามเกิดขึ้น เว้นสิ่งที่ไม่ดี ขณะนั้นเป็นศีลข้อที่ ๑ รักษายากไหม ข้อที่ ๑
ผู้ฟัง ก็พยายามอยู่ ยุงมาแล้วก็พยายาม
ท่านอาจารย์ ขณะที่เว้น เป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นธรรม
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ที่จริงธรรมนี้ เวลาเข้าใจตั้งแต่ต้นจริงๆ จะรู้ได้เลยว่าเป็นชีวิตประจำวันที่น่าสนใจมาก ที่ได้รู้ความจริง จากการที่ไปรับศีลมาแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร กลายเป็นเรารับศีล หรืออะไรอย่างนี้ แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งที่มีจริงๆ ก็จริง แต่ไม่ใช่เรา ศีลก็เป็นศีล ไม่ใช่เรา ทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัย แล้วก็ดับไป
ข้อที่ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ ทำร้ายได้ไหม นิดๆ หน่อยๆ ไม่ถึงกับฆ่า ก็ยังคงเป็นการเบียดเบียน แล้วแต่เจตนาว่าแรงกล้าขนาดไหน เพราะว่าบางคนแค่ตี แค่แทง แค่ทำร้าย แต่ว่าไม่ถึงกับฆ่า ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอกุศลกรรม คือการกระทำเกิดขึ้นแล้ว ผลก็ต้องเป็นไปตามลำดับของการกระทำด้วย นี่เป็นเหตุเป็นผล แค่นี้ ก็เป็นเรื่องที่ว่าถ้าจะเข้าใจจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าพูดนิดๆ หน่อยๆ แล้วผ่านเลยไป เหมือนเข้าใจเรื่องเยอะๆ แต่ความจริงไม่เข้าใจอะไร เพราะฉะนั้น ทุกคำ ถ้าเข้าใจแล้ว ไม่เปลี่ยน ข้อที่ ๒ ภาษาไทย
ผู้ฟัง ลักทรัพย์
ท่านอาจารย์ ลัก ทำอย่างไร
ผู้ฟัง ลักขโมยอะไรพวกนี้
ท่านอาจารย์ นั่นสิ ทำอย่างไร
ผู้ฟัง ก็ต้องไม่ทำ
ท่านอาจารย์ ไม่ลัก ไม่ขโมย ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะของเขา ไม่ใช่ของเรา ไปเอาของๆ เขามาได้อย่างไร ยักยอก ก็ได้ ใช่ไหม ทั้งหมดที่เป็นทุจริต เว้น นี้คฤหัสถ์ พระทำได้ไหม
ผู้ฟัง ก็ ต้องไม่ทำ
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเป็นว่าผู้ประเสริฐ วร มากกว่า ๕ อีก นี่ข้อ ๒ แล้วข้อ ๓ คือ
ผู้ฟัง กาเม
ท่านอาจารย์ เว้นการประพฤติผิดในสามีภรรยา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทรงบัญญัติไว้ สตรีกี่จำพวกก็แล้วแต่ อันนั้นถ้าต้องการความละเอียดก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ควรเว้นจากความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร ข้อ ๓ แล้ว ข้อ ๔ พูดคำไม่จริง เรื่องไม่จริง ยากไหม บางคนเป็นนิสัย เพราะทำบ่อยๆ ถ้าไม่เว้น
ผู้ฟัง แต่ถ้าสมมติว่าเราทำงาน มันต้องคุยงาน แต่ไม่ได้ตั้งใจโกหก เพื่อพยายามเหมือนกับโน้มน้าว เพื่อที่เขาจะได้ซื้อของๆ เรา อะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ คุณเป็ด ชอบเรื่องจริงหรือเปล่า อยากให้ใครเขามาพูดเรื่องไม่จริงกับคุณเป็ดไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ชอบที่จะรู้ความจริง ถึงความจริงนั้นจะผิด ก็ยังดีกว่าพูดคำไม่จริง เขายังให้อภัยได้ แก้ไขได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครยังคิดว่าต้องพูดคำไม่จริง เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้ เพื่ออย่างนั้น เพื่ออย่างนี้ คิดผิด เข้าใจผิด คนที่รู้จะไม่อภัยในการกระทำอันนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาโกรธแล้วก็อภัยไม่ได้ แต่ไม่อภัยคือ สิ่งที่ผิด ต้องผิด สิ่งที่ผิดจะถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราต้องการคำจริง เรื่องจริง คนอื่นก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นทำไมไม่พูดความจริง