ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ. คำปั่น กล่าวหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้เป็นขันธ์ นี่คือความหมายของขันธ์นะครับ แต่ถ้ากล่าวถึงธรรมนี่ครับ ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจิต เจตสิก รูป แล้วก็นิพพานเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ถ้ากล่าวเฉพาะขันธ์นะครับ ก็หมายถึงเฉพาะธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเท่านั้น เป็นขันธ์ครับ กราบท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เข้าใจคำว่า ธรรมสิ่งที่มีจริง ตอนนี้รู้จักความหมายของคำว่าขันธ์ ตรงกับที่เราพูดทุกอย่างเลยใช่ไหมคะ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป พูดแล้วรึเปล่า ค่ะพูดแล้วไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้นนะคะ เพราะว่างเปล่า จากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะอะไรคะ เกิดแล้วดับแล้ว หมดแล้วไม่เหลือเลย ไปหาที่ไหนอีกในสังสารวัฎฏ์ไม่ได้ แต่ละพระชาติของพระโพธิสัตว์ หรือท่านพระสารีบุตร หรือท่านพระอัครสาวก สาวกทั้งหลายนะคะ ในอดีตกลับมาอีกได้หรือเปล่า แต่ละชาติแต่ละชาติก็หมดไป ไม่มีอะไรที่กลับมาเลย เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงนะคะ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมที่ปรากฏเพราะเกิด ถ้าไม่เกิดไม่ปรากฏ เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

    เพราะฉะนั้น ขันธ์ ขันธะ ขันดะในภาษามคธี ภาษาบาลีนี่นะคะ ก็คือสิ่งที่เรากล่าวแล้วที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทั้งหมด เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปอยู่เรื่อยๆ ว่างเปล่าจากการที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว เสียงเกิดปรากฏดับแล้ว ไปหาอีกในสังสารวัฎฏ์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าขันธ์ ในภาษาไทย ซึ่งมาจากขันดะ ในภาษาบาลีนะคะ ก็คือทุกอย่างที่มีจริงซึ่งเกิดแล้วดับ เพิ่มอีกนิดหนึ่งใช่มั้ยค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงซึ่งเกิด และดับเป็นขันธ์ทั้งหมด เพราะว่างเปล่าไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นเห็นเป็นขันธ์หรือเปล่า ได้ยินเป็นขันธ์หรือเปล่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า ได้ยินเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นธรรมที่เกิดดับทั้งหมดเป็นขันธ์ เว้นนิพพาน มีจริง ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู มีจริงสำหรับผู้ที่อบรมเจริญปัญญานะคะ จนรู้แจ้งสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดดับ เพราะไม่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วจะดับได้อย่างไร เมื่อไม่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นที่ตั้งของความยินดี และความเห็นผิดได้อย่างไร แต่นิพพานจะไม่ปรากฏกับอวิชชาหรือความไม่รู้ ไปแสวงหาสักเท่าไหร่ ไปทำสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย

