ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
ตอนที่ ๘๔๕
สนทนาธรรม ที่ ภูพานเพลส จ.สกลนคร
วันที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
อ..วิชัย ธรรมเป็นสิ่งที่ยาก การที่จะรู้จริงๆ ต้องมีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ทุกท่านเคารพใครที่สุด ต้องรู้ไม่มีใคร จะมีพระคุณเท่ากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่แต่เฉพาะมนุษย์ ทั้งโลก สากลโลก จักรวาล ทั้งเทวดา พรหมทั้งหมด คิดดูใครจะยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่มีปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นเลย แค่นี้ก็นึกไม่ออกว่า พระปัญญาจะมากมายสักแค่ไหน แต่ก็มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำว่า"พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า " การศึกษาธรรมไม่ใช่ฟังให้ ไม่รู้ แล้วง่วง แล้วเบื่อ แต่ว่าจะเข้าใจได้จริงๆ ว่าตั้งแต่เกิดจนตายถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะพูดคำที่ไม่รู้จัก แม้แต่คำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าพระอรหันต์ สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ทรงดับกิเลสหมดสิ้นไม่เหลือเลย แล้วก็ด้วยพระองค์เอง จากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งซึ่งไม่เคยรู้ความจริงมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นเราจะเกิดมาแล้วกี่ชาติ จนกระทั่งถึงชาตินี้เรารู้ความจริงอะไรบ้าง เพียงแค่คำว่าความจริง และสิ่งที่มีจริงก็ยาก ซึ่งใครจะคิดว่าความจริง ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ แหละจริง ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้จะมีอะไรจริง ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แล้วใครรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ถ้าจะพูด พูดเรื่องอื่นหมดเลยไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งโลกหรือธรรม แต่ละคำที่ได้ยิน ก็ไม่ได้กลับมาถึงขณะนี้ที่กำลังเป็นจริงอย่างที่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ต้องรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองแน่นอนนอกจากได้ฟังพระธรรม และพระธรรมที่ทรงแสดงไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน เดี๋ยวนี้กำลังมี เพราะฉะนั้นการที่จะสามารถเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ได้เริ่มเข้าใจถูกว่าตั้งแต่เกิดจนตายไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ที่ทรงแสดงไว้ด้วยพระมหากรุณา เพราะเหตุว่าหนทางที่จะดับกิเลส ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แม้แต่ แต่ละคำ คำว่ากิเลส คำว่าอรหันต์ คำว่าดับกิเลส ทั้งหมดไม่ใช่เพียงคำที่ฟังแล้วผ่านหูไป แต่เป็นสาระประโยชน์อย่างยิ่งของชีวิต ที่จะได้เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า การที่มีโอกาสได้ฟังความจริงเป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่า จะติดตามสะสม สืบต่อ เมื่อได้ยินแต่ละคำ ไม่เผิน และรู้ได้ว่าคนที่พูดรู้จริงๆ หรือเปล่า เข้าใจจริงๆ รึเปล่า เช่น กล่าวถึงพระรัตนตรัย รัตนะสูงสุด ไม่มีสิ่งใดที่จะมีค่าเท่า พระรัตนตรัย คือไม่มีใครที่จะเปรียบเสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระปัญญาคุณ ซึ่งทำให้ทรงดับกิเลส ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ รู้ว่าคนอื่นไม่สามารถที่จะดับกิเลสซึ่งมีมาก ยากแสนยากที่จะดับได้ แต่ก็มีหนทางที่จะดับกิเลสได้
