ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
ตอนที่ ๘๘๙
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ผู้ฟัง มีคำคำหนึ่งในบทสวดมนต์น่ะนะคะ ว่าขั้นธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนัก ไม่ทราบว่าคำว่าขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนัก ไม่ทราบว่าหนักยังไง อะไรอย่างเงี้ยนะฮะ อยากจะขอคำอธิบายความเข้าใจที่ถูกต้อง ในขันธ์ทั้ง ๕ นะคะ อาจารย์ ขอบพระคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ ขันธ์ทั้ง ๕ หนักยังไง แต่ขันธ์คืออะไร ไม่ใช่ให้ใครมาบอกว่า หนักอย่างนั้นหนักอย่างนี้นะคะ แล้วปัญญาของตัวเองก็ไม่เกิด เพราะยังไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ คืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่ข้ามไปแล้วคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ละคำที่เล่ามาเนี่ย มีหลายเรื่องที่สามารถจะทำให้รู้ว่า ความจริงคืออะไร แต่จะกล่าวถึงเฉพาะขันธ์ ๕ หนักหรือเปล่าคะ หรือว่าจะฟังตั้งแต่ต้นแต่ละคำ หรือจะเอาแค่ขันธ์ ๕ หนักยังไง เพราะแต่ละคำเหมือนทำบุญ ตื่นขึ้นมาก็ทำวัตร ทำวัตรคืออะไร วัตรคืออะไร ถ้าไม่รู้แล้วทำ เป็นยังไงคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำสิ่งที่ไม่รู้ ถ้าไม่รู้แล้วทำ ทำเพราะไม่รู้ทั้งหมดค่ะ แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้แหละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าคืออะไร มิฉะนั้นจะไม่ทรงพระนามว่าเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้ และไม่ให้คนอื่นรู้ด้วย แต่เพราะเหตุว่าแม้รู้ด้วยพระองค์แล้วนะคะ ก็ทรงมีพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะเขารู้เองไม่ได้
เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกมั้ยคะ ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าบอกให้คฤหัสถ์ทำวัตร มีมั้ย เพราะไม่รู้อะไร แล้วให้ทำอะไร ต่างกันไหมคะ จะทำ หรือว่าจะเข้าใจ นี่คือเป็นผู้ที่ตรง ทำโดยไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็ต้องไม่เข้าใจ เพราะทำโดยไม่เข้าใจ แล้วจะเข้าใจได้ยังไง แต่ถ้าเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะรู้ว่าอะไรล่ะ ทั้งหมดเนี่ยคืออะไรล่ะ คืออะไรเนี่ย คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เพราะไม่เคยรู้ว่าคืออะไร แม้แต่คำว่าทำวัตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครทำวัตร ถูกต้องไหมคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ใครทำวัตรหรือเปล่า ผู้ที่ไปฟังธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ให้เขาทำวัตรรึเปล่า แต่ทรงแสดงธรรมให้เขาเข้าใจ และไม่ทำสิ่งที่ไม่รู้ และไม่เข้าใจ เพราะถ้าทำด้วยความไม่รู้ เป็นอะไรคะ เป็นความไม่รู้ เป็นความรู้ไม่ได้ และความไม่รู้เป็นบุญหรือเปล่า และความไม่รู้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เป็นเราหรือเปล่า ทั้งหมดนี่ค่ะ ไม่รู้เลย เหมือนอยู่ในความมืดทุกชาติที่เกิด ได้ยินแต่เสียงว่าธรรม ได้ยินแต่เสียงว่าขันธ์ ได้ยินแต่เสียงว่าทำวัตร ได้ยินแต่เสียงว่าหนักภาระ แต่ไม่รู้ว่าอะไร