    เพราะว่าต้องเป็นปัญญาตามลำดับขั้น ปัญญาขั้นฟังนะคะ แค่ธรรมที่กำลังปรากฏ กว่าจะรู้ว่าเกิดดับ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไปเป็นอนัตตา แล้วก็เป็นแต่ละขันธ์ ขันธ์คือแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นเห็น ๑ ขณะ เดี๋ยวนี้ที่เกิดขึ้น และดับไป เป็นขันธ์หรือเปล่าคะ เป็นขันธ์ ได้ยิน ๑ได้ยินเกิดขึ้น และดับไปเป็นขันธ์หรือเปล่า นับขันธ์ถ้วนมั้ยคะเนี่ย ไม่มีทางเลยค่ะ แสนโกฏกัปป์มาแล้วแม้วันนี้เดี๋ยวนี้ก็นับไม่ถ้วน จะนับยังไง เพราะฉะนั้นจึงทรงประมวลธรรมเป็นประเภท แสดงนัยโดยประการต่างๆ เพื่ออะไรคะ เพื่อให้เห็น และให้เข้าใจตามความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้นะคะ ต่อไปนี้มีใครไม่รู้จักขันธ์มั้ยค่ะ เป็นธรรมแน่ๆ แต่ว่าเป็นธรรมที่เกิดดับไม่กลับมาอีกเลย มั่นคงหรือยัง การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ นะคะและมั่นคงไม่ใช่ชาตินี้ค่ะ มั่นคงถึงชาติต่อๆ ไปด้วย เพราะว่าไม่ได้สงสัย ไม่ได้จำแต่สิ่งซึ่อ ไม่มี มีแต่คำเยอะๆ แต่ละคำเนี่ยสามารถที่เข้าถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ได้ ต้องมีจริงเดี๋ยวนี้จึงจะชื่อว่าศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาธรรมในหนังสือนะคะ จิตมีเท่าไหร่ เจตสิกมีเท่าไหร่ เป็นขันธ์เท่าไหร่ไม่ใช่อย่างนั้น ก็เดี๋ยวนี้ไงล่ะ ขันธ์กำลังเป็นขันธ์ก็ไม่รู้ เป็นจิตก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมนะคะ ก็คือว่ารู้ว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ ศึกษาธรรมคือกำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ในขั้นฟัง เพราะฟังยังไง ก็ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับแน่ ถ้าฟังแล้วประจักษ์การเกิดดับ ต้องมีการอบรมเจริญปัญญาไหม ทำไมพระโพธิสัตว์ ผู้หญิงด้วยปัญญาอบรมเจริญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งเยอะศรัทธาก็ ๘ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เราเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ นับเป็นเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นนะคะ ว่าสิ่งที่ดีแล้วไม่มีใครรู้เลยนะคะ แต่ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้มีแล้ว และแสดงความจริงให้เริ่มเข้าใจอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมต่อไปได้เข้าใจมั่นคงขึ้นอีกในแต่ละคำ ซึ่งหาค่าประมาณไม่ได้เลย เป็นธัมมรัตนะเมื่อคำนั้นๆ นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นรัตนะไหมคะ เอาเงินไปซื้อได้ไหม ผู้เข้าเป็นทองบ้างเป็นเพจดังกี่ลูกกี่ลูกในโลกไปซื้อได้ ไม่ต้องเป็นศรัทธา

    และการเห็นประโยชน์ต้องเป็นปัญญาจริงๆ นะคะ ที่มั่นคงไม่หวั่นไหวด้วย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนะคะ ทรัพย์สมบัติเงินทองไม่สามารถที่จะรักษาได้ แต่ปัญญารักษาได้ คุ้มครองได้ ทำให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่ว่าในสถานะการณ์ใดๆ ยามป่วยไข้ ยามทุกข์ยาก ยามสนุกสนานทุกอย่างหมดค่ะ ปัญญาสามารถ รู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม และสิ่งที่มีจริงที่เกิดดับแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ก็เป็นขันธ์แต่ละ๑ ซึ่งไม่ซ้ำกันเลยนะคะ แล้วก็ไม่กลับมาอีก พอจะเข้าใจขั้นนั้น ยังไม่ถึงความเป็นภาระเพียงแค่รู้จักขันธ์มีเท่าไหร่คะ ถ้าไม่เคยฟังก็ตอบไม่ได้ใช่ไหมคะ แต่คนที่เคยฟังมาแล้วคลองชื่อ และจำนวน ผู้ติดข้อง ชื่อกรุณาตอบ ขันธ์ มีเท่าไหร่คะ ๕ เห็นไหมคะ พอพูดถึง ๕ เนี่ย ตอบกันได้หมดเลย แต่ถ้าถามถึงว่าขันธ์คืออะไร ยังไงเนี่ย ต้องคิดใช่ไหมคะแต่พอตอบ ถามจำนวน ตอบขันธ์มี ๕ เพราะอะไรจึงเป็น ๕ ตามอุปาทานคือความยึดถือ เห็นไหมคะจึงมีคำว่าอุปาทานขันธ์ ถ้าไม่เกิดมา จะยึดถือไม่เหนียมว่าเรา ของเรา แต่เพราะมีแล้วไม่รู้นะคะ กำลังเห็นอย่างนี้ เราเห็น เราได้ยิน เราชอบ เราไม่ชอบทั้งๆ ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับก็เป็นเราไปหมด

