ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีตา จักขุปสาท กรรมเป็นปัจจัยให้รูปนี้เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏเนี่ยกระทบตา เห็นเกิดไม่ได้เลย แต่สองสิ่งนะคะ เมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้กระทบตา ยังไม่มีการเห็น แต่เมื่อกระทบแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เห็นแล้วก็ดับไป ถ้าเป็นอย่างนี้นะคะ ก็เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ทั้งหมดเป็นธรรมอะไรบ้างล่ะ ที่ไม่ใช่ธรรม ไม่มีเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจจริงๆ นะคะ ในความเป็นธรรม ก็คือปัญญานั่นแหละ เริ่มเป็นผู้ที่ตรงมีเหตุผล และรู้ว่าไม่ใช่เรา แม้ปัญญาก็ไม่ใช่เรา ปัญญาเกิดแล้วก็ดับไป พอดับไปโทสะเกิดก็ได้ โลภะเกิดก็ได้ มานะเกิดก็ได้ สภาพธรรมที่เกิดใครยับยั้งไม่ได้เลยนะคะ มีปัจจัยเกิดก็เกิด ปัญญาก็ไม่ใช่สภาพธรรมเหล่านั้น เพราะฉะนั้นปัญญาเกิดเมื่อไหร่ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญาคือเข้าใจถูก แล้ววันหนึ่งๆ เนี่ย ปัญญาจะเกิดน้อยหรือจะเกิดมาก เพราะฉะนั้นไม่มีตัวตนไปทำหน้าที่ของปัญญา แต่ถ้ามีตัวตนไปทำหน้าที่ของปัญญาเมื่อไหร่ ก็คือว่า ผู้นั้นไม่ได้เข้าใจธรรม ว่าธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพิ่มขึ้น ตรงขึ้น ถูกต้องขึ้น เพราะฉะนั้นปัญญานั่นเองทำหน้าที่ของปัญญา แต่ว่าถ้าใครไปพยายามที่จะเป็นปัญญา พยายามจะทำอย่างนั้นอย่างนี้นะคะ ก็คือกั้นปัญญา ปัญญาเกิดไม่ได้ เพราะตัวตนเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างหนึ่งอย่างใด

    ผู้ฟัง เป็นโดยเฉพาะที่ มีโลภะคือความต้องการ อันนี้ก็ไม่ทราบที่คำธรรมทั้งหลายเนี่ย ที่แท้เป็นโลภะ เป็นความต้องการค่ะ

    ท่านอาจารย์ อยู่ด้วยกันมานานแสนนานนะคะ แทบจะว่าทุกโอกาส ทางตาเดี๋ยวนี้มีโลภะมั้ย

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ แค่เห็นก็มีแล้วค่ะ ทางหูล่ะคะ ก็มี ก็แล้วแต่ค่ะเกิดได้บ่อยมาก แต่ว่าหลบๆ ซ่อนๆ นะคะ ไม่ให้ใครรู้ใครเห็นว่า ขณะเนี้ยมีโลภะหรือเพราะโลภะเป็นไปด้วยโลภะ แค่เอื้อมมือไปตักอาหารเนี่ย โลภะหรือเปล่า ตักสิ่งที่ชอบไปเรื่อยๆ ทีละคำสองคำ ไม่รู้เลยนะคะ ว่าเป็นโลภะ ซึ่งอยู่มานาน และจะอยู่ต่อไปด้วย จนกว่าปัญญาจะรู้จักโลภะ ก็เริ่มละโลภะ เพราะเห็นโทษของโลภะ

    ผู้ฟัง การนั่งสมาธิก็มีมาก่อนพระพุทธเจ้า คือฝึกจิตกันได้ระดับสูง แต่ว่าไม่สามารถดับกิเลสได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนาคืออะไรคะ เห็นไหมคะ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ เป็นปัญญาทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้ ก็คือว่าไม่ใช่การเข้าใจธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อไหร่คืออะไร เข้าใจได้ และค่อยๆ เข้าใจได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแต่ละคำนะคะ เมื่อนั้นก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ตรัสรู้จริงๆ ซึ่งคนอื่นตอบไม่ได้เลย รักษาศีล แต่ศีลคืออะไร ตอบได้ไหมคะ ศีลมีกี่ข้อตอบได้ รักษากี่ข้อตอบได้ แต่ตอบไม่ได้ว่าศีลคืออะไร ซึ่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนะคะ ตอบทุกอย่าง เพราะตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ทุกคำก็เป็นคำที่ส่องถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าเนี่ยสอนละเอียดมากเลยนะฮะ

