ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๕

    สนทนาธรรม ที่ สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ผู้ฟัง ในช่วงที่อาจารย์เริ่มศึกษาธรรมใหม่ๆ แล้วก็ถ้าเจอสภาวะที่โกรธอะไรแบบนี้ ไม่ทราบว่าทำอย่างไร ให้ตัวเองมีความเข้าใจมากขึ้นในขณะที่อารมณ์กำลังมาอะไรแบบนี้

    ท่านอาจารย์ มีความรักตัวมากเพราะไม่รู้จักตัว ก็เลยรักมาก แต่ความจริง ถ้าหาตัว พบไหม อยู่ไหน มีจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นหลงรักสิ่งที่ไม่มีทุกอย่าง มีคำสั้นๆ สูญ สิ้นไป หมดไป แค่คำสั้นๆ เราคิดสิจริงไหม จริงแน่นอน แต่ว่าไม่รู้ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังเกิด ก็หลงยึดถือว่ายังอยู่ ยังมี เพราะฉะนั้นตราบใดที่คิดว่ายังมีอยู่ มีเรา มีทุกอย่างอยู่ ก็คือผู้ที่ยังไม่รู้ความจริง ถ้ารู้ความจริงเมื่อครู่ได้ยินใช่ไหมแล้วได้ยินไปไหน หายไปแล้ว สูญสิ้น ไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฎเป็นแค่หนึ่งขณะ แข็งเดี๋ยวนี้ก็ปรากฏชั่วขณะที่ปรากฏ นั่นคือในสังสารวัฎไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิด โดยไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เพราะเกิดดับเร็วมากจนกระทั่งไม่รู้ความจริง หลงเข้าใจว่ายังมีอยู่ ยังเป็นเรา ยังเป็นเขา เขายังเขียนมา เดี๋ยวเขายังซ้ำเติมอะไรต่างๆ นาๆ ก็เป็นเรื่องของความคิด ที่ยังไม่ได้เข้าถึงความจริงว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีจริงๆ มีชั่วขณะที่ปรากฏ แล้วไม่กลับมาอีกเลย สั้นมากแค่นั้น

    ผู้ฟัง การที่ดิฉันกำลังคิดว่าดิฉันอยากจะผันตัวเองมาเป็นนักเขียนบทละคร อันดับแรกดิฉันคิดถูกหรือเปล่า แล้วก็จะเป็นทางที่จะเป็นกุศลอย่างที่ดิฉันเข้าใจจริงๆ ไหม แล้วถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เป็นอันตรายต่อตนเองในอนาคตได้อย่าง สิ่งนั้นคืออะไร ดิฉันต้องระวังอะไรบ้าง

