ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เช้ามาผัสสะอะไรบ้างหรือเปล่า ไม่รู้เลยว่าผัสสะคืออะไร ถ้าจะใช้คำนี้ก็ใช้อย่างไม่รู้ค่ะ ถ้าใช้อย่างไม่รู้ ก็จะถามอย่างไม่รู้นะคะ ว่าวันนี้ผัสสะอะไรบ้าง หรือเปล่า ตอบได้ไหมคะ ในเมื่อไม่รู้คำนั้น ผัสสะอะไรบ้างหรือเปล่า

    ที่เราตาเห็นนี่นะคะ

    ท่านอาจารย์ ตาเห็น แล้วอะไรผัสสะ

    จักษุอ่ะน่ะฮะ

    ท่านอาจารย์ จักษุคืออะไร

    คือสิ่งที่ที่มากระทบ กระทบแต่ละครั้ง

    ท่านอาจารย์ จักษุคืออะไร แค่ตา กำลังมีตาด้วย แล้วจักษุคืออะไร นี่คือเข้าใจว่าได้เข้าใจคำสอน แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาโดยละเอียด จึงมีความคิดของตัวเองเนี่ย ก่อนจะฟังธรรมทุกคนมีความคิดของตัวเองทั้งนั้นเลย พอฟังธรรมแล้วนะคะ นิดๆ หน่อยๆ ก็คิดของตัวเองต่อไปอีก แทนที่จะหยุดคิด ไม่คิดตามความคิดของตัวเอง ฟังธรรมแต่ละคำด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่เผิน ไม่ประมาทในแต่ละคำ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ อย่างถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ต้องพิจารณา ไตร่ตรองจนเข้าใจถูกต้อง เมื่อนั้นก็รู้ว่าต่างกับที่เราเคยคิดมาก่อน เพราะเราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจะฟังคำของพระองค์ก็ไม่ฟังเพียงแค่เผินๆ แล้วคิดว่าเข้าใจแล้ว เช่นคำว่าผัสสะ เช่นคำว่าปฏิบัติ เช่นคำว่าธรรม พวกนี้ค่ะยังไม่ได้เข้าใจเลย แต่คิดว่าเข้าใจ

    คือการปฏิบัติธรรมส่วนมากจะเข้าใจว่า ต้องไปสถานที่ใด สถานที่หนึ่งนะคะ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้างนะคะ

    ท่านอาจารย์ แล้วได้อะไรกลับมา

    เพื่อไปทำสมาธินะคะ เพื่อไปทำวิปัสสนานะคะ

    ท่านอาจารย์ ยิ่งแย่ใหญ่ค่ะ วิปัสสนาคืออะไรก่อน

    ผู้ฟัง เนี่ย ค่ะ จะเรียนถามอาจารย์ แล้วก็ช่วยให้อาจารย์ช่วยอธิบายคำว่าสมาธิ และวิปัสสนาที่ถูกต้องนะคะ

    ท่านอาจารย์ เชิญคุณคำปั่นให้คำแปล

    อ.คำปั่น โดยความหมายก่อนนะครับ สมาธิหมายถึงสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดครับ อันนี้คือโดยความหมายก่อนนะครับ แต่ว่าในความละเอียดก็แสดงไว้ด้วยนะครับ ว่าที่เป็นมิจฉาสมาธิก็มี ที่เป็นสัมมาสมาธิก็มีครับ ซึ่งท่านอาจารย์ก็คงจะได้กล่าวในรายละเอียด นี่คือความหมายของสมาธิ สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดครับ แล้วก็อีกคำหนึ่งก็คือวิปัสสนา เป็นปัญญาที่เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ในธรรม ตามความเป็นจริง ซึ่งจะไปถึงวิปัสสนาได้ ต้องมีการเริ่มต้นที่การฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจตั้งแต่ขั้นการฟังครับ

    ท่านอาจารย์ ไปทำสมาธิเพราะอะไร

    ผู้ฟัง ไปทำสมาธิเนี่ยเพื่อต้องการนะคะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งนะคะ

    ท่านอาจารย์ ต้องการอะไรคะ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    ส่วนมากที่ต้องการ ก็คือพ้นจากความทุกข์นะคะ