    ท่านอาจารย์ เพราะ ได้ฟังก็รู้ ถ้าคนที่ไม่ได้ฟังก็ไม่รู้ว่าละเอียด

    ผู้ฟัง ทำให้รู้ว่าเนี่ย ดีชั่ว ถูกผิด ควรไม่ควร อะไรนี่ อยู่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ ค่ะนั่นคือปัญญาไม่ใช่เรา และปัญญาจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง บรรดาผู้มีปัญญาทั้งหลายเนี่ย จะสามารถที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาได้รึเปล่า เพราะว่าดิฉันเองเนี่ย แม้แต่คนเดียวที่จะโน้มน้าวเพื่อน ยังไม่มีปัญญาเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่า พระศาสนาอันตรธานนะคะ ก็คือว่าอันตรธานจากคนที่ไม่เข้าใจธรรม นั่นคืออันตรธานแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าโลกนี้ ยังมีคนที่เข้าใจธรรมอยู่ พระศาสนาก็ยังไม่อันตรธานจากคนที่เข้าใจ ต่อเมื่อไหร่ไม่มีการเข้าใจพระธรรมเลย ไม่มีสักคน ก็คือว่าอันตรธานทั้งหมดในโลกนี้ แต่สวรรค์ยังมีนะคะ

    ผู้ฟัง ผู้ที่ศึกษาพระธรรมแล้วก็เข้าใจ เข้าใจนะฮะ หรือปัญญาเนี่ย จะไม่ไปสู่อบาย

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลนะคะ ประมาทไม่ได้เลยค่ะ เพราะกรรมที่ได้ทำแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ว่ากรรมไหนจะทำให้ไปสู่อบายภูมิ แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยะบุคคลทั้งหมดไม่ไปอบายภูมิ ไม่มีเหตุพอที่จะให้เกิดในอบายภูมิได้

    ผู้ฟัง อบายภูมินี่เพื่อเป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    ผู้ฟัง ซึ่งพอไปอบายแล้วเนี่ย ปัญญาไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย แต่ว่าเกิดในนรกนี้ค่ะ มันร้อนรุ่ม เดือดร้อนแสนสาหัสเสียจน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เกิดเป็นมนุษย์ยังไม่ฟังพระธรรมเลย แล้วพูดถึงเกิดในนรกนี่ก็แสนยาก เพราะอะไรคะ เพราะว่าจิตที่เกิด ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นผลของอกุศลกรรมค่ะ

    อ.คำปั่น อย่างเช่นข้อความในพระวินัยนะครับ ที่ท่านพระมหาโมคมัคลานะกับท่านพระลักขณะนะครับ ซึ่งในขณะที่ลงจากเขาคิชฌกูฏนะครับ ท่านพระมหาโมคลานะนี่ครับ ก็เห็นเปรตมีลักษณะรูปร่างเหมือนกับพระภิกษุ ทรงจีวร ทรงบาตร แต่ว่าขณะนั้นนี่ครับ ถูกไฟไหม้ทั้งตัวเลยนะครับ ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมาน นี่นะครับ แสดงถึงว่าเกิดเป็นเปรตนี่ครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในอบายภูมิเนี่ยครับ ก็เป็นด้วยผลของอกุศลกรรม ซึ่งในพระวินัยนะครับ ก็แสดงไว้ว่าพระภิกษุรูปนี้นะครับ ก่อนที่จะมาเกิดเป็นเปรตนี่นะครับ เกิดในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ แต่ว่าเป็นพระภิกษุลามก คำว่าลามกหมายถึงผู้มีความประพฤติที่ต่ำทราม ปฏิญาณว่าตัวเองจะเป็นพระภิกษุ ที่สละอาคารบ้านเรือน ที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ แต่ว่าไม่ได้น้อมประพฤติอย่างนั้นนะครับ มีการย่ำยี เที่ยวล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ ก็เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิครับ นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งนะครับ ซึ่งถ้าได้อ่านในเปตวัตถุนี่นะครับ ก็จะมีหลากหลายตัวอย่างของผู้ที่ได้เกิดเป็นเปรตนี่นะครับ บางคนเนี่ยนะครับ มีรูปร่างสวยงาม แต่พอมีผู้อื่นมาทำให้ตัวเองนี่ครับ หมดความสวยความงามก็โกรธผู้อื่น วันหนึ่งเนี่ยครับ ก็ไปขโมยเสื้อผ้าของผู้อื่นมาใส่ จิตอกุศลนะครับ ที่จะขโมยของของผู้อื่นมาเป็นของๆ ตน กรรมมีแล้ว อกุศลกรรมมีแล้วนะครับ ก็สะสมอยู่ในจิตนะครับ เมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมแม้เพียงการขโมยผ้าของผู้อื่น ก็ทำให้เกิดเป็นเปรตได้ครับ ก็ลองพิจารณาดูนะครับ พอเกิดเป็นเปรตแล้วนะครับ ก็ก็มีรูปร่างที่น่ากลัวนะครับ แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะปกปิดอวัยวะ ก็ได้รับความทุกข์ความทรมานเดือดร้อนนะครับ

