ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๘

    สนทนาธรรม ที่ วัดคูหาสวรรค์ จ.ราชบุรี

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่เราใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ได้ยินไม่ใช่เราใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ไปทำให้โกรธเกิดรึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ทำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัจจัยที่จะโกรธ ห้ามโกรธไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นโกรธเป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วธรรมคือโกรธเป็นอนัตตา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโกรธไม่ใช่ของใคร โกรธเกิดขึ้นเป็นโกรธ แล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของใคร ไม่ต้องไปหาทางที่จะไม่ให้โกรธเพราะโกรธดับแล้ว ขณะที่คิดยึดถือโกรธว่าเป็นเรา ไม่อยากโกรธ ถ้าโกรธไม่ใช่แล้ว โกรธก็ไม่เป็นอะไร เกิดแล้วก็ดับไปเป็นโกรธเฉยๆ ใช่ไหม แต่นี่โกรธ ไม่ชอบโกรธ ใครไม่ชอบ ใครโกรธ เพราะไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น นี่คือความหมายของธรรมซึ่งเป็นอนัตตา จะใช้คำว่าปรมัตถธรรมก็ได้ มาจากคำ ๓ คำ ปรม ภาษาไทยใช้คำว่า บรม ไม่ใช้ ปแต่ใช้ บ เป็นบรมแต่ความจริงเป็นปรม อัตถะ ความหมาย หรือลักษณะ ถ้าไม่มีลักษณะจะกล่าวถึงสิ่งนั้นได้ไหม ไม่ได้เลย แต่ว่าแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ได้เกิดมาเฉยๆ มีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นที่จะเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีลักษณะ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้โกรธเกิดขึ้นเป็นหวานได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ โกรธเกิดขึ้นเปลี่ยนเป็นเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ โกรธเกิดขึ้น แล้วดับไปไหม

    ผู้ฟัง ดับไป

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เคยได้ยินบ่อย แต่ไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้เองสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฎต้องเกิด ไม่เกิดจะปรากฏว่ามีได้อย่างไร เกิดแล้วดับไป อนิจจังไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงควรยินดีควรพอใจไหม ในเมื่อไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ เพียงแค่เกิดแล้วมีชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดสิ้นไป ควรยินดีในสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นปรากฏแสนสั้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ควรยินดีในสิ่งนั้นไหม

    ผู้ฟัง ควรยินดี

    ท่านอาจารย์ ควรยินดี ก็ไม่เหลือแล้วนะ ยินดีก็ต้องเสียใจ ไปยินดีในสิ่งที่ไม่มี การฟังธรรมกับการไม่ได้ฟังธรรมต่างกัน การฟังธรรมโดยผิวเผิน กับการฟังทุกคำด้วยความเคารพอย่างยิ่งเปลี่ยนไม่ได้เลยเป็นปรมัตถธรรม ลักษณะของธรรมชนิดใดเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ด้วยเหตุนี้ควรยินดีในสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปต้องการ หรือไม่ต้องการให้เกิด ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ควรยินดีในสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปไม่เหลือเลยไม่กลับมาอีกเลยไหม

    ผู้ฟัง ไม่ควร

    ท่านอาจารย์ ไม่ควร ตอบแล้ว ครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ถ้าฟังต่อไปอีก ฟังต่อไปอีก ฟังต่อไปอีก กว่าจะถึงเวลาที่เห็นแจ้งตามความเป็นจริงว่าไม่ควรอย่างยิ่งก็อีกนาน แต่จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ไม่ใช่เราตามไปประพฤติปฏิบัติ ตามโดยไม่รู้ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสทุกคำเป็นปัญญา ทุกคำเป็นปัญญาซึ่งเริ่มเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น จึงเกิดขึ้นได้ไม่มีใครไปทำให้เกิด ไม่ว่าจะอยากให้เกิด หรือไม่อยากให้เกิด ก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ ควรเป็นสิ่งที่น่ายินดีติดข้องไหม