    ท่านอาจารย์ ตรงกันมั้ยคะ เนี่ยนะคะ คือว่าไปทำสมาธิ เพื่อต้องการพ้นจากทุกข์ สมาธิทำให้พ้นจากทุกข์ได้หรือ และเพราะยังไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่าสมาธิทำให้พ้นจากทุกข์ ซึ่งไม่ถูกต้อง แล้วก็อีกอย่างหนึ่งค่ะ ไปเพราะอยากพ้น แปลว่ามีตัวเราซึ่งไม่มีปัญญาเลย ไม่รู้จักธรรมเลย แต่อยากพ้น จึงไปทำด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นกลับไปแล้วได้อะไรบ้างคะ

    ก็ไม่ได้อะไรนะคะ พอไปทำอย่างน้อยก็เข้าคอร์ส อย่างน้อย ๓ วัน ๗ วัน

    ท่านอาจารย์ ทำอะไรคะระหว่างนั้น

    คือนั่งสมาธิแล้ว ทำจงกรม

    ท่านอาจารย์ นั่งสมาธิทำยังไงคะ

    นั่งสมาธิก็คือหลับตานะคะ แล้วก็กำหนดลมหายใจนะคะ

    ท่านอาจารย์ นั่นเหรอคะสมาธิ

    เอ่อคือความเข้าใจนะคะ เบื้องต้นคือไม่เข้าใจก่อนที่จะได้มาฟังพระธรรมนะคะ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีสมาธิมั้ยคะ

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้มีสมาธิค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมต้องไปทำสมาธิ

    เพราะขณะนั้นไม่เข้าใจเรื่องพระธรรมอ่ะนะคะ เข้าใจว่าปฏิบัติก็คือการทำสมาธิ

    ท่านอาจารย์ แล้วการทำสมาธิอย่างนั้น จะทำให้พ้นทุกข์ได้เลยค่ะ

    ไม่พ้นค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วไปทำอะไร

    ตอนนั้น มีความต้องการไงคะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะไปอีกมั้ย

    ผู้ฟัง ไม่ไปแล้วค่ะ ก็คือต้องฟังพระธรรมอย่างเดียวนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

    ผู้ฟัง ผมก็ได้ชักชวนกลุ่มสหายธรรมใหม่ๆ นะครับ ซึ่งไม่เคยได้ฟังเลย เขาก็ให้ผมถามไว้คำถามว่า เบื้องต้นของความเข้าใจธรรมคืออย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าธรรมนะคะ รู้หรือยังว่าธรรมคืออะไร นี่คือต้องเข้าใจถูกต้องนะคะ ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่นี้ค่ะ แล้วเราเป็นใคร เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ยินเนี่ย เป็นคำที่ตรัสจากพระโอษฐ์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นเรื่องของความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นปัญญา เพราะ พุทธะ หมายถึงปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพียงเท่านี้ค่ะเตือนให้เรารู้สึกไหมคะ ว่าเราไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มีจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรมก็ผ่านไปไม่ได้ จะตั้งต้นอย่าง ไร ตั้งต้นเข้าใจแต่ละคำที่ได้ยิน คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นความจริงที่ตรัสรู้เนี่ย ต้องมีแน่นอน ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง ไม่ใช่อยากจะฟังโน่น อยากจะฟังนี่ แล้วก็คิดว่าที่ได้ฟังเนี่ยเข้าใจแล้ว แต่ความเข้าใจแล้วที่เราคิดเนี่ยนะคะ ไม่มีความลึกซึ้งที่ถูกต้องเลย เพราะว่าเป็นความคิด ของผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ต้องต่างกับแต่ละคำที่ทรงแสดง ด้วยเหตุนี้เพียงแต่คิดว่าแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ทรงตรัสรู้อะไร ไม่ใช่เพียงนับถือ พอเขาบอกว่าพระองค์ เป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้น ซึ่งยากแสนยากนะคะ ที่จะดับได้ แต่ก็ไม่เหลือเลย แล้วก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจ เพราะแต่ละคำเนี่ยต้องยาก

    เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้นะคะ ทุกกาลสมัย และลึกซึ้งด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ เป็นผู้ไม่ประมาทในการฟัง แม้แต่การฟัง ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำได้ เพราะว่าแต่ละคำ ไม่ใช่เพียงเสียงแล้วก็คำพูด อย่างที่เคยพูดกันธรรมดา แต่เป็นคำที่กล่าวถึงความจริง ของสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัยนะคะ โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ไม่มีใครจะรู้ยิ่งกว่านั้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ค่ะ ก็ยากที่จะได้ฟัง แต่เมื่อได้ฟังแล้ว ไม่ใช่ว่าเหมือนกับว่าไม่เข้าใจ และบอกว่าพระธรรมยาก ยากเพราะอะไรคะ เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ฟังคำอย่างนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่เป็นคำธรรมดา เช่นความเข้าใจที่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก่อนจะฟังพระธรรมเนี่ยคิดรึเปล่าคะ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร บอกว่าทรงตรัสรู้แล้วก็ดับกิเลสได้ ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลยในสากลจักรวาล แล้วรู้อะไร ที่ใช้คำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่รู้ธรรมดาด้วยการคิดไตร่ตรอง แต่ตรัสรู้หมายความถึงประจักษ์แจ้ง ความจริงของสิ่งซึ่งขณะนี้นะคะ ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าต้องปรากฏกับปัญญา ที่เริ่มเข้าใจถูกเห็นถูก ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้เนี่ย ต้องมีจริงแน่นอน นี่คือผู้ใหม่ ต้องตั้งต้นอย่างนี้นะคะ มีจริงแน่นอนแล้ว เดี๋ยวนี้มีมั้ย เห็นไหมคะ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ฟังธรรมไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง เขาบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เราก็กล่าวตาม มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แล้วพึ่งพระองค์ยังไง ดับขันปรินิพพานไปแล้วนะคะ ไม่เหลือเลย แล้วจะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไง ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ นะคะ พระธรรมที่ทรงแสดงตลอด ที่ยังไม่ปรินิพพาน ๔๕ พรรษา ยังมีอยู่ครบถ้วน สำหรับให้ได้ศึกษาให้ได้เข้าใจความจริง

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ความจริงของอะไรอีก ตามไปเฉยๆ เท่านั้น ไม่เป็นปัญญาของคนฟังเลยค่ะ ต้องไตร่ตรอง จนหมดความสงสัย และจนกระทั่ง รู้ว่าคำใดเป็นคำจริง คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่นะคะ ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ฟังคำของคนอื่น แล้วเชื่อคนอื่น แล้วทำตามคนอื่น ด้วยเหตุนี้พอพูดถึงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็ตอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่นับถือ นี่ก็แสดงเห็นว่าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ แต่ถ้าฟังคำของพระองค์นะคะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็ต้องมีจริง และสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ค่ะ เป็นสิ่งที่พระรหัสสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใช่ไหม เห็นไหมคะ ต้องเป็นความคิดของตัวเอง ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แล้ว จะทรงตรัสรู้อะไร มีความจริงอะไรอีกที่จะให้รู้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดแล้วมั่นคง เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้ว่าต้องฟังพระธรรม จึงสามารถที่จะรู้ว่าธรรมคืออะไร เคยได้ยินแต่ธรรม พูดเรื่องอื่นทั้งนั้นเลย แต่มีใครพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้บ้างไหม

    เพราะฉะนั้นธรรม คือสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ที่ไหน เมื่อไหร่ สิ่งใดที่มีจริงนะคะ ปรากฏว่ามีจริงๆ สิ่งนั้นพระสัมมาพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ว่าในกาลไหน เดี๋ยวนี้นะคะ ถ้าจะถามคนที่เริ่มฟังธรรม และได้ยินคำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ได้ยินอย่างนี้นะคะ เริ่มคิดหรือยังคะ ว่าแล้วอะไรมีจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่คิดก็ไม่เข้าใจธรรม แล้วก็บอกว่าธรรมยาก แต่ถ้าคิดเริ่มเข้าใจเป็นปัญญาของตนเอง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงธรรมให้ใครเชื่อ แต่ให้คนนั้นน่ะค่ะผู้ฟังเนี่ยค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นความรู้ของตนเอง จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้ง และหมดกิเลสตามลำดับ ตามพระองค์ด้วย ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม เป็นเรื่องของปัญญานะคะ ต้องรู้ว่าไม่ใช่ฟังเพื่อใจสบาย แต่ว่าฟังเพื่อเข้าใจธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาส ที่คนที่ได้ฟังธรรมจะคิดเองนะคะ เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย จะตอบยาก แต่ถ้าฟังธรรมแล้วอาจจะตอบตามที่ได้ฟัง แค่ตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นปัญญาความเห็นถูกนี่่ ลึกลงไปตามลำดับจนกว่าจะรู้ได้ว่า นี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากนะคะ ยากเปลี่ยนยากให้เป็นง่ายได้มั้ย ไม่ได้ ถ้าใครเปลี่ยนคนนั้นถูกหรือผิด สิ่งที่ยากเป็นความจริง แล้วใครเปลี่ยนความจริงนั้นได้