    เพราะฉะนั้นการที่ทรงแสดงธรรม โดยนัยของขันธ์ ๕ ทรงแสดงนัยตามอุปาทาน การยึดถือที่มั่นคงมาก เกิดมาที่ไหนคะเนี่ยโลกนี้มีอะไรบ้าง ค่ะ เหมือนสนทนากันธรรมดา ถ้าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเนี่ยตอบได้ แต่ถ้าเรื่องธรรมนะคะ ตอบยาก จะตอบเหมือนเดิม ก็คงไม่เป็นอย่างนั้นใช่ไหมคะ ถ้าถามว่าเกิดมาในโลกเนี่ยมีอะไรบ้าง โลกนี้มีอะไรบ้าง อยู่ในโลกนี้ใช่ไหมคะ เห็นโลกนี้ใช่ไหมแล้วโลกนี้มีอะไรบ้าง มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอะไรอีก เท่าที่รู้ก่อนค่ะ รู้แต่ขั้นธ์นี้แต่คิดไม่ถึง ลูกกว่านี้แน่นอน โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีจริงแน่ๆ ถูกต้องมั้ยคะ แล้วก็มีเสียง ที่ปรากฏให้ได้ยิน มีหรือเปล่าคะเสียง ปฏิเสธได้ไหม ไม่ได้ มีกลิ่นด้วย ใช่คะ กลิ่นนี้ก็เป็นที่พอใจมาก ราคาแพง ถ้าเป็นผู้ที่ติดในกลิ่น แต่กลิ่นที่ไม่ดีก็มี ก็เลือกไม่ได้อีก กลิ่นก็ต้องเป็นกลิ่น เป็นธรรม และเป็นขันธ์ด้วย เพราะว่าเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปแต่ละคำแต่ละคำ ได้เข้าใจความหมายจริงๆ ก่อนนะคะ

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นเดี๋ยวนี้เนี่ย เกิด และดับรึเปล่า ดับแต่ไม่รู้เป็นขันธ์หรือเปล่า ทุกอย่างที่เกิดดับเป็นขันธ์ๆ แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นขณะนี้โลกนี้ปรากฏ มีทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ลืมตาก็เห็นแล้ว มีทั้งเสียง มีทั้งกลิ่น มีรสด้วยไหมคะ เมื่อมีลิ้นสำหรับทำอะไร เล่นไม่รู้อะไรเลยนะคะ รสก็ไม่รู้อะไร แต่ถ้ารู้อาศัยลิ้น ซึ่งกระทบกับรส เกิดขึ้นรู้รส หรือจะใช้คำว่าลิ้มรสก็ได้ ทุกวันที่มีรสปรากฏ เมื่อมีการบริโภคอาหาร ต้องมีการกระทบสัมผัสใช่ไหมคะ หมายความว่าต้องมีรสกับลิ้นแน่ๆ เดี๋ยวนี้ให้รสปรากฏได้ไหม ไม่มีอะไรไปอยู่ที่ลิ้น แล้วปรากฏไม่ได้ แต่เมื่อกระทบกันแล้ว ธาตุรู้ต่างหากซึ่งเกิดขึ้น เพราะรสก็ไม่รู้อะไร ลิ้นก็ไม่รู้อะไร แต่การกระทบกันเนี่ย ทำให้เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้ชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ลิ้มรส รสเหมือนกันไหมคะ เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด จืด ธาตุรู้สามารถเกิดขึ้นลิ้มรส ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ เลยทั้งสิ้น ถึงจะอธิบายยังไง ขณะที่รสไม่ปรากฏ ไปรู้รสนั้นได้ไหม ไม่ได้เลยนะคะ จนกว่าเมื่อไหร่ที่จิตเกิดขึ้นรู้ หรือลิ้มรสมื้อนั้นนะคะ ไม่ต้องมีคำบอกเล่าใดๆ ทั้งสิ้น เติมน้ำตาล หวานนะคะ เต็มอีกหวานเพิ่มขึ้นอีก เห็นไหมคะ แม้แต่แค่หวานก็ยังมีอีกหวานจัด หวานน้อย หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ ธาตุรู้คือจิตเกิดขึ้นลิ้มรส