    อ.คำปั่น ตัวอย่างที่คุณได้พูดถึงก็คือนักแสดงชื่อตาลบุตร เป็นผู้ชายซึ่งเป็นนักฟ้อนรำ นักเต้นรำ เป็นนักแสดง ที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความโสมนัสยินดีพอใจใช่ไหม ซึ่งอาจารย์ของท่านตาลบุตร ก็สอนมาโดยตลอดว่า ใครก็ตามที่ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเบิกบานแจ่มใส ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ แต่ว่าตัวท่านตาลบุตร ก็ได้เข้าเฝ้ากราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสห้ามไว้หลายครั้ง จนที่สุดก็ทรงแสดงความจริงให้ฟังอย่างที่ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ว่าใครก็ตามที่มีความประพฤติเป็นไปเช่นนี้ ซึ่งความเป็นจริงก็คือตัวเองก็มากไปด้วยอกุศลอยู่แล้วใช่ไหม มีโลภะ โทสะ โมหะอยู่แล้ว แล้วก็ยังเป็นการกระทำที่อุดหนุน หรือว่าส่งเสริมให้ผู้อื่นเกิดอกุศลมากขึ้น ถ้ามีใครคล้อยตามความประพฤติอย่างนั้น ถ้าสะสมมาจนมีกำลัง ทำให้ไม่สนใจในสิ่งที่มีค่า ไม่สนใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็สามารถทำในสิ่งที่ไม่ดีได้ แล้วก็ไม่ใช่เกิดในสวรรค์ แต่ว่าเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ ซึ่งท่านพอได้ฟังแล้ว ก็โศกเศร้าเสียใจร้องไห้ ที่ร้องไห้เพราะว่าเสียใจที่อาจารย์สอนผิดมาโดยตลอดเลย จนกว่าจะได้ฟังคำจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วก็ในที่สุดท่านก็เข้าใจความจริง อุปสมบทในพระพุทธศาสนา ในที่สุดก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ นี่คือชีวิตของ พระอริยบุคคลท่านหนึ่ง ที่เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ต้องไตร่ตรองแล้วก็ต้องพิจารณาให้เข้าใจเหตุผล มีใครบ้างที่ไม่ชอบหัวเราะ เป็นชีวิตประจำวัน ไม่มีใครชอบร้องไห้ แต่ว่าหัวเราะนี่ชอบ ยิ้มก็ชอบ เบิกบานก็ชอบ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง คำสอนที่ได้ฟังต้องไตร่ตรอง ตราบใดที่ยังไม่ถึงการกระทำที่เบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนทำให้เขาเดือดร้อน ทุจริตต่างๆ ทำให้คนอื่นต้องโศกเศร้าเสียใจ ทางตรงทางอ้อม ด้วยอกุศลจิต เพราะฉะนั้นถ้าเป็นการกระทำถึงขั้นนั้นแล้ว ก็ให้ผลตามควรแก่กรรมนั้นๆ ต้องไม่ลืมว่าผลทั้งหลายต้องมาจากเขต เหตุที่ได้ทำแล้ว จะมากจะน้อยก็ต้องให้ผลตามกำลังของเหตุนั้น ไม่ใช่ว่าสับสนกัน ด้วยเหตุนี้ในเมื่อทุกคนยังมีกิเลส แล้วก็ขณะนี้กำลังเป็นบทละครหรือเปล่า เป็นบทเรื่องหรือเปล่า ของแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ใครเขียน ยังไม่ต้องไปอ่านเรื่องของคนอื่น ยังไม่ต้องให้เขามาเล่าให้เราฟังว่าชีวิตของเขาเตั้งแต่เกิดมาเป็นอย่างไรบ้าง คนนั้นก็ย่อมรู้ดี แล้วแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือว่าต้องมีความเห็นที่ถูกต้อง ว่าเกิดมาแล้วขอให้เข้าใจธรรมคือความจริงก่อน เมื่อเข้าใจความจริงแล้ว ความเข้าใจนั่นแหละจะทำให้ชีวิตเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ แม้แต่การจะเขียนบทความ ให้ความจริง ให้ความถูกต้อง พร้อมทั้งสิ่งที่คนอื่นสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามได้ด้วยก็ดี เท่าที่เคยอ่านมาแล้วในอดีต แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้อ่านเพราะไม่มีเวลา หนังสือทุกเรื่องคนร้ายแย่มากใช่ไหม และผลก็คือว่าได้รับผลของกรรม ส่วนคนดีก็เป็นคนดีแล้วก็ได้รับผลของความดีนี่ก็เป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจ เพียงแต่ว่าอ่านแล้วก็ชอบคนนี้ไม่ชอบคนนั้นสนุกสนานไปกับในขณะที่อ่านแล้วก็จบ แต่ตามความเป็นจริงมีเรื่องที่จะคิด แล้วเข้าใจได้มาก