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่รู้ ก็ต้องอยู่ในความมืด ไม่เห็น จะสว่างให้เห็นได้ยังไง เพราะฉะนั้นเวลานี้นะคะ สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงเหมือนอยู่ในความมืด เพราะแต่ละอย่าง ยังไม่ได้ปรากฏให้รู้จริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้นแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นก็เห็นความหนาแน่นของความไม่รู้ และการที่จะละความไม่รู้ก็มีผู้เดียวนะคะ ที่จะให้ละได้ เพราะได้ทรงแสดงความจริง ให้ผู้ที่ฟังนี่ได้เข้าใจว่า ที่เคยคิดเคยเข้าใจเนี่ย ถูกหรือผิดประการใด จะทำตามคำของคนอื่น หรือว่าจะทำตามที่พระพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจให้ศึกษาให้เข้าใจ ทำวัตรแล้วเข้าใจอะไรคะ กับฟังธรรมแล้วเข้าใจต่างกันมั้ย แล้วจะทำอะไร เพราะฉะนั้นตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้ เหมือนได้รู้ เหมือนได้เข้าใจ เหมือนได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตราบใดที่ไม่มีความเข้าใจเกิดขึ้นนะคะ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร แต่ว่าพอเข้าใจเกิดขึ้นรู้เลย บุคคลเดียวที่จะทำให้ทุกบุคคลในโลกนี้ หรือโลกไหนก็ตาม เทวโลก พรหมโลก สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ตามความเป็นจริงได้ ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมทีละคำ ดีกว่าหลายๆ คำ แล้วไม่รู้อะไรเลย ฟังมากี่คำแล้วคะ ที่เคยฟังมาแล้ว กับการได้ศึกษาทีละคำจริงๆ อย่างธรรมนี่ค่ะ สิ่งที่มีจริงทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ภาษาบาลีไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง ภาษามคธี ชาวมคธไม่พูดคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่มีคำว่าธรรม เพราะฉะนั้นคนไทยเนี่ย รับคำภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาบาลี ปาละ นะคะ ดำรงพระศาสนาไว้ แต่ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจเลย คิดเองเหมือนเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ใช้คำ พูดในชีวิตประจำวันเนี่ยผิดๆ ทุกอย่าง แม้แต่ธรรมไม่รู้เลย ไปหาธรรมกันรึเปล่าคะ มีใครเคยไปหาธรรมมั้ยคะ คนที่ไม่ไปก็มี คนที่มีก็มี เท่าที่ทราบมีท่านผู้หนึ่งค่ะไปหาเหนือถึงใต้ ตะวันออกถึงตะวันตก เจอธรรมมั้ยถ้าไปหา เพราะขณะนี้เป็นธรรมทุกขณะ ทำไมไม่พบล่ะคะ เพราะไม่รู้ ทั้งๆ ที่เป็นธรรมก็ไม่รู้ แต่ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรม จะไปหาที่ไหนไหมคะ มีแล้วเดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อฟังแล้วเข้าใจ