    เพราะฉะนั้นโลกนี้นะคะ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นต่างๆ มีเสียง มีกลิ่น มีรส ทางกายก็กระทบสัมผัส เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง ถ้าถูกยิงอะไรปรากฏที่กาย ถูกยิงแน่นอนแล้วเจ็บมากเลย แข็งมากเลยครับ แค่ขนาดนั้น ต้องปรากฏทีละอย่าง แต่ถ้าแข็งอย่างมากไม่กระทบเจ็บมั้ย ก็ไม่เจ็บ แต่เราเรียกว่าปืน เวลาถูกฟัน ถูกแทงค่ะ เห็นไหมคะ ไม่เรียกว่าปืน ไม่ใช่ว่าลูกปืน แต่เจ็บก็เป็นเจ็บ แต่สิ่งที่กระทบสัมผัสต้องเป็นแข้งที่ทำให้เจ็บได้ หรือว่าเย็นหรือร้อนในขณะนั้น จะไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร ยังไม่เรียกชื่อยังบอกไม่ได้ว่า เป็นมีด หรือเป็นลูกปืน หรือเป็นอะไรใช่มั้ยคะ แต่สภาพมันก็กระทบแล้วเป็นปัจจัยให้ความเจ็บเกิดขึ้น เจ็บแล้วใช่มั้ยคะ ใครไปทำให้เจ็บหรือเปล่า เจ็บแล้วเกิดแล้วเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นขันธ์หรือเปล่า แค่เป็นขันธ์ก่อน ยังไม่แจกจำแนกนะคะ เพียงแค่รู้ว่าธรรม ที่เป็นขันธ์ คือธรรมที่เกิดล่ะ ธรรมที่เกิดดับ ต้องเป็นขันธ์หนึ่งขันธ์ใด คือเป็นขันธ์ อื่นไม่ได้เลยค่ะ แต่ละหนึ่ง ก็แต่ละหนึ่งจริงๆ

    เพราะฉะนั้นเวลาเจ็บปรากฏ เย็นร้อนไม่ได้ปรากฏ และเจ็บมีจริงๆ ไหมคะ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นขันธ์ หรือเปล่า ก็ต้องเป็นขั้นธรรมที่เกิดดับทั้งหมด ต้องเป็นค่ะ เพราะฉะนั้นโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย คิดถึงอะไรคะ เห็นไหมคะคิดทุกวันตอบไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมแล้วคิดถึงอะไร คิดถึงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏ แต่เพราะไม่รู้ความจริง ก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งที่ปรากฏ เห็นไหมคะ นี่เป็นความละเอียดศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ไม่ใช่เรา เผินไม่ได้เลย เพราะว่าเผินเมื่อไหร่ ไม่ใช่สัจจะญาณแน่นอน แต่พอรู้ความจริงเมื่อไหร่ รู้แล้วเปลี่ยนไม่ได้ จะเปลี่ยนความจริงที่เข้าใจตรง ตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น ให้เป็นอื่นได้ยังไง จะมาบอกว่าขันธ์คืออย่างอื่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดดับได้ไหม ไม่ได้ เพราะคนนั้นไม่เข้าใจ และไม่รู้ความจริงใช่ไหมคะ

    แต่ว่าตามความเป็นจริงก็ต้องเข้าใจว่า เพราะสิ่งนั้นเกิดดับ จึงว่างเปล่า แค่รู้จักคำว่าขันธ์ ต้องหมายความว่าว่างเปล่า จากการที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยเหตุนี้นะคะ วันนี้มีขันธ์ไหม เดี๋ยวนี้มีขันธ์ไหม ขันธ์ดับไปแล้วกลับมาอีกไหม แต่ละหนึ่งค่อยๆ น้อมไปสู่การที่จะเห็นโทษ ตามที่พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะเห็นโทษ ของสิ่งที่เพียงเกิดขึ้น และดับไปไม่เหลือเลย แต่ว่าถ้าไม่รู้ความจริงนะคะ ก็ติดข้องอย่างมากมายไม่มีอะไรจะไปละความติดข้องได้เลย เป็นทุกข์เพราะความติดข้อง ไม่ใช่เชื่อ ไตร่ตรอง และจริงไหม เวลาติดข้องชอบใช่ไหมคะ ไม่ชอบจะติดข้องหรือ แต่โทษไม่รู้ ว่าทำไมติดข้องก็จะไม่มีการเศร้าโศก ถึงสิ่งที่พลัดพราก เพราะว่าสิ่งที่ทำให้ติดข้อง ไม่เหลือแล้วค่ะ แต่ความไม่รู้นี่แหละ ทำให้สัตว์โลกเกิดแล้วเกิดอีก วนเวียนไปในสังสารวัฎฏ์ จะจบได้ไหมเนี่ยถ้าวนเวียนไป เหตุมีแล้วผลที่จะไม่มี ไม่ได้เลยค่ะ ต้องเป็นอย่างนี้ไปอีก ตราบใดที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งมีความเข้าใจถูก ทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่หวังนะคะ ถ้าเข้าใจถูกแล้ว ยังไงก็เข้าใจถูกเพิ่มขึ้น ไม่ต้องไป แล้วจะทำยังไง นั่นผิดล่ะ เห็นมั้ยคะ ไม่มั่นคง