เพราะฉะนั้นบุคคลผู้นั้นก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรมไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระธรรม กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งตั้งแต่เริ่มฟังก็เริ่มเข้าใจว่าจริงไหม ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้ผู้ที่ฟัง ได้ไตร่ตรอง เป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกของบุคคลที่ฟังว่าจริงไหม ถูกต้องไหม ขณะใดที่รู้ว่าจริง และถูกต้องขณะนั้นคือ สัมมาทิฏฐิ ในภาษาบาลีหมายความว่าความเห็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงตามความเป็นจริง คือคำที่เราได้ยินบ่อยๆ "ปัญญา " เพราะฉะนั้นแต่ละคำเคยได้ยินถึงนั้นเลย อย่างปัญญา คืออะไร และปัญญารู้อะไร คำตอบมีไหม ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ก็เหมือนการศึกษาทุกวิชา ต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจคำที่ได้ฟัง อย่างรอบรู้อย่างมั่นคง ก็ไม่เข้าใจชัดเจน แล้วก็พอไปพบที่อื่น ก็จะเกิดความสงสัยในแต่ละคำ ซึ่งความจริงทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เริ่มต้นด้วยคำว่า"ธรรม "กำลังฟังคำนี้เพื่อที่จะได้สนทนาธรรม ถ้าไม่รู้จักธรรม จะสนทนากันเรื่องอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรใช่ไหมแต่ถ้ากล่าวว่าสนทนาธรรม ทุกคำต้องเข้าใจ มิฉะนั้นจะเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจเพียงแต่ฟัง แล้วก็เผิน เผิน แล้วก็จำ แล้วก็คิด โดยที่ว่าต่างคนต่างคิด เพราะฉะนั้นต่างคนต่างคิดจะถูกได้ไหม แต่ผู้ที่ตรัสคำ ที่ไม่ว่าใครก็ตาม ได้ฟังแล้วเป็นความจริงซึ่งค่อยๆ ไตร่ตรอง
เพราะฉะนั้นสนทนาธรรม ก็คือว่าเพื่อเข้าใจคำว่าธรรม มิเช่นนั้นแล้วไม่รู้สนทนากันเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงก็คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ไม่ว่าขณะไหน สิ่งที่มีจริงๆ นั่นแหละเป็นธรรม แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละ หนึ่ง นี่คือสิ่งซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ เช่น ขณะนี้เราเห็นดอกไม้ปกติธรรมดาใช่ไหม เห็นดอกไม้ เห็นมีจริงไหม เห็นไหม เห็นมีจริงเห็นนั่นแหละเป็นธรรม แล้วใครรู้บ้าง ว่าเห็นคืออะไร เพราะว่าแต่ก่อนนี้ที่ไม่เคยฟังธรรม ก็เราเห็นดอกไม้ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรม ความจริงของทุกอย่าง แม้แต่คำว่าเห็น เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เห็น เริ่มรู้ว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้แล้วถ้าไม่มีโอกาสได้ฟัง จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถึงจุดประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริงให้คนอื่นรู้ด้วย เพื่อจะดับกิเลส ขณะนี้ใครรู้บ้าง ว่าเพียงรู้ว่าเห็นมีจริง ก็เป็นหนทางที่จะดับกิเลส เพราะเหตุว่า กิเลสคือไม่รู้ และเมื่อมีความไม่รู้ความจริง ก็ติดข้อง ก็เป็นกิเลสต่อไป และเมื่อมีความติดข้องแล้ว ก็แล้วแต่ว่าจะมีความสำคัญยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่เที่ยง ในเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ว่าสิ่งหนึ่ง สิ่งใดก็ตาม ที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แค่นี้ฟังทีละคำ สิ่งหนึ่ง สิ่งใดไม่ได้บอกเลย แต่หมายความว่าทุกอย่างหมด เพราะกล่าวว่าสิ่งหนึ่ง ต้องไม่ปนกับอีกสิ่งหนึ่ง เช่น เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่จำ ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ แต่ละหนึ่ง ที่มีจริงๆ เป็นธรรม ไตร่ตรอง คิดดูเพื่อจะได้เข้าใจ ต่อไปอีกว่าที่เราเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นโต๊ะ เป็นคนนั้น คนนี้ เป็นเรื่องราวต่างๆ ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้น จะมีอะไรปรากฏไหม ไม่มีแน่นอน แต่ขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นมีเมื่อไหร่ เมื่อจิตเกิดขึ้นเห็น ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่มีใครจะไปทำให้มีขึ้นบ้างไหม ถ้าจิตไม่เห็น ก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นต้องรู้ความจริงว่าในขณะที่เห็น