เพราะฉะนั้นเลิกคิดที่จะมีคำที่ไม่รู้จักเยอะๆ แต่ว่าเข้าใจแต่ละคำที่ได้ยิน โดยถ่องแท้ละเอียดขึ้น อย่างธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าเรา คนสนทนากับเพื่อนฝูงมิตรสหายนะคะ สนทนากันว่าธรรมคืออะไร ต่างคนก็ต่างตอบ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ธรรมต้องมีจริง มิฉะนั้นจะพูดเรื่องธรรมกันทำไม แต่เมื่อไม่รู้ว่าเป็นธรรมนะคะ ก็โน่นเป็นธรรม นี่เป็นธรรม แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงคือเห็นนี่แหละเป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม มั่นคงหรือยังคะ ในคำเดียว ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะเปลี่ยนไม่ได้เลย จึงเป็นธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ไม่ใช่ของใครด้วย สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วเมื่อกี้นี้ เช่นได้ยินเมื่อกี้เนี่ย หมดแล้วใช่ไหมคะ แล้วเราอยู่ที่ไหน ถ้าเมื่อกี้คิดว่าเป็นเราที่ได้ยิน ไม่เหลือเลย ไม่เหลือเลยทุกขณะ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะกล่าวได้ ว่าเป็นเรา แต่ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นมั่นใจมั่นคง ในความเห็นถูกต้อง ว่าทุกอย่างที่มีจริงนี่เป็นธรรมหรือยัง ถ้าไม่เปลี่ยนนะคะ แต่ละคำเนี่ย จะค่อยๆ เป็นสัจจญาณ ไม่หลงไปทำอย่างอื่น ไม่หลงไปฟังคำของคนอื่น ซึ่งบอกให้ทำ แต่ว่าไม่ได้ให้เข้าใจธรรม เพราะคนนั้นต้องไม่รู้จักธรรมแน่นอน ถ้ารู้จักธรรม ก็ต้องให้เข้าใจธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ ตามคำที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว
เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมทีละคำนะคะ เมื่อกี้ไปถึงคำว่าขันธ์เป็นภาระ ขันธ์ก็ไม่รู้ ภาระก็ไม่รู้ แต่อยากจะเข้าใจเพียงว่า ขันธ์เป็นภาระอย่างไร ทั้งๆ ที่ทำอะไรมาที่คิดว่าเป็นกุศลนี่มากมาย เข้าใจธรรมเป็นกุศลหรือเปล่า ค่ะ เพราะว่าอกุศลไม่เข้าใจใช่มั้ยคะ อวิชชาความไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีไหมคะ ความไม่รู้ มีเพราะเหตุว่าเห็นก็มี แต่ไม่รู้ความจริงของเห็น เพราะฉะนั้นทั้งวันเนี่ย ไม่รู้จักธรรมแค่ไหน เพียงแต่มีโอกาสได้ฟังเมื่อไหร่นะคะ ค่อยๆ พิจารณาค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นตอนนี้ อยากจะรู้จักภาระของขันธ์ หรือจะเข้าใจธรรมทีละคำ ถ้าไม่ใช่ผู้ตรงนะคะ จะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย คำนี้มีอยู่ในพระไตรปิฏก เพราะปัญญาตรง ธรรมตรง ความเห็นถูกตรง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องบังคับค่ะ ฟังแล้วไตร่ตรองเลย ณ บัดนี้จะเป็นผู้ที่ฟังธรรม เพื่อเข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง ไม่ใช่คำของคนอื่น ไม่ใช่ได้ยินคำว่าขันธ์เป็นภาระจากใคร เขาบอกหรือเปล่าว่าขันธ์คืออะไร ถ้าไม่รู้จักขันธ์ แล้วจะรู้จักภาระของขันธ์หรือ ไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยนะคะเพราะฉะนั้นก่อนอื่น ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุ และผลตรง เหตุเป็นเหตุ ผลเป็นผล เหตุไม่ดีนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี เหตุที่ดีก็นำมาซึ่งผลที่ดี ผลที่ดีมาจากไหน ก็ต้องมาจากเหตุที่ดี ผลที่ไม่ดีทุกวันเนี้ยเห็นไม่ดี อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ดี มาจากไหน ก็ต้องมาจากเหตุที่ไม่ดี มีใครช่วยไหมคะ ไปกราบไหว้ขอร้องยังไง ปล่อยนกกี่ตัว จะพ้นจากภาวะที่ได้กระทำแล้ว ที่เป็นเหตุให้เกิดได้ไหม