    ท่านอาจารย์ เร็วมากเลยนะคะ จากชาตินี้เป็นเปรตได้เลย เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่รู้ก็ไม่กลัว ยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าถึงเวลาแล้วก็ น่าสงสารมากเลยนะคะ ที่อีกนานเลยกว่าจะพ้นจากความเป็นเปรต

    ผู้ฟัง พระภิกษุคือผู้ที่บวชในบวรพุทธศาสนา เพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน สละบ้านเรือนทรัพย์สินเงินทอง ถ้าดูใน ณ ปัจจุบันนี้ เพราะรู้สึกจะไม่ค่อยเห็น แล้วเราจะไปทำบุญกับใครคะ ถ้าอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมนี่เป็นบุญหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง เป็นบุญค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ยากที่จะต้องไปขวนขวายที่ไหนใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ โอกาสไหนก็ได้ที่เป็นสิ่งที่ดีก็ทำ เพราะว่าถ้ากุศลจิตไม่เกิดขณะนั้นอกุศลก็เกิด ต้องไม่ประมาทแม้กุศลเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ นะคะ เพราะว่าถ้าขณะนั้นอกุศลเกิดก็ทำสิ่งที่ดีงามไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทำดีเพราะรู้ว่าถ้าไม่ทำ ก็เป็นอกุศล และก็ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าจะมีการเข้าใจถูกต้อง ว่าขณะนั้นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง คือสรุปว่าให้เราฟังพระธรรมให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ นั่น เป็นสาวกหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ สาวกค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อใคร

    ผู้ฟัง เพื่อสาวกค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพื่อให้ผู้ที่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ ได้มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นค่ะ บุญอะไรสูงสุด

    ผู้ฟัง บุญอะไรสูงสุด เข้าใจพระธรรมคำสอน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะ ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ดับกิเลสไม่ได้