    ด้วยเหตุนี้เราเคยอ่านนิทาน แล้วก็จริงๆ แล้วก็มีชาดก คือเรื่องราวในอดีตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่บำเพ็ญพระบารมีก่อนที่จะได้ตรัสรู้ ที่เราใช้คำว่าโพธิสัตว์ สัตว์คือผู้ข้อง โพธิคือปัญญา ไม่ได้ข้องอย่างอื่นเลย แต่ข้องในการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงจริง อย่างที่เรากำลังฟังธรรมเดี๋ยวนี้ วันหนึ่ง เมื่อไหร่ไม่สามารถจะรู้ได้ ก็มีสภาพธรรมที่ปรากฏ ความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ได้ฟังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงในขณะนั้นได้ ก็ทำให้รู้ว่าความจริงที่ได้ฟังทั้งหมดตรงกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนี้ เป็นสาวกโพธิสัตว์ เต็มใจจะเป็นไหม โพธิสัตว์ข้องอยู่ในเรื่องการรู้แต่รู้โดยฐานะของสาวกคือผู้ฟัง ด้วยเหตุนี้ชีวิตที่จะต้องเป็นไปตามการสะสมของแต่ละคนก็ไม่เปลี่ยน อย่างคนที่ชอบที่จะเขียนบทความก็คงจะทำอย่างอื่นได้ดีน้อยกว่าการที่จะเขียนบทความ แต่ถ้าบทความนั้นเป็นไปในทางสร้างสรรค์ ในทางที่เป็นประโยชน์ ในทางที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์ เพราะว่ายังไม่ใช่เป็นอกุศลกรรมที่จะทำให้ถึงกับต้องไปอบายภูมิ แต่ก็สะสม ตราบใดที่เกิดมาแล้วก็ไม่เข้าใจสภาพธรรมก็จะมีการที่ประพฤติเป็นไปในทางที่สะสม ที่เป็นส่วนที่เราใช้คำว่ากิเลส กิเลสหมายความถึงธรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ยิ่งฟังก็ยิ่งค่อยๆ เพิ่มคำ มาถึงคำว่าจิตใจ แล้วตอนแรกก็มีแค่ธรรมใช่ไหม ทุกอย่างเป็นธรรม และจิตใจมีไหมเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ดิฉันไม่แน่ใจว่าคำตอบถูกไหม ดิฉันตอบว่ามี

    ท่านอาจารย์ มีแต่ไม่รู้จักใช่ไหม จนกว่าจะได้ฟังว่า จิตใจก็เป็นธรรม อะไรที่มีจริงทั้งหมด จะพ้นธรรมไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นฟังธรรมก็คือฟังสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แต่ว่าหลากหลายมาก แล้วปัญญาก็น้อยนิด จนกว่าจะค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจอย่างมั่นคงถูกต้องทีละคำ พอเข้าใจอย่างมั่นคงถูกต้องแล้ว ฟังคำอื่นต่อไป ยิ่งเข้าใจชัดเจนขึ้น แต่ถ้าฟังไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง คิดว่าเข้าใจแล้วคือเข้าใจเผิน เผิน เพราะมีคำอื่นมาใหม่ก็สับสนแล้วก็งง เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ควรที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ได้ยินคำไหน ก่อนฟังธรรมคิดว่าเข้าใจแล้วเข้าใจดี บางคนก็เขียนหนังสือเรื่องจิต เยอะมากหลายเล่ม แต่ว่าเข้าใจจิตรึเปล่า รับรองได้ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมไม่ได้ฟังพระธรรม เขาเขียนเรื่องจิต เขาคิดเรื่องจิตแต่ไม่เข้าใจจิต เพราะฉะนั้น จะเข้าใจคำนี้ไหม จากคำที่ว่าเขียนบทความ ไม่มีจิตเขียนได้ไหม แล้วให้ทุกคนมาเขียนบทความ เขียนได้เหมือนกันหมดทุกคนไหม ก็ไม่เหมือน

    นี้คือการเริ่มที่ว่าส่วนหนึ่งในชีวิตของเราก็เป็นไปอย่างที่สะสมมาอีกส่วนหนึ่งก็คือว่าเริ่มเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจจริงๆ มีความเห็นที่ถูกต้องในแต่ละคำในแต่ละสิ่งที่ปรากฏ เห็นประโยชน์ของความเข้าใจซึ่งต่างกับการที่อยู่ไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ก็ไม่เข้าใจเหมือนเดิม ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เข้าใจเหมือนเดิม แต่ว่าทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงไม่ได้ตามการสะสม แต่ว่าสามารถที่จะฟังคำจริง ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อครู่นี้มีหลายคำใช่ไหม จิตน่าสนใจไหม มีแน่ๆ อยู่ไหน เห็นไหมแต่ละคำให้เราเกิดปัญญา ไม่ใช่มา บอก บอก บอก ให้เราเชื่อ ให้เราฟัง แต่ว่าให้เราคิดไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราเอง มีจิตแน่นอน แต่จิตอยู่ไหน ตอบไม่ได้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าทรงแสดงเรื่องจิตไว้ละเอียดยิ่ง