    ด้วยเหตุนี้ด้วยการฟังธรรมไม่เผิน ตอนนี้รู้จักคำว่าขันธ์แล้วนะคะ เจ็บเป็นขันธ์หรือเปล่า เป็น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดดับทุกอย่างเป็นขันธ์ แต่ว่าทรงแสดงขันธ์ ๕ ตามการยึดถือ ใครไม่ชอบโลกที่ปรากฏทางตาบ้าง มีไหมคะ ไม่มี เพราะฉะนั้นโลกนั่นแหละเป็นที่ตั้งของความยึดถือ ของความยินดีจึงเป็นอุปาทานขันธ์ แต่เปลี่ยนรูปให้รู้รายได้ ใครจะชอบดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบก็ไม่รู้ว่าใครชอบ แต่ดอกกุหลาบเป็นที่ตั้งของความพอใจ เพราะฉะนั้นความพอใจไม่ใช่ดอกกุหลาบ แต่ความพอใจ พอใจในรูปที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นรูปจึงเป็นที่ตั้ง ของความพอใจอย่างยิ่ง เป็นรูปูปาทานขันธ์นะคะ คำว่ารูปกับคำอุปาทาน กับคำว่า รวมกันก็เป็นรูปูปาทานขันธ์ อยากไปค่ะทำ ถ้าเข้าใจยากไหมก็พูดถึงสิ่งที่มี แล้วก็ซ้ำคำเดิมคือธรรม แต่ขยายให้ละเอียดขึ้น ให้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น เพราะว่าความติดข้อง และความไม่รู้เนี่ย มากมายมหาศาล ถ้าไม่เข้าใจอย่างละเอียดจริงๆ จะไม่เป็นสัจจญาณ ก็จะมีคำถามอยู่เรื่อยๆ แล้วจะทำยังไง มีคนบอกให้ทำเชื่อไหม เพราะว่าทุกคำที่จริงนะคะ ไม่ว่าใครพูดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด นำไปสู่การที่จะเข้าถึงพระปัญญาคุณ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ความจริงนี้ ไม่เช่นนั้นใครจะรู้ได้ แม้สาวกก็รู้ไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ แล้วจะเอาคำไหนมาพูด

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เป็นคำจริงนะคะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นคำของเราทั้งหมด ใครพูดไม่สำคัญเลยเพราะเป็นคำจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เชื่อคนนั้น หรือเชื่อคนนี้นะคะ แต่คำนั้นถูกต้องหรือเปล่า เข้าใจหรือเปล่าก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครจะบอกยังไง จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของเราได้ไหม ธรรมของพระพุทธเจ้าเนี่ย เป็นธรรมที่นำไปสู่ความมีปัญญา ฉะนั้นไม่ว่าอาชีพไหนผู้หญิงผู้ชายหรือว่าฐานะยังไงเนี่ย ก็ขอให้ศึกษาแล้วก็จะมีปัญญา ขอให้ศึกษาก็ลำบาก ขอใครให้ศึกษา ทักเท่าไรก็ไม่เห็นศึกษาสักคน นอกจากคนนั้นจะได้สะสม การเห็นประโยชน์ ของการที่ได้ฟังคำของใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายากไหมที่จะได้ฟัง ให้อธิบายโดยย่อ และโดยพิสดารในการปรับ

    ผู้ฟัง ถูกครับผม ขอบพระคุณครับ

    ท่านอาจารย์ จะรู้จะเข้าใจรูป หรือจะดับรูป จะดับรูป เพราะไม่ต้องดับ รูปดับแล้ว และพอพูดถึงรูป รูปคืออะไร ต้องรู้จักคำที่พูด ไม่เช่นนั้นก็จะพูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะเคยพูดมาแล้วในสังสารวัฎฏ์ แม้ในชาตินี้นะคะ ก็พูดคำที่ไม่รู้จักจนกว่าจะได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้น รูปเคยพูดแล้วใช่ไหมคะ รูปคืออะไร