เนี่ยค่ะ การศึกษาธรรมทีละคำ อย่าคิดว่าจะอยากรู้คำนั้นหรือคำนี้นะคะ ลองคิดไตร่ตรอง จะศึกษาธรรมทีละคำให้เข้าใจขึ้น หรือว่าอยากจะได้แต่เพียงคำตอบ ที่อยากจะเข้าใจ อยากจะรู้ คิดใหม่ ตรึกตรอง ถ้ายังไม่รู้จักขันธ์ แล้วจะรู้ว่าขันธ์เป็นภาระอย่างไร เพราะฉะนั้นรู้จักขันธ์เสียก่อนดีมั้ยคะ ต้องรู้จักขันธ์ก่อน แต่ถ้าไม่รู้ว่าขันธ์เป็นธรรม ขันธ์ก็เป็นเรา ทุกอย่างก็เป็นเรา เพราะฉะนั้นฟังธรรมได้ยินคำว่าขันธ์ ขันธ์เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น นี่ค่ะคือความเข้าใจของเราเองทั้งหมดนะคะ ทุกข์เป็นธรรมหรือเปล่า สุขเป็นธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่เราใช่มั้ยคะ ทุกข์สุขเป็นภาระหรือเปล่า เห็นไหมคะ ถ้าไม่ฟังให้ละเอียดจริงๆ นี่ค่ะ ไม่มีความเข้าใจ แม้คำนั้น แล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ ที่คำของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย จะค่อยๆ นำไปสู่ความจริง คือการเห็นว่าไม่มีเรา เห็นเมื่อกี้นี้ดับแล้วไม่ใช่เรา หมดแล้วไม่เหลือเลย ได้ยินเมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไหร่แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย จะเห็นโทษของการที่เห็นแล้วก็ดับ ได้ยินแล้วก็ดับ โกรธแล้วก็ดับ สุขแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเห็นทำไม ได้ยินทำไม จากไม่มีได้ยินก็เกิดได้ยิน และได้ยินก็ไม่เหลือ แล้วได้ยินทำไม กว่าแต่ละคำเนี่ยจะค่อยๆ ไปถึงใจ ด้วยความที่มั่นคง จนกระทั่งแม้เดี๋ยวนี้นะคะ ก็เห็นภาระของขันธ์ แต่ว่าถ้าได้ไม่กล่าวถึงธรรมนี่จะไม่รู้จักเลย และก็ไม่ใช่ว่าจากธรรม มาข้ามเป็นภาระของขันธ์ แต่ ขันธ์เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นธรรมอะไร เห็นไหมคะ ไม่พอเลยค่ะ แค่มีคำตอบว่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า ขันธ์เป็นธรรมหรือเปล่า ตอบได้ว่าขันธ์เป็นธรรม แค่นี้ไม่ใช่เป็นที่น่าพอใจ ต้องเข้าใจมากกว่านั้นอีก ขันธ์เป็นธรรม ธรรมอะไรเป็นขันธ์ ธรรมหลากหลายมาก ธรรมอะไรเป็นขันธ์ ถ้าไม่ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้นะคะ ก็จะมีการข้ามไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็คือไม่รู้อะไร
ผู้ฟัง ถ้าตอบก็คือเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขันธ์เป็นธรรมอะไร ไม่ศึกษาโดยละเอียด จะรู้ไหมว่าเราไม่ได้เกิดปัญญา มากกว่านั้นเลย แค่ได้ยินคำเดียวทุกอย่างเป็นธรรมไม่พอ
ผู้ฟัง ถ้าคิดอ่ะนะคะ น่าจะเป็นรูปกับนาม
ท่านอาจารย์ รูปคืออะไร
ผู้ฟัง รูปคือสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย
ท่านอาจารย์ แล้วมีจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริงค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ รูปอะไรมีจริง
ผู้ฟัง ตอนนี้มีสี
ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริงนะคะ เป็นขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรจึงเป็นขันธ์
ผู้ฟัง เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ แต่สิ่งที่มีจริงมีเยอะมากเลย แล้วทำไมว่าเป็นขันธ์ เห็นไหมคะ เหมือนรู้ครึ่งหนึ่ง ยังไม่หมด เพราะยังตอบไม่ได้ ตอบได้นะคะ ที่ตอบมาเนี่ยแต่ว่าตอบจากความคิดเล็กๆ น้อยๆ ครึ่งเดียว ถ้าเข้าใจหมดตอบได้เลยทันที เพราะอะไรจึงว่าเป็นขันธ์ ต้องมีคำตอบค่ะ เพราะมีจริงจริง แต่ว่ารู้นิดเดียว ถ้ารู้มากกว่านี้ตอบได้แน่ นี่คือการฟังโดยข้าม แต่ถ้าฟังธรรม รู้จักธรรม ต้องรู้ว่าขณะนี้ที่ว่าเป็นขันธ์นี่ เพราะอะไรจึงว่าเป็นขันธ์
ผู้ฟัง ขอกราบเรียนอนุญาตให้อธิบายคำว่าขันธ์ ทำไมถึงว่าเป็นขันธ์ ขันธ์คืออะไร ขอคำอธิบายค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าเท่าที่ได้ฟังนั้น เพียงแค่ได้ยินว่า สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าขันธ์ ก็ตอบตามที่ได้ฟังว่า เมื่อสิ่งนี้มีจริงก็ต้องเป็นธรรมด้วย ขันธ์มีจริงๆ เช่นเมื่อกี้นี้บอก ใช่ไหมคะ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งที่มีจริงก็เป็นธรรม แต่ถ้าถามต่อไปว่า แล้วธรรมอะไรเป็นขันธ์ ก็ตอบได้อีก แต่ถ้าถามว่าเพราะอะไรจึงเป็นขันธ์ มีผู้ขอร้องให้วิทยากรช่วย แสดงให้เห็นว่า ต้องศึกษาโดยละเอียดค่ะไม่อย่างนั้น เราก็ต้องไม่มีการที่จะศึกษา ใครๆ ก็อ่านไป อ่านไป คิดไป ผิดก็มี ถูกก็มี แต่ถ้าเป็นความจริงตรง ถูกค่ะ และก็ละเอียดขึ้นด้วย
อ.ธิดารัตน์ ซึ่งคำว่าขันธ์เนี่ยนะคะ ก็เหมือนกับท่านแสดงเป็นกอง หรือว่าเป็นส่วนจำแนก โดย ๕ เพราะว่านามธรรม รูปธรรมเนี่ยนะคะ เป็นการกล่าวโดยรวม รูปก็เป็นขันธ์ ๑ นะคะ ซึ่งชื่อว่ารูปขันธ์ รูปทั้งหมดเนี่ยนะคะ เป็นส่วนของรูปขันธ์ทั้งหมดนะคะ ไม่ว่าจะเป็นรูปใดก็ตามทั้ง ๒๘ รูป ส่วนนามธรรมเนี่ยนะคะ เป็นขันธ์ ๔ ขันธ์ จิตทุกประเภทเลย เป็นวิญญาณขันธ์นะคะ ส่วนเจตสิกเป็น ๓ ขันธ์ ความรู้สึกเนี่ยเป็นขันธ์ ๑ ก็คือเวทนาขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีใจ เสียใจ เจ็บ หรือว่าสบายๆ กายนี่นะคะ เพราะมีทั้งสุขกายกับทุกข์กาย แล้วก็มีความรู้สึกเฉยๆ ด้วยนะคะ แล้วความรู้สึกดีใจ ความรู้สึกเสียใจเป็นขันธ์ ๑ ซึ่งใช้คำว่าเวทนาขันธ์ ส่วนสัญญาเนี่ยนะคะ คือความจำ ถ้าเราไม่มีความจำ ที่เกิดกับจิตทุกดวงนี่นะคะ เราไม่สามารถจะคิดถึงสิ่งที่เราเคยเห็น หรือว่าเสียงที่เคยได้ยินได้เลย แต่เพราะจิตทุกประเภทนี่นะคะ ไม่ว่าจะเป็นจิตเห็นจิตได้ยิน มีสัญญาซึ่งเกิดขึ้นนะคะ จำสี จำเสียง จำกลิ่นทุกอย่างเป็นขันธ์ ๑ ซึ่งเป็นสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ในที่นี้ก็หมายถึงว่า เป็นเจตสิกที่ปรุงแต่งจิต ก็มีทั้งเจตสิกที่เป็นฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี เพราะโลภะ โทสะ โมหะเนี่ยนะคะ เป็นสังขารขันธ์ เกิดขึ้นก็ปรุงแต่งจิตให้เป็นอกุศลจิต ถ้าเป็นเจตสิกฝ่ายดีนะคะ อย่างเช่นศรัทธานะคะ หรือว่าสติ เหล่านี้นะคะ ก็เกิดกับจิตฝ่ายดี