    ผู้ฟัง เหมือนกับดิฉันนึกออกแต่ว่า ดิฉันบอกไม่ถูกแล้ว ว่าเคยได้ยินว่า คือการรวมกันของขันธ์ ๕

    ท่านอาจารย์ นี่คือสับสน นี่คือไม่ได้ศึกษาทีละคำ นี่คือไม่เข้าใจแต่ละคำชัดเจน เพราะฉะนั้นพอถูกถามเหมือนเขาจะตอบได้ เหมือนเคยฟังมาแล้วแต่ว่ารวมกันหมด ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจ จิตมีจริงแน่นอน เคยได้ยินคำอื่นอีกไหม วิญญาณ เคยได้ยินไหม

    ผู้ฟัง เคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ มีไหมวิญญาณ

    ผู้ฟัง มีแต่ว่าเข้าใจความหมายกันผิดอยู่ใช่ไหม ดิฉันเคยฟังในซีดีของอาจารย์เรื่องนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่าแต่ละคำคืออะไร ก็เลยสับสนใช่ไหมเข้าใจว่าคงจะมีอยู่ใช่ไหม วิญญาณ หรือว่ามี

    ผู้ฟัง ดิฉันจำได้ว่าคือชื่อเรียกหนึ่งในขันธ์ ๕ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แค่ชื่อใช่ไหม แต่การรู้เพียงชื่อไม่มีประโยชน์เลย การจำชื่อก็ไม่มีประโยชน์ ได้พบท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่าท่านสวดมนต์ยาว แต่ก่อนนี้อะไรๆ ที่เป็นชื่อของคัมภีร์คาถา ท่านก็สวดได้ ถามท่านเดี๋ยวนี้จำได้ไหม ท่านบอกจำไม่ได้ แล้วประโยชน์อะไรทั้งหมดที่ทำมาแล้วนานเท่าไหร่ แม้แต่คำสวดที่ยาวๆ สมัยนั้น ที่ยังสวดอยู่ก็จำได้หมด แต่พอถึงวันหนึ่งก็ลืม เพราะฉะนั้นเวลาที่เสียไปกับการที่เราไม่เข้าใจจริงๆ ถ้ามีการเข้าใจขึ้นก็ย่อมดีกว่า เพราะฉะนั้นก็ขอพูดถึงธรรม ที่เป็นจิต ธรรมหลากหลายมาก ทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งต่างกันไปเช่น เสียงไม่ใช่กลิ่น เห็นไม่ใช่คิด ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่าไม่ว่าธรรมจะหลากหลายมากสักเท่าไหร่ก็ตาม ในโลกนี้ หรือโลกอื่น หรือโลกไหนก็ตาม ก็จะมีธรรมที่ต่างกัน เด็ดขาดเลย ไม่เหมือนกันเลย คือสภาพธรรมอย่างหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร ไม่สามารถจะรู้อะไรได้แข็งอย่างนี้ กระทบแข็ง แข็งไม่รู้ว่ามีอะไรกระทบ เสียงมีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นเสียง ดับแล้วเสียงก็ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเสียง ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้นมี จะไม่มีไม่ได้ เพราะมีธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เริ่มเห็นพระปัญญาคุณไหม ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เรามีแต่ว่าสิ่งที่เราเห็น แล้วหมดไปหมดไป แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เกิดมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่าง โดยละเอียดยิ่ง ทรงแสดงว่าธรรมที่มีจริง โดยกว้างๆ ประเภทที่ต่างกัน ก็คือว่าสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร ขอให้ยกตัวอย่าง มีอีกไหมสภาพธรรมที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็มี แต่สภาพนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ตัวอย่างที่กล่าวถึงก็คือเสียง มีเสียงแน่นอน แต่เสียงก็ไม่รู้อะไรเลย แข็งไม่ใช่เสียง เป็นธรรมทั้ง ๒ อย่างเพราะมีจริงๆ แต่ต่างก็ไม่รู้จักกันเลย ก็เป็นธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแข็งเกิดขึ้นเป็นแข็ง ปรากฏว่ามีแข็ง แล้วก็หมดไปทั้ง ๒ อย่าง เป็นสภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ คิดต่อไปอีกนิดหนึ่ง มีอะไรอีกไหมในชีวิตประจำวันที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นธรรมที่เกิดปรากฏ ว่ามีจริงแต่ไม่รู้อะไรเลยไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ทั้งสิ้นนอกจากแข็ง เสียง มีอะไรอีกไหม