    เพราะฉะนั้นใครคิดจะทำธรรมให้ง่าย หรือใครบอกว่าธรรมง่าย ใครบอกว่าไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องเข้าใจมาก แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อใคร จากคนที่ไม่ได้ฟัง และคนที่ได้ฟังมาแล้วหลายๆ ชาติ และคนที่ฟังแล้วนะคะ อบรมเจริญปัญญา พร้อมที่จะรู้ความจริงที่กำลังปรากฏ เพราะได้สะสมความเข้าใจมามากพอ เพราะฉะนั้นพระธรรมสำหรับทุกบุคคล ที่เห็นประโยชน์ ถ้าเห็นประโยชน์ก็คือเข้าใจตัวเองนะคะ ว่ารู้แค่ไหน ไม่ต้องไปตามคนอื่นเลยค่ะ ถ้ายังไม่รู้ก็ฟังให้ค่อยๆ รู้ขึ้น แล้วจะยากหรือ เพราะว่าไม่ว่าวิชาอะไรก็ต้องฟังทั้งนั้น ฟังแล้วก็ต้องคิด คิดแล้วก็ต้องไตร่ตรอง แต่พระธรรมที่ทรงแสดงนี่ค่ะ มีสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจให้คิดว่าจริงไหม ไม่ใช่เชื่อ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นะคะ แค่คำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ที่มีจริง แล้วเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง

    ความนึกคิดมีจริง

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย หาอย่างอื่นใช่ไหมคะ เอ๊ะอะไรจริง นี่หนึ่งแล้วค่ะ ความนึกคิดมีจริง เปลี่ยนได้ไหมคะไม่ให้เป็นคิด เปลี่ยนคิดให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นคิดมีจริง ถูกต้อง รู้คิดที่กำลังคิดหรือยัง ความจริงของคิด ยังไม่รู้ทั้งๆ ที่คิดมีจริงทุกวัน แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงของคิด เพราะฉะนั้นฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่มีทั้งหมดนี่ค่ะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปทำสิ่งที่ ไม่มีให้เกิดขึ้น ให้เราศึกษา แต่ว่าสิ่งที่มีแล้วนี่แหละ ที่ไม่เคยรู้ทั้งหมด เช่นคิดมีจริงๆ ก็ไม่เคยรู้เลย อะไรอีกคะนอกจากคิด นี่แหละค่ะคือธรรม เชิญค่ะ

    ผู้ฟัง ขณะนี้เห็นค่ะ แล้วก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง คงจะเคยฟังมาแล้วแน่ ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนนะคะ จะคิดไหมคะว่ากำลังเห็นนี้แหละ จะบอกว่าไม่จริงได้ยังไง แต่ไม่เคยคิดถึงเห็นว่า เห็นเนี่ยมีจริงๆ ไปคิดเรื่องอื่นหมดเลย แม้แต่ได้ยินนะคะ ก็ได้ยินตั้งหลายคำ ก็ไม่เคยคิดถึงได้ยิน ไปคิดเรื่องอื่นว่า ธรรมคงจะเป็นเรื่องอื่น แต่ว่าเห็นมีจริง ได้ยินมีจริง คิดมีจริง อะไรอีกคะ ถ้าเข้าใจธรรม มีความคิดเป็นของตัวเอง

    ตอนนี้มีเย็นค่ะ มีความรู้สึกว่าเย็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เย็นมีจริงเห็นไหมคะ ไม่มีใครปฏิเสธเลย เย็นก็กำลังมีจริงๆ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ยังไม่รู้ความหมาย ยังไม่รู้คำแปล ก็ไปคิดว่าธรรมเนี่ยยากเกินวิสัย แต่ความจริงก็สิ่งที่มีจริงอย่างนี้แหละ เห็นก็ธรรมดาอย่างนี้ คิดก็ธรรมดาอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ เย็นอย่างนี้ปกติ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมคือสิ่งที่มีจริงไว้อย่างไร แม้มีจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่น่าคิดนะคะ ยังไม่หมดเลยใช่มั้ยคะ ทั้งวันตั้งแต่ตื่นลืมตาเนี่ยจริงทั้งนั้น ชอบก็มีจริง ไม่ชอบก็มีจริง ทุกสิ่งทุกอย่าง อร่อยมั้ยคะเมื่อเช้านี้รับประทานอาหาร มีจริงมั้ยค่ะ