    ผู้ฟัง ไม่ควร

    ท่านอาจารย์ ไม่ควร เพราะฉะนั้นจะได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขังอนัตตา สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่มีการประจักษ์แจ้ง แต่จะประจักษ์แจ้งได้เมื่อได้ฟังพระธรรม แต่ละคำด้วยความเคารพ แล้วเข้าใจถูกขึ้น ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ พูดถึงสติ หมายความว่าอะไร พูดถึงสติปัฎฐานหมายความว่าอะไร ไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ไม่สนใจในคำที่ไม่รู้ แต่พระธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำทำให้เข้าใจขึ้น จนเป็นที่พึงเป็นพระธรรมรัตนะ ตกลงไม่คิดที่จะไปหาทางไม่โกรธแล้วใช่ไหม ต่อไปคิดไหม เปลี่ยนไหม หรือว่าตั้งแต่นี้ต่อไปก็ฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น เพราะขณะที่ฟังนี้เอง ความเข้าใจนี้เอง เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้อกุศลทั้งหลายไม่เกิดอีกได้ มิเช่นนั้นแล้วไม่มีทางอื่นเลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง ผมมีปัญหาจะถามท่านอาจารย์สุจินต์ว่า ๑.ที่โกรธ แต่โกรธง่ายหายไวเป็นเพราะอะไร อะไรมาดับคำว่าหายไว ๒.ฟังไปฟังไป อันนี้เป็นคำถามจากผู้อื่นที่ผมได้ยินเมื่อสักครู่นี้ว่า ฟังไป ฟังไป ไม่ต้องปฏิบัติหรอก แต่ใจผมคัดค้านว่าฟังแล้วเข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติด้วยปริยัติเรียนก่อนแล้วก็มาปฏิบัติ แล้วก็ดูผลของการ ปฏิบัติว่าถูกหรือผิดคือปฏิเวธ

    ท่านอาจารย์ ที่เล่ามาแล้วทั้งหมด คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ธรรม

    ท่านอาจารย์ ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคือเรื่องที่เกิดในชีวิตประจำวัน ทุกขณะจิต

    ท่านอาจารย์ เรื่องหรือว่าสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง สิ่งที่เกิดที่มีจริงทุกขณะจิต

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม กรุณายกตัวอย่างด้วย

    ผู้ฟัง ขณะนี้ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ได้ยินเกิดแล้วดับในขณะที่ได้ยิน มีเห็นพร้อมกันกับได้ยินหรือเปล่า

    ผู้ฟัง อันนี้ผมเข้าใจเองว่า ได้ยินกับเห็นนี้ พร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง อันนี้ผมเข้าใจ แต่ความรู้สึก ค้านกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะคิดเอง

    ผู้ฟัง ฟังคำของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าฟัง ถ้าไม่มีตา จักขุปสาทรูป ไม่มีสิ่งที่กระทบตาไม่มีจักขุวิญญาณคือจิตเห็นเกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฏได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ไม่ใช่เราทำ เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน ทำให้ได้ยินเกิดขึ้น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง อาจารย์ทำให้ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ใครทำได้ยินให้เกิดได้ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง หูของผม

    ท่านอาจารย์ หูทำไม่ได้ หูไม่รู้อะไรเลย นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องเทียบว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนคิดเอง เลิกที่จะคิดเองต่อไป เมื่อครู่นี้เราบูชาพระรัตนตรัย เคารพใครสูงสุด

    ผู้ฟัง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เคารพพระธรรมด้วย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เคารพพระธรรมด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ไม่คิดเอง จะคิดเองไหม หรือว่าจะฟังธรรม

    ผู้ฟัง ไม่คิดเอง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นได้ยิน มีใครทำให้ได้ยินเกิดได้บ้าง

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ถูกไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แต่ละหนึ่ง ไม่รวมกัน เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินยังไม่ดับจะมีเห็นไหม

    ผู้ฟัง ต้องดับก่อน แล้วก็เห็นตามมาทีหลัง

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นดับก่อนไหม ได้ยินจึงเกิดได้