มีจริงๆ เป็นธรรม มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น ใครก็ไม่สามารถจะไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย ใครสามารถฟังธรรม ต้องไตร่ตรอง และก็คิด ถ้าไม่มีตา ไม่มีจักขุปสาทรูป รูปซึ่งใครก็มองไม่เห็น แต่รูปนี้มีแน่นอน อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ข้างหลัง ไม่ได้อยู่ที่แขน ไม่ได้อยู่ที่เท้า แต่อยู่ที่กลางตา แต่ไม่มีใครเห็น เพราะเหตุว่า เป็นรูปที่สามารถกระทบ กับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ กระทบหูไม่ได้ กระทบจมูกไม่ได้ มีจริงๆ แต่ต้องกระทบกับตาซึ่งเป็นรูปพิเศษ ภาษาบาลีจะใช้คำว่า จักขุคือตา ปสาทรูป หมายความว่ารูปพิเศษ เย็นร้อน อ่อนแข็ง เป็นรูปที่เกิดขึ้น แล้วก็กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ เพียงไม่มีรูป รูปนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏไม่ได้เลย เช่นเดียวกับเสียง กำลังได้ยินเสียง เสียงมีจริง สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่ถ้าไม่มีได้ยิน จะมีใครรู้เสียงไหม จะมีใครบอกว่ามีเสียง เงียบหมด ไม่มีได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏว่ามี แต่เพราะเสียงมีแน่นอน แต่ต้องกระทบกับหู ภาษาบาลีใช้คำว่าโสต (หู) ปสาทรูป รูปซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง เสียงไปกระทบตาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ จะให้จิตได้ยินเกิดขึ้นที่ตาก็ไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเสียงนั้นกระทบกับรูป ที่เราจะใช้คำว่าหู ก็มองไม่เห็นอีก เหมือนกับมองไม่เห็น จักขุปสาท โสตปสาท รูปทั้งหมด เย็นร้อน อ่อนแข็ง หวาน เค็ม เปรี้ยว พวกนี้มองไม่เห็น มีรูปเดียวเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้ารูปนี้ไม่มี โลกเห็น เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ รูปร่างสัณฐานต่างๆ ผิวพรรณต่างๆ สูงต่ำต่างๆ ก็มีไม่ได้เลย แต่เพราะว่ารูปคือสิ่งที่มี เราใช้คำว่าสิ่งที่มีก็ได้ เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏก็ต้องรู้ว่ามีใช่ไหม
เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยิน มีเสียงกับสภาพที่ได้ยิน เสียงไม่ใช่ได้ยินได้ยินก็ไม่ใช่เสียง แต่เสียงเป็นเสียง ได้ยินเป็นได้ยิน ถ้าไม่มีโสตปสาทที่จะกระทบกับเสียง ธาตุรู้คือจิต จะเกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่ได้ทั้งหมดเป็นธรรม แต่เราก็ไม่เคยฟังธรรม ที่จะเข้าใจในความเป็นธรรมว่าไม่ใช่เรา แต่พระธรรมที่ทรงแสดงแต่ละคำ ต้องเป็นความจริง พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา คำว่าอนัตตาก็ตรงกันข้ามกับคำว่าอัตตา อัตตาหมายความว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เช่น ดอกกุหลาบ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โต๊ะเป็นโต๊ะ เก้าอี้เป็นเก้าอี้ ดอกไม้เป็นดอกไม้ แต่ความจริงแล้ว เห็นเป็นเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แข็งเป็นแข็ง แต่ว่ามีสภาพที่เกิดขึ้นกำลังรู้แข็งเดี๋ยวนี้มีใช่ไหม ทุกคนรู้แข็ง ตรงที่แข็งปรากฏ แข็งมีจริง สภาพรู้แข็งมีจริง ทั้ง ๒ อย่างเป็นอนัตตา คือไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษามากกว่านี้มาก เป็นความละเอียดอย่างยิ่ง เป็นความจริงที่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ ทุกขณะที่ได้ฟังแล้วไตร่ตรอง นี้เป็นพระมหากรุณา ที่ให้ผู้ฟังมีปัญญาของตนเอง อะไรจะประเสริฐกว่าปัญญาความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง มีรูปร่างสวยงาม มีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ มีบริวารแล้วก็ต้องจากไป ของเราจริงๆ หรือเปล่า และถ้ามีเราก็ต้องไม่ตายก็ยังคงเป็นเราอยู่ แต่นี่เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา
ความจริงการที่พูดถึงธรรม ตอนนี้ก็ไกลจากคำเริ่มต้น แต่ก็เพราะเหตุว่า มีสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ซึ่งพอที่จะฟังเข้าใจได้ก่อน แต่ว่าความละเอียดลึกซึ้งยังมีมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นให้รู้จักคำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมคือฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง สนทนาธรรมก็สนทนาสิ่งที่มีจริง ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ให้แต่ละคนได้ประโยชน์สูงสุดในการที่มีเวลาฟังธรรม ไม่ว่าจะกี่นาทีกี่ชั่วโมงก็ตามประโยชน์จริงๆ คือเข้าใจ มิเช่นนั้นจะเสียดายเวลามากเลย ได้ยินได้ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ซึ่งธรรมสามารถที่จะเข้าใจได้จากการสนทนา
เพราะฉะนั้นไม่ทราบว่าตอนนี้ คำว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันแล้วก็มีอยู่ทุกขณะด้วย โลกไม่ว่าง เพราะว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยที่โลกไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เกิดแล้วดับทันที แล้วก็เกิดอีกสืบต่อทันที ไม่ว่างเว้นจนกระทั่งปรากฏเป็นโลก ซึ่งมีคนมากมาย มีดาว มีทะเล มีภูเขา มีคนมีสัตว์ต่างๆ ซึ่งถ้าไม่มีการเกิดขึ้นเลยอะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี่แหละ เป็นอะไรกันแน่เกิดขึ้นได้อย่างไร และก็เป็นอย่างที่เข้าใจหรือเปล่า ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นที่จะต้องเข้าใจเป็นคำแรกอย่างมั่นคง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แล้วขณะนี้อะไรมีจริง ต้องแต่ละหนึ่งด้วย คนมีจริงไหม นั่งกันอยู่อย่างนี้ คนมีจริงไหม ถ้าจะกล่าวว่าคนมี ไม่เห็น มีคนไหม หลับตาแล้ว มีคนไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นที่มีก็คือเห็น กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพียงแค่หลับตาสิ่งที่ปรากฏก็ปรากฏไม่ได้ ใครจะไปทำให้ปรากฏไม่ได้ แต่พอลืมตาแล้ว สีสันต่างๆ มากมาย มีห้อง มีม่าน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ ทำไมมากอย่างนี้ แค่หลับตาหายไปไหนหมด ถ้าไม่รู้ความจริงของแต่ละหนึ่งขณะ ว่าขณะใดก็ตามที่เห็นต้องมี่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ถ้าเห็นดับไปแล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจะยังคงปรากฏให้เห็นไม่ได้ เหมือนเสียง ขณะที่ได้ยินต้องมีเสียง พอไม่ได้ยินเสียงจะมีได้ไหม ไม่ได้ หรือเสียงที่ปรากฏได้ เพราะมีธาตุที่กำลังได้ยินเสียงนั้นคือจิตได้ยินเกิดขึ้น จึงรู้ว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เสียงอื่น
ก่อนที่เราจะเข้ามาฟังธรรมในห้องนี้ ก็มีเสียงอื่นเยอะแยะ แต่ไม่ใช่เสียงที่จิตได้ยิน กำลังได้ยินเฉพาะแต่ละเสียงแต่ละเสียง ซึ่งการได้ยิน จะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลยหลายหลายเสียง เพราะฉะนั้นจิตได้ยิน หรือจิตใดๆ ทั้งหมดเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป แต่ว่าจิตที่ดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น รวดเร็วสุดจะประมาณได้ ใครเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้เลย แสนโกฎกัลป์ สัตว์โลกคือธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่านี่แหละธรรม เพราะฉะนั้นธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ถ้ามีคนถามว่าเสียงเป็นธรรมไหม ตอบว่าอย่างไร เป็นแน่ๆ มีแน่ๆ โกรธเป็นธรรมไหม ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นบางคนตกใจ คิดว่าธรรมเป็นฝ่ายดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาธรรมโดยละเอียดจริงๆ จะไม่เข้าใจความหมายของธรรมอีกหลายนัย แต่ต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่มีจริง เพราะเหตุว่าถ้าสิ่งนั้นไม่มี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร ไม่มีอะไรจะให้ตรัสรู้ แต่เมื่อมีสิ่งที่มีจริงแล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น พระโพธิสัตว์จึงทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงการที่จะรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ละหนึ่ง ด้วยความเข้าใจความจริงซึ่งทำให้พระองค์สามารถที่จะดับกิเลสได้ ทุกคนมีกิเลสมากไหม ใครคิดว่ามีน้อยกว่าคนอื่นบ้าง
เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความจริง มีกิเลสชนิดซึ่งพอกพูนขึ้นทุกวัน มีชีวิตอยู่แต่ละวัน ก็ไม่รู้ความจริงที่มีแต่ละวัน แล้วก็มีความพอใจบ้างไม่พอใจบ้างในสิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งนั้นสวย สิ่งนี้ไม่ดี สีนั้นไม่ชอบต่างๆ นานา ไม่ใช่ทางเดียว ทางหูอีก เสียงสารพัดเสียง ไม่รู้ความจริงว่าแค่กระทบจิตได้ยิน แล้วก็ดับไป ทั้งจิตได้ยิน และเสียง แล้วก็มีสภาพธรรมอื่น เกิดดับสืบต่อจนไม่รู้ความจริงเหมือนสิ่งนั้นยั่งยืน เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นคน ตาเป็นคนได้ไหม ตาหมายความถึงรูปพิเศษ ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ไม่เรียกชื่ออะไรเลยทั้งสิ้นก็มีใช่ไหม เปลี่ยนชื่อจากภาษาบาลีที่เป็นภาษามคธี ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นชื่ออื่นได้ไหม คนไทยก็บอกว่าเห็น คนอื่นพอได้ยินคนไทยพูดว่าเห็น ก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่คนไทยด้วยกันรู้ว่าพอพูดถึงเห็นหมายความถึงขณะนี้ที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นธรรมจริงๆ ไม่มีชื่อ แต่ว่าถ้าไม่มีชื่อเลยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหมายความถึงทำอะไร เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังทรงตรัสรู้ ไม่มีชื่อธรรมเลย เดี๋ยวนี้เห็นมีชื่อไหม ทุกคนกำลังเห็น ไม่ต้องเรียกว่าเห็น กำลังเห็นไม่ต้องมีชื่อเลย ฉันใดขณะที่ทรงตรัสรู้ประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมที่เห็น ไม่มีชื่อเลย สภาพธรรมทุกอย่างปรากฏให้รู้แล้วต้องเรียกหรือ อย่างได้ยิน กับเสียง เสียงก็เป็นเสียง ได้ยินก็เป็นได้ยิน ได้ยินเสียง แล้วต้องเรียกชื่อไหม กำลังได้ยินว่าได้ยินเสียง ไม่ต้องเรียกเลย แต่ถ้าไม่เรียกจะรู้ไหมว่าหมายความถึงอะไร ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้วเมื่อถึงขณะที่จะทรงแสดงธรรม พระบารมีที่ได้สะสมมาก จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพ ธรรม ก็ทรงเปล่งเสียงซึ่งแสดงถึงความจริงของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นเสียงทุกเสียง เป็นไปตามความหมายของธรรมนั้นๆ ที่มี เช่นพูดว่าเห็น ภาษาไทยก็หมายความถึงกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ และถ้าเป็นภาษาจีนพูดถึงสิ่งที่เห็น คนจีนก็เข้าใจทันทีว่าหมายความถึงกำลังเห็น ไม่ว่าจะชาติใดภาษาใดก็เข้าใจธรรมในภาษาของตนของตน เพราะเหตุว่าแต่ละคำ ในภาษาแต่ละภาษา ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นการที่เราใช้คำว่าธรรม คำนี้เป็นภาษาสากลสำหรับชาวพุทธเพราะว่าชาวพุทธทั้งหมด คนที่ไม่ได้ศึกษาภาษาบาลีก็ต้องอาศัยผู้ที่ศึกษาภาษาบาลีที่สามารถที่จะแปลคำ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่าในภาษาของตนของตนหมายความถึงอะไรที่มีจริงๆ เช่นธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นภาษาอังกฤษจะใช้คำว่าอะไร ภาษาไทยจะใช้คำว่าอะไร เช่นภาษาไทยเราใช้คำว่าสิ่งที่มีจริง แต่ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ถ้าเราไปพูดกับคนที่เขาเป็นอีกภาษาหนึ่ง ใช้ภาษาหนึ่ง บอกสิ่งที่มีจริงเขาจะเข้าใจไหมไม่เข้าใจ แต่ถ้าใช้คำนั้นในภาษาของเขาว่าสิ่งที่มีเขาเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเราก็ใช้ภาษากลางซึ่งเป็นภาษาบาลีซึ่งดำรงพระศาสนา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900