    ผู้ฟัง กลิ่น

    ท่านอาจารย์ กลิ่นถูกต้อง ๓ แล้ว มีแค่ ๓ หรือวันนี้

    ผู้ฟัง รส

    ท่านอาจารย์ รส นี่แหละธรรม เป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่ต้องจำ แต่เป็นความเข้าใจซึ่งไม่เปลี่ยน เพราะเป็นการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ มีอะไรอีก

    ผู้ฟัง รูป

    ท่านอาจารย์ รูป ไปได้ยินคำนี้มาจากไหม เห็นไหม งู งู ปลา ปลา หรือว่าเข้าใจชัดเจน ถ้าพูดคำนี้ เข้าใจช่วยบอกว่าคืออะไร ทุกคำที่พูดต่อจากนี้ จะเป็นผู้ที่เข้าใจคำที่เราพูดเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริง เสียงไม่รู้อะไรมีจริงๆ แข็งมีจริงๆ กลิ่นมีจริงๆ รสมีจริงๆ หมดหรือยัง

    ผู้ฟัง รูปใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ชื่อมาอีกแล้ว ไปที่ไหนก็มีแต่คนบอกชื่อทั้งนั้นเลย ถ้าถามบอกแล้วคืออะไร ก็ไม่ตอบใช่ไหม แสดงว่าจำชื่อ แต่นั่นไม่ใช่การศึกษาให้เข้าใจธรรม การฟังธรรมต้องรู้ว่า ฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ด้วย ถึงจะได้เป็นความเข้าใจว่าเราพูดถึงสิ่งที่มีจริงเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง สีได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เรียกว่าสี แต่ถ้าไม่เรียกเลย ก็หมายความถึงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เดี๋ยวนี้ เมื่อลืมตาขึ้นมา เห็น เห็นอะไร เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย นี่คือชีวิตประจำวัน มีอะไรอีก ที่พอจะรู้ได้