ผู้ฟัง ขันธ์เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ แสดงว่าเกิดดับแล้ว ทั้งที่เกิดดับ เกิดแล้วก็หมดไปหมดไป แต่เราเอาตัวนั้นมาทั้งหมด ทั้งเจตสิกต่างๆ เนี่ย มาเป็นตัวตนหมดเลย โดยที่เราไม่รู้เท่าทัน แล้วทำยังไงคะ ไม่รู้เท่าทันจริงๆ เลยค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถามว่าทำยังไงใช่มั้ยคะ เพราะว่าเราไปคิดเกิน กว่าที่เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมเป็นอะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ขณะนี้กำลังเห็นนะคะ เห็นแล้วใช่ไหมคะ ไปทำให้เห็นเกิดรึเปล่า แล้วจะไปทำให้ปัญญาเกิดได้ไหม ขณะนี้ได้ยินแล้ว ใครไปทำให้ได้ยินเกิดรึเปล่า หรือได้ยินเกิดแล้วค่ะ ไม่มีใครไปทำเลย เกิดแล้วเห็นก็เกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ได้ยินก็เกิดแล้ว นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปทำอะไรเลย ก็เห็นเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นคำถามว่า จะทำยังไง ลองคิดใหม่ มีเรารึเปล่าที่จะทำ แล้วใครล่ะคะที่คิดจะทำ ขณะนั้นไม่เข้าใจธรรมมั่นคง ฟังแล้วว่าเป็นธรรมนะคะ ก็กลับเป็นเราจะทำยังไง แต่ถ้าฟังตั้งแต่ต้นนะคะ ไม่มีใครทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น ขณะนี้กำลังเห็น อยากจะเข้าใจเห็นให้ถูกต้อง ไม่อยากจะไม่รู้ไม่เห็น ไม่เข้าใจเลยว่าเห็นเนี่ยเกิดดับ ไม่อยากจะให้เป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้ไม่รู้อย่างนั้น แต่ทำได้มั้ยไม่ให้รู้ อย่างที่ได้ฟัง ทำไม่ได้ใช่ไหมคะ แล้วทำไมถามว่าทำยังไง เห็นไหมคะ ว่ากว่าปัญญาจะค่อยๆ มั่นคงในทีละคำ ธรรมนี่ค่ะ ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่มีการเราทำ หรือใครทำ
เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสว่าให้ใครทำ แต่เข้าใจให้ถูกต้องว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำใดที่ฟังแล้วเข้าใจแล้ว ลืมได้มั้ย แต่ก็ลืม เพราะไม่มั่นคง แต่ถ้ามั่นคงคือฟังธรรมแล้วนะคะ กำลังเข้าใจ เดี๋ยวก็เป็นอกุศลละ บังคับบัญชาได้ไหม ก็เป็นธรรมดา ธรรมดามาจากคำภาษาบาลี ธรรมตา หมายความว่าความเป็นไปของธรรม ก็เป็นอย่างนี้แหละ ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับไป แล้วจะไปบังคับให้เฉพาะธรรมดีๆ เท่านั้นเกิด ไม่ให้ธรรมที่ไม่ดีเกิด นี่เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้เลยนะคะ แต่ปัญญาที่เห็นถูกนั่นแหละ จะค่อยๆ เข้าใจประโยชน์อย่างแท้จริง ว่าไม่มีใครทำ แต่จะเข้าใจขึ้นด้วยการฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี่คือปัญญา เพราะฉะนั้นไม่มีเราไปทำนะคะ แต่ว่าปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ประเสริฐสุด ในบรรดาธรรมที่เกิดขึ้น ทุกคำต้องชัดเจน มีอะไรยิ่งกว่าปัญญา ดีกว่าปัญญาไหมคะ ความไม่รู้ทั้งหลาย ความคิดทั้งหลาย