    ท่านอาจารย์ การที่จะสละเพศคฤหัสถ์นี่ค่ะ ใช้คำว่าสละ ไม่ได้หมายความว่ามีเยื่อใย บุคคลในครั้งพุทธกาล เวลาที่ท่านละอาคารบ้านเรือน ที่จะออกบวชเป็นบรรพชิตนะคะ แม้มารดาบิดาเวลาท่านไปบิณฑบาต หรือไปพำนักอยู่ ท่านก็ไม่ได้บอก ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องที่จะแสดงให้เห็นว่า ต้องการอาหารอร่อย หรือว่าให้ญาติรู้ว่ามาหามาเยี่ยมเลย เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านเนี่ยจะมั่นคง อาจหาญ กล้าหาญที่จะสละ สิ่งที่สละจริงๆ นะคะ ไม่ใช่สละเพื่อได้ อย่างมีเด็กนักเรียนนะคะ ก็ไปบวชมา ก็ถามบอกเป็นไงบ้าง โอ้ ดีมากเลยค่ะ อาหารก็อร่อย เงินก็ได้ด้วยแล้วยังไงนี่ ไม่ใช่พระพุทธศาสนาแน่ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นพระพุทธศาสนานะคะ พุทธบริษัทมีบรรพชิต และคฤหัสถ์ทั้งสองเพศ ในการศึกษาเล่าเรียนธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ตามอัธยาศัยที่ได้สะสมมา ตรงตามความเป็นจริง ไม่ได้ให้คฤหัสถ์ไปบวช ไม่มีการบวชหมู่ ๑๐๐ รูป ๑๐๐๐ รูป ๑๐,๐๐๐ รูป ๑๐๐, ๐๐๐ รูป ล้านรูป ไม่มีใครให้ใครไปบวชได้เลย เพราะเหตุว่าการบวช บวชใครคะ ไม่ใช่ให้คนอื่นเขาบวชใช่ไหมคะ คนที่จะบวชก็ต้องรู้ว่าบวชหรือไม่บวช เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่กล้าที่จะรู้ความจริง อาจหาญที่จะทำสิ่งที่ถูก ถ้าไม่อยากจะบวชแล้วไปให้เขาบวชได้หรือ แล้วบวช ๑๐๐ รูปเพื่ออะไร ๑๐๐๐ รูปเพื่ออะไร บางคนเขาก็คิดแล้วว่า ไม่ต้องเสียเงินนะคะ การบวช ๑๐๐ รูปเนี่ย เพราะว่าได้มากกว่า ๑๐๐ รูปที่บวช จากการจัดการบวช นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดเนี่ยค่ะ ไม่ได้เป็นไปเพื่อเข้าใจพระธรรม หรือว่าจะรักษาคำสอนที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง คำสอนใดๆ ทั้งหมดไม่มีคำสอนใดที่บริสุทธิ์เท่าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เพราะเป็นไปเพื่อการรู้ความจริงนะคะและสามารถที่จะดับกิเลสได้ ไม่เกิดอีกเลย ไม่ว่ากิเลสใดๆ ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นจะมีอะไรล่ะคะ ที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งขณะนี้นะคะ ไม่เป็นไปอย่างที่ปรากฏ อย่างที่ปรากฏก็มีคน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีดอกไม้นะคะ แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ขณะเห็นมีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ไม่มีใคร ถูกต้องมั้ยคะ ค่อยๆ พิจารณาจนกว่าจะรู้ว่าทางตาที่เห็นอะไร เมื่อไหร่ ก็คือว่าไม่เคยรู้การเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของสิ่งที่ปรากฏ และเห็น และการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของสภาพธรรมที่ปรากฏให้เห็น นี่เหมือนไม่ดับเลย เมื่อไม่ดับก็มีรูปร่างสัณฐานต่างๆ สีสันต่างๆ ม่วงบ้าง ส้มบ้าง เหลืองบ้าง ขาวบ้าง เขียวบ้าง สภาพที่จำนี่มีค่ะ เพราะฉะนั้นก็จำสิ่งต่างๆ นะคะ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ แม้ไม่เอ่ยเป็นชื่อใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏนี่ค่ะ เรายังไม่ได้รู้จักชื่อเลย แต่การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว ก็ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เริ่มจำแต่ยังไม่คิดถึงชื่อ แต่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    เหมือนเด็กที่เกิดใหม่นะคะ เพิ่งเกิด เห็นไม่รู้เลยค่ะว่าเห็นอะไร จนกว่าจะค่อยๆ ชินค่อยๆ ชินนะคะ จนกระทั่งรู้ว่าเป็นคน หลากหลาย แต่ยังไม่มีชื่อ จนกว่าจะได้ยินเสียง ซึ่งค่อยๆ คุ้นหูๆ จนกระทั่งรู้ว่านี่อะไร นั่นอะไร ก็เริ่มพูด ใช่ไหมคะ อย่างเด็กคนหนึ่งในคำแรกที่เขาพูดก็คือป้า ไม่ใช่แม่ ไม่รู้ว่าเค้าจะจำแบบไหนยังไงนะคะ ก็เป็นเรื่องของแต่ละ ๑ เท่านั้นเองค่ะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้รู้ความจริงของธรรมเลยว่า จริงๆ แล้วเนี่ย ต่างกับที่เราคิดมากมาย เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่ดับ จึงมีการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทันทีที่ยึดถือก็ติดข้องในสิ่งนั้นละ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นี่นะคะ ทุกคนยังต้องการเห็น ไม่มีใครที่จะเลิก ไม่อยากจะเห็นใช่มั้ยค่ะ ยังต้องการเห็นอยู่ ยังต้องการได้ยิน ต้องการทุกอย่าง ทางจมูกต้องการกลิ่น ทางลิ้นต้องการรส ทางกายก็ต้องการสัมผัส ที่เย็นร้อนบ้าง อ่อนแข็งบ้างนะคะ อย่างอาหารบางอย่างนี่ค่ะ รสไม่ต้องพูดถึง แต่พูดถึงความนิ่มของแป้งนะคะ หลากหลายมาก จนกระทั่งไม่เหมือนกันเลย ใครจะทำให้เหมือนก็ไม่เหมือน นี้ก็แสดงให้เห็นว่าทางกายเนี่ย สามารถที่จะรู้แจ้งสิ่งที่กระทบ แม้ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ทั้งหมดนี้ก็เกิดดับสืบต่อรวมกัน แน่นมาก ทันทีที่สิ่งหนึ่งดับไป สิ่งอื่นก็เกิดปรากฏสืบต่อ ไม่ให้รู้เลยว่าขณะนี้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้น และดับไปแต่ละหนึ่ง ดับไปไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกในสังสารวัฎฏ์

    แต่ว่าถ้าไม่รู้อย่างนี้นะคะ ก็ยังคงติดข้อง ยังละความติดข้องไม่ได้เลยค่ะ รู้เพียงแค่นี้ไปอีกนานเท่านาน จนกว่าปัญญาอีกระดับหนึ่ง สามารถจะเกิดขึ้นได้ เพราะความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในความมั่นคงแต่ละคำนะคะ ได้ยินคำว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้ว ปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย ยังไม่ได้ทำให้มีการคิดที่จะสละหรือละความติดข้อง ได้ยินอีก ๑๐ ครั้ง ๑๐๐ ครั้ง กี่ชาติยัง ยัง ไม่ถึงเวลาแต่เมื่อถึงเวลาแล้วนะคะ เริ่มเห็นถูก สภาพธรรมก็จะปรากฏกับบุคคลนั้นได้ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่านึกอยากจะไปทำให้สภาพธรรมเกิดดับ ก็จะไปประจักษ์การเกิดดับ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย นี่เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งนะคะ ที่จะต้องรู้ว่าถ้าเป็นหนทางที่ถูก ก็สามารถที่จะถึงการรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะและรู้ว่าเป็นไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาลนี่ค่ะ ผู้ที่สะสมมาที่จะสละอาคารบ้านเรือนนะคะ พร้อมที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงขอบวช เมื่อบวชแล้วบวชทำไมคะ ฟังพระธรรมตลอด ไม่ว่าพระผู้มีพระภาคจะเสด็จที่ไหน แม้ว่าจะอยู่ในพระวิหารเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จจาริกไปสู่ที่อื่นนะคะ ติดตามไปเพื่อฟัง เพราะฉะนั้นชีวิตของบรรพชิตในครั้งนั้นนะคะ ก็ศึกษาธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่า แม้ความประพฤติก็ต้องขัดเกลา ผิดจากเพศคฤหัสถ์ ชีวิตคฤหัสถ์ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครติเตียนนะคะ ตะโกนดังๆ ก็ได้ อย่างมากก็มีคนว่า เอ๊ะทำไมคนนี้ตะโกนเสียงดัง แต่ถ้าเป็นบรรพชิต อาบัติ หมายความว่า ต้องเห็นว่าเป็นโทษ ต้องปลงอาบัติ ด้วยการปลงคือสำนึกนะคะ ต้องอาบัติหมายความว่า ทำสิ่งที่ผิดจากที่พระผู้มีพระภาคบัญญัติไว้ ก็เป็นการมีโทษที่เป็นอาบัติ และเมื่อเป็นอาบัติแล้วนะคะ ตราบใดที่ไม่สำนึก และไม่ปลง ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย

    แม้แต่แต่ละคนที่เกิดมาเนี่ย ใครทำ สูงต่ำ ดำขาว ตาสีฟ้าก็มี สีน้ำตาลก็มี มีหมดใครทำ ไม่มีใครทำได้เลยนะคะ นอกจากกรรมที่ละเอียดมาก และก็สะสมมานานมาก กรรมที่ทำให้เกิด ที่ใช้คำว่า ปฏิสนธิ ในภาษาบาลีนะคะ หมายความว่าสืบต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน จิตขณะสุดท้ายดับเมื่อไหร่ คนนั้นตายเป็นคนนั้นต่อไปอีกไม่ได้เลย ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับ ปฏิสนธิจิตคือกรรมหนึ่ง ก็ทำให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดสืบต่อทันที ไม่เป็นบุคคลนั้นอีก แต่สืบต่อจากคนนั้น เพราะฉะนั้นจะเป็นใครชาติหน้า ก็มาจากชาตินี้แหละ แล้วก็มาจากชาติก่อนๆ ด้วยที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะ ว่าทุกคนต้องตายแน่ เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วถ้าเข้าใจธรรมก็รู้ว่าอะไรตาย จิตเกิดดับสืบต่อทุกขณะ เป็นขณิกมรณะ ตายทุกขณะ เพราะไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็จนกว่าจะตายจริงๆ ที่เราเรียกว่าคนนั้นตายคนนี้ตาย คือสมติมรณะ รู้กันว่าคนนี้ตาย แต่ต้องเกิด ใครรู้ เพราะแม้ขณะนี้จิตเมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว เมื่อคืนนี้ก็ดับแล้ว เมื่อเช้านี้ก็ดับแล้ว เดี๋ยวนี้ก็กำลังดับ แต่ละ ๑ ขณะไม่เหลือถึงพรุ่งนี้เลย สักขณะเดียว เพราะฉะนั้นจากขณะสุดท้ายของชาติก่อน ดับไปที่เรียกว่าตาย ก็มีกรรมทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นเป็นบุคคลใหม่ แล้วแต่จะเป็นมนุษย์เป็นช้าง เป็นงู เป็นนก เป็นเทวดา เป็นอะไรก็ตาม แต่ไม่ถึงรูปพรหมแน่ เพราะว่าเหตุไม่มี ที่จะทำให้เกิดที่นั่นได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุค่ะ