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ ความพอใจในรสอาหารก็มีจริง ทุกอย่างหมดไม่เคยรู้ แล้วก็ลืม แล้วก็พยายามที่จะไปคิดเรื่อง เพราะฉะนั้นกลับมารู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แค่นี้ค่ะ จะฟังต่อไหม บางคนก็บอกธรรมดา ไม่เห็นพูดอะไรที่ลึกลับ ลึกซึ้ง สูงมาก จะต้องไปพยายามศึกษาค้นคว้า เหมือนธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่าทั้งๆ ที่ธรรมดาอย่างเนี่ย รู้หรือเปล่า ว่าตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีอะไรนอกจากนี้ เกิดมาไม่เห็นมีมั้ย เกิดมาไม่ได้ยินมีมั้ย เกิดมาไม่ได้กลิ่นมีมั้ย แล้วเกิดมาทำไม ทั้งๆ ที่มีก็ไม่รู้ใช่ไหมค่ะ จนตายก็ไม่รู้ แต่ว่าความจริงก็คือว่า ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ว่านี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ฟังความละเอียด ความลึกซึ้งต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหลายนี่นะคะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง โดยพยัญชนะที่ตรัสว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา อนัตตานี่ค่ะ ตรงกันข้ามกับอัตตา อัตตาหมายความถึงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ เป็นดอกไม้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สภาพธรรมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้นี่นะคะ ต้องเกิด ไม่เกิดก็จะไม่มีการเห็น เกิดขึ้นแล้วนะคะ ไม่เป็นอื่นเลย นอกจากเป็นเห็น เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นนี่คะ แล้วก็ไม่เป็นอื่น เพียงเห็นเกิดแล้วดับไป ใครรู้ ดับจริงๆ ก็ไม่รู้ เพราะสภาพธรรม เกิดดับเร็วมากนะคะ สิ่งใดที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างเร็วทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง นี่จะไม่ปรากฏการเกิดดับเลย เพราะฉะนั้นก็มีสภาพที่จำสิ่งที่ปรากฏที่สืบต่อ จนปรากฏเป็นนิมิต นิมิตตะ รูปร่างสัณฐานไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ปรากฏทางตาเนี่ย มีรูปร่างสัณฐานทั้งนั้นเลยใช่ไหมคะ จึงรู้ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นถ้วยแก้ว เป็นดอกไม้ เพราะรูปร่างสัณฐาน สีต่างๆ ทำให้เกิดสัณฐานต่างๆ แต่หารู้ไม่ว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้นี่ ทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็น ค่อยๆ คิดนะคะ ตาก็ไม่เห็น เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีตา เห็นจะมีได้ไหมคะ ไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เห็นจะเกิดขึ้นได้ไหม แค่นี้ค่ะ ความหมายของคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เว้นเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเพียงเข้าใจอย่างนี้ ก็รู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นอย่างนี้ทุกขณะ ไม่มีอะไรเลย นอกจากเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งปะปนกันไม่ได้เลย แล้วก็ต่างกันด้วย เช่น เห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และที่เคยเข้าใจว่าเห็นคน เห็นถ้วยแก้ว ก็เพราะเหตุว่าเมื่อลืมตาเห็นนะคะ ความเกิดดับอย่างเร็วปรากฏเป็นนิมิตทันที เหมือนพร้อมกันเลย เหมือนพร้อมกันเลยแสดงว่าธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น เกิดดับนับไม่ถ้วน แล้วใครจะรู้ความจริง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ความละเอียดยิ่งนะคะ ว่าธาตุรู้เนี่ยมีเท่าไหร่ ต่างกันอย่างไร ขณะนี้กำลังเห็น กำลังรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ โต๊ะรู้มั้ย ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามีอย่างนี้ ไม่มีเลย แต่ธาตุรู้เนี่ยนะคะ ไม่ใช่ธาตุที่ไม่รู้ เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นเดี๋ยวนี้เห็น เวลาได้ยินเสียงรู้ไหมคะ เสียงมีเสียงปรากฏให้รู้ เราก็เรียกว่าได้ยิน ไม่เคยรู้เลยค่ะ เข้าใจว่าเราได้ยิน แต่ความจริงถ้าไม่มีได้ยินเลย จะมีเรามั้ย ที่ได้ยิน ก็ไม่มี