    ผู้ฟัง ได้ยินเกิดก่อน แล้วก็ได้ยินดับ แล้วก็ถึงเห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าเห็นเกิดแล้วดับ แล้วจะได้ยินเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง คือผมสับสน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมจะสับสน เพราะไม่เคยรู้ ไม่เคยพิจารณา ไม่เคยไตร่ตรองโดยละเอียด จึงไม่ใช่ความเข้าใจของเราเองที่ถูกต้อง เพียงแต่ว่ารับฟังมา คิดเองบ้าง อ่านบ้างแต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทนต่อการพิสูจน์ เพราะฉะนั้นไม่มีเห็นแล้วมีเห็น แล้วเห็นก็ดับไป แล้วสภาพธรรมอื่นจึงเกิดได้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ เพราะรู้สิ่งที่ปรากฏทีละหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป ไม่ใช่รู้ ๒ อย่างพร้อมกัน เพราะฉะนั้นต้องเป็นจิตต่างขณะ จิตขณะหนึ่งที่เห็นต้องดับไปแล้ว จึงมีจิตที่ได้ยินเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่พร้อมกัน เริ่มจะเข้าใจหรือยัง ถ้าเข้าใจ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ การฟังพระธรรมมีประโยชน์สูงสุดในชีวิต

    ผู้ฟัง มีประโยชน์มาก

    ท่านอาจารย์ มีค่าอื่นเปรียบเทียบได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้ายิ่งเข้าใจต่อไปเป็นรัตนะที่ประเสริฐยิ่ง เพราะว่าทุกคนแสวงหาทรัพย์สิน ลาภยศ สรรเสริญ สุข แต่ลืมว่าก็ต้องจากไป ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยสักอย่างเดียว ชาติก่อนเคยมีทรัพย์สมบัติมหาศาล เคยมีเกียรติยศ เคยเป็นพระราชามหากษัตริย์ เคยเป็นอำมาตย์เสนาบดี เคยเป็นยาจกคนขอทาน เข็ญใจสักเท่าไรก็ผ่านไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป ซึ่งอีกไม่นานก็จะไม่เป็นคนนี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นชาติต่อไปก็สืบเนื่องมาจากชาตินี้ เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ความคิดใดๆ ทั้งสิ้นกรรมใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงกรรมในอดีตด้วย ก็จะเป็นปัจจัยทำให้ไม่มีคนนี้อีกเลย แต่มีคนใหม่ซึ่งสืบเนื่องมาจากคนนี้ จะเป็นอย่างไร

    เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้สะสมปัญญา ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมต่อไป เพราะเหตุว่าแม้จะเป็นกษัตริย์มหาศาล พระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เห็นค่าของพระรัตนตรัย ยาจกเข็ญใจสุปปพุทธกุฎฐิ ขอทานโรคเรื้อนก็ได้ไปเฝ้าฟังพระธรรมแต่จากการที่ได้สะสมความเข้าใจในอดีตชาติมาแล้ว เขาสามารถเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ฟังแล้วไม่เปลี่ยน มั่นคงได้ยินคำว่าปริยัติ ปริยัติหมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง ปริยัตินี้เกิดจากการฟัง

    ท่านอาจารย์ ปริยัติ คือฟังพระพุทธพจน์

    ผู้ฟัง พระพุทธพจน์

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่ใช่แค่ฟัง รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ต่างกันแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้ได้ยินคำว่าธรรม แล้วตอนหลังก็บอกว่า จิตเกิดดับพร้อมกัน ภายหลังเมื่อได้ฟังธรรมอีกก็รู้ว่า จิตเกิดดับพร้อมกัน ๒ ขณะไม่ได้ ต้องแต่ละหนึ่งขณะ นี่คือผลจากการฟังธรรม ไม่ใช่เพียงฟังเผิน เผิน เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังธรรมมากขึ้น มากขึ้น ก็สามารถที่จะเป็นที่พึ่งได้ทุกกาลสมัย แต่ต้องเป็นคนที่ตรง ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรม ทรงแสดงไว้ชัดเจนต้องเป็นผู้ที่ตรงตามความจริงเท่านั้น จึงจะได้สาระจากพระธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละชาติ คิดถึงว่าจะสะสมความเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง หรือว่าจะไปเป็นเปรต จะตกนรก จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อเข้าใจธรรม ผิดคลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้นทิ้งความคิดเดิม เพราะคิดเองบ้าง ฟังคำอื่นบ้างอ่านหนังสือเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ในกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่าเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ละคำเป็นวาจาสัจจะ เพราะได้ทรงตรัสรู้ความจริง ปริยติเข้าใจแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่รอบรู้ ในคำที่ได้ฟัง มั่นคงหรือยัง ว่าทุกอย่างที่มีที่ปรากฏ ที่เกิดขึ้นเช้า สายบ่าย ค่ำ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย เข้าใจมั่นคงหรือยัง