พอพูดแล้วขอโทษก็ได้ อภัยให้ก็ได้ เห็นใจ เพราะว่าทุกคนก็เป็นอย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้นเป็นโทษอย่างมากเลย ในขณะที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีอกุศลอยู่ เพราะฉะนั้นบางขณะในบางพระชาติ ก็ต้องมีอกุศลกรรม แต่ไม่มีการพูดคำไม่จริง เพราะว่าเป็นสัจจบารมี นี่เป็นสิ่งซึ่งจะเห็นได้จริงๆ ว่า ถ้าเป็นผู้ที่จะรู้ความจริง ก็ต้องจริงตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ควร ใช่ไหม ถ้าเข้าใจว่าเป็นโทษ เพราะว่าถ้าเราทำบ่อยๆ ก็เป็นนิสัย และไม่กล้าที่จะพูดความจริงด้วย แสดงให้เห็นถึงความไม่อาจหาญ ไม่กล้าที่จะเผชิญความจริง ที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้น คนที่เป็นอย่างนั้น จะไม่มีโอกาสรู้ความจริงได้ ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่มีจริง ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าเขายินดีพอใจที่จะพูดไม่จริง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเหตุว่าทุกเรื่อง พูดไม่จริงได้หมด ไม่เว้นเลย ข้อที่ ๔ แล้วใช่ไหม เหลืออีกข้อเดียวเกือบจบแล้ว
ผู้ฟัง สุรา
ท่านอาจารย์ ไม่ดื่มของมึนเมา เพราะอะไร ขับรถชน ใช่ไหม ก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ทำร้ายกัน คำที่ไม่เคยพูด ก็พูด การกระทำที่ไม่เคยทำ ก็ทำ เพราะเป็นที่ตั้งของความประมาทอย่างยิ่ง นี่คือศีล ๕ ยังไม่ถึงการเป็นพระเลย ถ้าเว้นได้ ก็เป็นกุศลศีล แต่ผู้ที่จะเป็นผู้ประเสริฐ ต้องเว้นมากกว่านี้มาก ทั้งกาย วาจา และใจที่มั่นคง กับการที่จะมีชีวิตอยู่ในเพศของบรรพชิต รู้จักพระแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น ไปวัด ไปหาพระ หรือทำอะไร แค่ได้ยินคำว่า พระ จากคุณเป็ด
ผู้ฟัง ไปปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ คุณเป็ดปฏิบัติเพื่ออะไร
ผู้ฟัง เหมือนถึงเวลากระมัง คือเราทำงานมาเยอะ เพื่อนๆ ชวน หรือว่าเรารู้สึกว่าอยากไปปฏิบัติเพื่อได้ อย่างที่คุณโป๊ดบอก นั่งไป เดี๋ยวก็แว็บโน้น แว็บนี่ มันมีช่วงที่ไม่แว็บนิดเดียวเอง
ท่านอาจารย์ ใครสอน ว่าธรรมทั้งหลายบังคับได้
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม ไม่อยากจะแว็บ ก็แว็บ อยากได้ยินเสียงนี้ไหม เสียงที่กำลังได้ยินนี้ อยากได้ยินไหม มีเสียงปรากฏ ใช่ไหม ได้ยินอะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง ได้ยินเสียงอาจารย์
ท่านอาจารย์ บังคับให้ ไม่ได้ยิน ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็ธรรมดา เมื่อรู้ว่าเป็นธรรมดา จะไปบังคับหรือ แล้วจะรู้ความจริงหรือว่า บังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการไปปฏิบัติ เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้แว็บ หรืออย่างไร หรือเพื่ออะไร
ผู้ฟัง ก็เหมือนไปสงบใจได้นิดๆ หน่อยๆ
ท่านอาจารย์ นั่นสิ เหมือนทำได้ ใช่ไหม สงบคืออะไร
ผู้ฟัง ต้องไม่คิด
ท่านอาจารย์ เป็นไปได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แล้วทำอะไรกัน ไปทำสิ่งที่ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ และไปนั่งทำอะไร ข้อสำคัญคือ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ารู้จัก ลองบอกสิว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร สอนให้เข้าใจถูก หรือว่าไม่ให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกวัน ไม่เคยรู้มาก่อน แต่จะรู้เมื่อได้ฟังพระธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900