    แค่นี้ค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ กว่าจะเริ่มเข้าใจแต่ละคำ เช่นธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม เสียงเป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรม เสียงไม่ใช่ได้ยิน เพราะว่าเสียงไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ได้ยินนี่เป็นธาตุรู้ ซึ่งถ้าไม่เกิดอะไรอะไรก็ไม่ปรากฏเลย แต่ธาตุรู้ในขณะนั้นเกิดแล้ว รู้อะไร ถ้ารู้เสียงก็มีเฉพาะเสียงที่ปรากฏ ในขณะนั้นทีละหนึ่งนะคะ แต่เร็วจนกระทั่งเป็นเราได้ยิน เราเห็น เราคิด เราชอบ เราไม่ชอบ สิ่งที่ปรากฏก็เป็นสีสันวรรณะต่างๆ เป็นเรื่องต่างๆ นะคะ จำได้ และก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เนื่องมาจากการเห็น เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรมไม่มีวันจบ จนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเป็นผู้ตรงว่าเข้าใจแค่ไหน เพราะว่าปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความเกิดขึ้น และการดับไป ของสิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ซึ่งต่างกัน เช่นเห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นขณะที่เสียงปรากฏ ต้องไม่มีได้ยิน หลับตาแล้วเสียงก็ยังปรากฏได้ยินก็มี แต่ไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นที่ปรากฏว่า เหมือนพร้อมกันเนี่ยความจริง ไม่พร้อมกันเลยนะคะ แต่ละชนิดเกิดดับสืบต่อเร็วมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง จนกระทั่งผู้ที่ฟังเนี่ยค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงรู้แจ้งอริยสัจธรรม ที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ นะคะ จนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่รู้ ดับความเห็นผิด และก็ดับกิเลสได้ตามลำดับ จะเป็นผู้ที่มากด้วยกิเลสจนถึงการไม่เหลือกิเลสเลยเป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตรัสไว้เป็นความจริงนะคะ เข้าใจได้ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยได้ ขณะที่เข้าใจก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ละความติดข้อง เพราะไม่รู้ ค่อยๆ ละความเห็นผิดเช่นยึดถือว่า เป็นเรามานานแสนนาน แต่ถ้าไม่มีธรรมคือธาตุรู้เกิดขึ้น ก็ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต และขณะที่มีธาตุรู้เกิดขึ้นนะคะ รู้อะไร ก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ใช่รู้อย่างอื่น เพราะฉะนั้นฟังธรรมนะคะ ถ้าไม่เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ ดูเหมือนไม่ได้ประโยชน์จากการฟัง เพราะไปคิดเรื่องอื่น คิดเรื่องชื่อต่างๆ ด้วย โพธิปักขิยะธรรมบ้าง ปฏิจสมุปปาทบ้าง ขันธ์บ้าง อายตนะบ้าง แต่เดี๋ยวนี้รู้หรือเปล่า ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีจะมีขันธ์ มั้ย มีอายตนะมั้ย มีธาตุมั้ย พวกนี้ค่ะ ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าผู้ฟังเป็นผู้ที่เคารพในความจริง เคารพในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ก็จะฟังต่อไป เพราะรู้ว่าที่พึ่งที่ประเสริฐสุด จะไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไร ก็คือปัญญาที่ได้อบรม จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมเดี๋ยวนี้นะคะ แล้วก็ตรัสสอนอย่างที่กล่าวไว้เมื่อกี้นี้เอง ทุกอย่าง ด้วยพระองค์เอง ซึ่งก็เป็นการที่จะต้องเห็นว่า ความห่างไกลของเรากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี้ยมาก เพราะฉะนั้นฟังจนกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เดี๋ยวนี้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยังคะ ได้ยินชื่อแล้วเริ่มฟังพระธรรม เข้าใจเท่าไหร่ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่เข้าใจ นี่คือเริ่มต้น หรือจะให้เริ่มต้นอย่างอื่นคะ เริ่มต้นจากทีละคำ ธรรม หรือแม้แต่พระรัตนตรัย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    21 มิ.ย. 2567