    ผู้ฟัง ครับเคยพูดแล้ว แล้วก็ลืมแล้ว

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นไม่รู้จักรูป เพราะลืม แต่ถ้าเข้าใจแล้วลืมมั้ย ไม่คิดถึงคำนั้นแต่พูดเมื่อไหร่ก็เข้าใจได้ทันทีเมื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นยังไม่เข้าใจคำว่า รูป ภาษาบาลีจะออกเสียงว่า รูปะ มีมั้ย และเมื่อกี้นี้กล่าวว่า รูปมีอิทธิพลมากเลยใช่ไหมคะ กับใคร รูปไม่รู้อะไรเลย รูปไม่ได้ไปทำให้ใครพอใจ รูปก็เป็นรูปที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นสภาพธรรม ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีปัจจัยให้รูปเกิดแล้วดับ เนี่ยค่ะกว่าเราจะค่อยๆ เข้าใจแต่ละ ๑ จนกระทั่งไถ่ถอน ความที่เคยไม่รู้ และยึดมั่น ต้องรู้จริงๆ ในแต่ละคำ เพราะฉะนั้นรูปคืออะไร แล้วจะไปดับรูป โดยไม่รู้ว่ารูปคืออะไรก็ไร้สาระ เพราะฉะนั้นคำที่ไร้สาระมีมาก คือไม่เป็นประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ก็ และวิธีการให้

    ท่านอาจารย์ นั่นสิคะมาอีกแล้ว

    ผู้ฟัง มาอีกแล้ว

    ท่านอาจารย์ วิธีการ มาอีกแล้ว ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงอ่ะครับ

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นหรือเปล่า ที่ว่ามีจริง

    ผู้ฟัง ครับ เกิดขึ้นครับ

    ท่านอาจารย์ เกิดเมื่อไหร่ก็มีจริงเมื่อนั้น

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับรึเปล่า

    ผู้ฟัง ครับเกิดแล้วก็ดับ

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นเราอยู่ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจให้ถูกต้อง ในขั้นฟัง เพื่อวันหนึ่งจะได้ประจักษ์แจ้ง ว่ารูปเกิดดับขณะนั้นจะไม่มีความเป็นเรา เพราะสภาพธรรมที่เกิด และดับให้เห็นตามความเป็นจริง จะละการยึดถือว่าเป็นเรา เป็นเราได้ยังไง เป็นแต่ละ ๑ ลักษณะด้วย ไม่ใช่พูดเปล่าๆ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงหนทางธรรมรัตนะ ที่จะให้สู่การรู้แจ้งสภาพธรรมที่จะดับกิเลสได้ ถ้าถามอย่างเดิม ก็คือยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าไม่ถามอย่างเดิม นะคะ เมื่อกี้ได้ยินว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ธรรมใดที่ปรากฎ ธรรมนั้นเกิดแล้วก็ดับด้วย

    ผู้ฟัง ครับ เพราะยังยึดถือว่าเป็นเรา นี่เสร็จแล้วจะทำยังไง ก็คงต้องพูดอย่างนั้นอีก

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลยค่ะ ยังผิดไปเรื่อยๆ แล้วจะเริ่มต้นถูกมั้ย

    ผู้ฟัง นี่สิครับ สิ่งที่ผมต้องการน่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เริ่มต้นคือ เริ่มฟังธรรมทีละคำ

    ผู้ฟัง ครับผม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา คำถามว่าแล้วจะทำยังไงก็หมดไป เพราะว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถ้าเข้าใจจริงๆ นะคะ

    ผู้ฟัง ก็ยังมีอีกอ่ะครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะยังไม่เข้าใจ ยังสงสัย ยังต้องการ เพราะไม่รู้เนี่ย

    ผู้ฟัง ไม่รู้ฮะ ไม่รู้ ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ จะหมดความสงสัย หมดความเข้าใจผิด หมดความต้องการยึดมั่น ก็ต่อเมื่อเข้าใจขึ้น หนทางเดียวเข้าใจขึ้น มิฉะนั้นพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงพระธรรม ถึงหนทางที่จะทำให้เข้าใจขึ้น และปัญญานั่นแหละที่รู้ว่า เข้าใจขึ้นโดยการฟังอย่างละเอียด ทีละคำจนเป็นสัจจญาณ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    21 มิ.ย. 2567