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ตรงนะคะ ก็คือเกิดมาแล้ว เป็นมิตรต่อกัน มีความหวังดีต่อกันนะคะ คนที่เป็นมิตรนี่ไม่ได้หวังร้ายต่อใครเลย เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย แล้วประพฤติผิดเป็นโทษอย่างยิ่ง ผู้ที่มีความเป็นมิตรคือเมตตา อยากจะให้เขาเกิดในนรกมั้ย อยากจะเห็นคนที่มองเห็นกันอยู่ในชาติเนี่ย ไปเกิดเป็นเปรตมั้ย ก็น่าสงสารอย่างยิ่งนะคะเพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะอนุเคราะห์ ก็คือว่าไม่มีคำใดของใคร นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงทั้งพระธรรม และพระวินัย ให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม ได้รู้จักว่าประพฤติปฏิบัติตามในเพศใด ในเพศของคฤหัสถ์ หรือว่าในเพศของบรรพชิต เราก็เป็นมิตรทั้งสองฝ่าย คือไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตนะคะ ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นตลอดเวลา ที่มีคนขอคำแนะนำนะคะ ก็จะตอบว่าไม่มี แต่มีคำที่จะทำให้เข้าใจ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว และก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นเองค่ะ เราแนะนำสักเท่าไหร่ ใครจะทำตามหรือไม่ทำตามก็เพียงแค่ฟัง แต่ถึงเวลาจริงๆ นะคะ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้นปัจจัยที่สำคัญ คือสามารถเห็นถูกต้องเป็นปัญญา เพราะว่าไม่มีใครที่จะทำหน้าที่ละกิเลสได้เลย ถ้าปัญญายังไม่เกิด ไม่มีหนทาง นอกจากฟัง ฟังแล้วเข้าใจ ปัญญาที่เข้าใจเนี่ย ก็เริ่มเห็นประโยชน์ของความเข้าใจ ว่าความเข้าใจนี้ต่างหาก ที่จะทำให้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่เขา เพราะไม่มีใครนอกจากธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อมีความมั่นคงในปัญญา ไม่ใช่เราแน่ แต่เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้นนะคะ ความเข้าใจค่อยๆ สะสม แม้ขณะนี้ก็กำลังสะสม เพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของปัญญา ที่ว่าถ้าฟังมาก เข้าใจมาก ปัญญาที่สะสมไว้แล้ว ก็สามารถที่จะทำกิจของปัญญา ในกุศลทั้งปวงได้ เพิ่มขึ้น แต่ถ้ายังมีเราไปคิดว่า เราจะทำอย่างนั้นได้ เราจะไปปฏิบัติอย่างนี้ เราจะไปเดินอย่างโน้น หรืออะไรอย่างนี้นะคะ ก็ไม่มีทางที่ความเป็นเรา จะทำให้รู้ความจริงของธรรม แต่กั้นไม่ให้เห็นถูกต้อง และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คือว่าแม้ศึกษาธรรม ก็ไม่ได้เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม และเดี๋ยวนี้ก็ดับแล้วทันทีที่ปรากฏ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ แล้วจะไปหาอะไรมาเข้าใจได้ เพราะทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ เร็วมาก เป็นผู้ที่อดทนใช่ไหมคะ เพราะรู้ว่าไม่มีเรา ปัญญาทำให้อดทน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    21 มิ.ย. 2567