    ผู้ฟัง ร้อน

    ท่านอาจารย์ วันนี้ก็ร้อนมากใช่ไหม พอถึงเวลาอีกวันหนึ่ง วันนี้ก็เย็นมาก เพราะฉะนั้นเย็นก็มีจริงๆ หรือเปล่า มองเห็นไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็น แต่มี เริ่มรู้แล้วสิ่งที่มีจริงแม้ไม่เห็น แต่มีจริงๆ ปรากฏให้รู้ได้ว่ามีจริงๆ เป็นธรรม แข็ง หรืออ่อน มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าอ่อนก็คือไม่แข็ง แล้วก็เพิ่มแข็งขึ้น แข็งขึ้น จนแข็งมากก็ยังคงเป็นแข็ง หรืออ่อน อย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉะนั้นเย็น หรือร้อนพวกเดียวกัน อ่อนหรือแข็ง อีกอันหนึ่งซึ่งทุกคนสงสัยถามหาเมื่อไหร่จะเจอ แต่ความจริงก็มีประจำวัน แต่เพราะไม่เคยรู้คือสภาพที่ตึง หรือไหว อันนี้ยังไม่ต้องจำเลย เพียงแต่ว่าให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริง จะไม่ให้มีไม่ได้ มีแล้วด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นหนทางนี้ เป็นหนทางที่จะเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด คือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ใครด้วย เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ใช้คำว่า สูญสิ้น ไปทุกอย่าง เริ่มคลายไหมหรือว่าเริ่มรู้สึกอย่างไร สิ่งที่มี มี ไม่ใช่ไม่มี แต่สั้นมากเพียงแค่ปรากฏแล้วไม่ใช่หมดไปเท่านั้น สูญสิ้นไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาอีกด้วยทุกอย่าง ถ้าเป็นคนที่สะสมปัญญามามาก เริ่มเห็นความไร้สาระ ของการที่เห็น เห็นแล้วก็หมดไป ได้ยินแล้วก็ไม่กลับมาอีก คิดนึกก็ชั่วขณะแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้นจะกล่าวได้ว่าเกิดมา ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นสภาพที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่เรา แล้วก็เกิดดับตามปัจจัยตลอดเวลา ซึ่งใครก็รู้ไม่ได้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ต่างกันแล้วใช่ไหม ใครก็รู้ไม่ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แล้วก็ทรงแสดงความจริงด้วย ความจริงอย่างที่เรากำลังได้ฟังนี่แหละให้คนอื่นได้ฟังด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังธรรมเข้าใจเป็นสาวกผู้ฟัง ไม่ได้ฟังคำของคนอื่น ไม่ได้ฟังเรื่องอื่น แต่ฟังเรื่องที่มีจริงจริง เสียงไม่รู้อะไรใช่ไหม แข็งก็ไม่รู้อะไร เย็นก็ไม่รู้อะไร สภาพธรรมที่มีจริงแต่ไม่ใช่สภาพรู้ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติคำให้เข้าใจว่า หมายความถึงสิ่งที่มีจริงนี่แหละ แต่ไม่รู้สภาพธรรม นั้นเป็นรูปธรรม เป็นคำรวมของธรรม ธรรมทุกอย่างที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงหลากหลาย สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรก็มี ก็เป็นรูปธรรม แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏไม่ได้เลย พอได้ยินคำว่าธาตุรู้ งงเลย ธาตุรู้ ก็เห็นนี่แหละ ธรรมดา เห็นเป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏตาเป็นอย่างนี้ คนตาบอดไม่เห็น เวลาเสียงปรากฏ ธาตุรู้คือกำลังได้ยินเฉพาะเสียงที่ปรากฏในขณะที่ได้ยินเท่านั้น ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียง เสียงก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพที่ไม่รู้มีจริง แล้วสภาพรู้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ก็มี

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ต่างกันจริงๆ อย่างหนึ่งเกิดแล้วไม่รู้อะไรเลยก็เป็นรูปธรรม และสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เป็นนามธรรม จากธรรมหนึ่งก็เริ่มเข้าใจธรรมที่ต่างกัน ๒ คือนามธรรมกับรูปธรรม พอเริ่มเข้าใจนะ เพราะฉะนั้นขณะที่คิดเป็นอะไร ธรรมนี้มีจริงแน่ๆ แล้วก็ต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างใหญ่ๆ อย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย อีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสเลย เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ เมื่อครู่นี้กล่าวถึงเห็น ถ้าไม่มีเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย หลับตาแค่นี้ไม่มีคนสักคน โต๊ะ เก้าอี้อะไรก็ไม่มี เพียงแค่หลับตาหายไปได้อย่างไร หมดนี่ไม่มีเหลือเลย ลองหลับตาสิ ไม่มีเหลือจริงๆ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ได้ปรากฏในขณะที่หลับตา แต่เวลาที่ลืมตา มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นว่ามี ต่อเมื่อลืมตาแล้วเห็นเกิดขึ้น จึงรู้ว่าสิ่งนี้มี ธรรมต้องค่อยๆ ฟัง เพราะว่าปฏิปัตติเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเพราะได้เข้าใจธรรมจนกระทั่ง รอบรู้มั่นคง จึงสามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขั้นฟังแต่เข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรมนั้นเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ลืม วันนี้ธรรม แล้วก็รูปธรรม กับนามธรรม รูปธรรมไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่นามธรรม ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย เกิดเมื่อไหร่ต้องรู้เมื่อนั้น เพราะฉะนั้น คิดเป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะ

    ผู้ฟัง เพราะมีอยู่จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะมีจริง คิดกันทุกวัน แล้วจะบอกว่าไม่มีคิดได้อย่างไร พูดถึงสิ่งที่มีตามความเป็นจริง คิดมีก็ต้องเป็นธรรมมีจริง แล้วธรรมเป็นนามธรรมกับรูปธรรม อย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ใช่ทั้ง ๒ อย่าง เพราะฉะนั้นคิดเป็นธรรมประเภทไหน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    26 เม.ย. 2567