แม้แต่คิดว่าจะทำยังไงก็ผิดแล้ว เพราะไม่ใช่ปัญญา แต่ถ้าเป็นปัญญานะคะ ฟังแล้วเข้าใจความเข้าใจนั้นแหละ เริ่มเห็นประโยชน์ว่า เพราะเข้าใจว่าไม่มีเรา แล้วก็ถ้าฟังต่อไปก็จะเข้าใจ ความไม่ใช่เรามากขึ้น ไม่มีการคิดว่าจะทำยังไง เพราะว่าทุกอย่างเกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้นกว่าปัญญา จะได้ทำหน้าที่ของปัญญาเพิ่มขึ้น ปัญญามีน้อยนะคะ แต่กำลังของความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเราเนี่ยมีมาก เพราะฉะนั้นเพียงฟังเท่านี้ ก็เกิดความต้องการโลภะ และความเป็นเรา คิดว่าแล้วจะทำยังไง เนี่ยค่ะตรงนั้นปัญญาไม่เกิด ปิดกั้นปัญญาเกิดไม่ได้ และกว่าปัญญาจะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ สะสม ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งสามารถนำไปในกิจทั้งปวง กิจทั้งปวงนี้คือกุศลทั้งหมดเลย ไม่ใช่แต่เฉพาะการฟังธรรม เพราะว่าฟังธรรม แม้เข้าใจอย่างนี้นะคะ เดี๋ยวก็โกรธล่ะ เดี๋ยวก็โลภะล่ะ เดี๋ยวก็อะไรตั้งหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตั้งแต่ต้นจนถึงความเป็นพระอรหันต์ ถ้าอยู่ในความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ถ้าเริ่มเป็นเราเมื่อไหร่นะคะ ก็คือลืมละ ฟังแล้วแต่ไม่มั่นคง ยังไม่ถึงความเป็นสัจจญาณ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยละเอียดนะคะ ที่ว่า ต่อไปนี้จะมีความคิดมั้ย แล้วจะทำยังไง จะคิดอย่างนี้อีกไหมคะ เพราะเข้าใจขึ้นก็ไม่คิด
เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ขอให้เป็นแต่ละคำจริงๆ นะคะ ขอย้อนไปถึง ขันธ์เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น แล้วขันธ์เป็นธรรมอะไร คำตอบอยู่ที่พูดมาแล้วทั้งหมดเลย ถ้าเป็นหนังสือเล่มหนึ่งนะคะ ก็อยู่ในหนังสือที่เขียนแล้ว แต่ทำไมถาม เพื่อทบทวนว่าความเข้าใจจากการฟัง และการอ่าน ไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจแค่ไหน ตัวหนังสือตั้งกี่ตัวร้อยตัวพันตัว แต่ความเข้าใจจากตัวหนังสือทั้งหมด เนี่ยแค่ไหน ฟังเมื่อกี้นี้ก็หลายคำใช่ไหมคะ แล้วก็ความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ นี่ จากการที่ได้ฟังแล้วอยู่ที่ไหน เช่นถามว่า ขันธ์เป็นธรรมอะไร เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าขันธ์ ได้ยินคำว่าธรรม เข้าใจความหมายของธรรมแล้วใช่ไหมคะ สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปคิดว่า ขันธ์เป็นภาระ หรืออะไรต่างๆ นะคะ หรือว่าขันธ์ได้แก่ธรรมอะไร จนกว่าจะรู้ว่า แล้วขันธ์คืออะไร ได้ยินคำว่าธรรมเข้าใจละ ได้ยินคำว่าขันธ์ เพราะฉะนั้นขันธ์คืออะไร ทำไมมีธรรมแล้วมีขันธ์ด้วย
อ.คำปั่น คำว่าขันธ์นะครับ ภาษาบาลีก็ออกเสียงขันดะ ซึ่งก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า จากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็คือกล่าวหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ เป็นขันธ์
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900