    ผู้ฟัง เข้าใจมั่นคงแล้ว

    ท่านอาจารย์ มั่นคงนะ มั่นคงเมื่อไหร่เป็นสัจจญาณ ก่อนที่จะถึงปฏิปัตติ เพราะเมื่อครู่นี้พูดถึงสติปัฎฐาน และปฏิบัติธรรม แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมเลย จะไม่ถึงปฏิปัตติ เพราะเหตุว่าปฏิปัตติ มาจากคำภาษาบาลีว่า ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง เพราะฉะนั้นปฏิบัติไม่ใช่ใครไปทำ แต่ปัญญาที่ฟังคำเข้าใจขณะนี้ จะนำไปสู่ปัญญาอีกระดับหนึ่ง ที่ถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ทีละหนึ่งซึ่งขณะนี้เกิดดับเร็วมาก แต่ปัญญาระดับนั้นก็สามารถที่จะทำให้ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม ทีละหนึ่ง ด้วยปัญญาที่เข้าใจแล้วจึงสามารถที่จะถึงเฉพาะด้วยความเข้าใจในความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น มิฉะนั้นแล้ว ถ้าปราศจากปริยัติ การฟังที่รอบรู้ถึงสัจจญาณ คือความมั่นคงว่า ธรรมไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เลย แล้วก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ ซึ่งเป็นกิจญาณ เพราะฉะนั้นไม่มีเราเลย

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมด้วยความเคารพสูงสุด เปลี่ยนไม่ได้เลยจนกว่าจะเป็นแสงสว่างที่ค่อยๆ นำทางออกจากความมืดคือความไม่รู้ ความติดข้อง และความเห็นผิด ซึ่งยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นปฏิเวธ ซึ่งเป็น กตญาณ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ พูดถึงปฏิปัตติได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ พูดถึงสติปัฎฐาน ได้หรือยัง

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนา ที่เป็นผู้ตรง

    ผู้ฟัง เมื่อรู้ทั้ง ๓ ข้อ แล้วต้องนำมาปฏิบัติไหม หรือทำให้เกิดปัญญาอะไรเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ทั้ง ๓ ข้อ คืออะไร

    ผู้ฟัง ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้เลย

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้เลย

    ท่านอาจารย์ ก็ปริยัติขณะนี้ แม้แต่คำว่าธรรมเข้าใจมั่นคง

    ผู้ฟัง ต้องให้มั่นคงก่อน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง และเป็นสัจจญาณ ไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง สุปปพุทธกุฎฐิ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ฟังพระธรรมแล้วรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในขณะนั้นเลย เพราะจึงพร้อมด้วยปริยัติ ปฏิปัตติ จึงมีปฏิเวธได้ ไม่ใช่ไม่มีมาก่อนเลย ใช่ไหม ปริยัติสำคัญที่สุด เพราะเหตุว่าขณะนี้สภาพธรรมก็ปรากฏ แต่ทำไมไม่รู้ตามความเป็นจริง เพราะปริยัติไม่พอ ความรอบรู้ในพระธรรมไม่พอไม่ถึงความเป็นสัจจญาณ จึงไม่มีปัจจัยที่จะทำให้สติสัมปชัญญะซึ่งใช้คำว่าสติปัฎฐานเกิดขึ้น รู้เฉพาะรู้ด้วยความเข้าใจตามที่ได้ฟังมาไม่สงสัยเลย ซึ่งขณะนี้เห็นก็มี สงสัยใช่ไหม เพราะปริยัติไม่พอ ไม่ได้ถึงเฉพาะลักษณะของเห็นใช่ไหม เพราะเหตุว่าปริยัติไม่พอ ไม่เป็นสัจจยญาณ นี้เป็นข้อที่ ๑ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อครู่นี้บอกว่าถ้าไม่มีปริยัติ ซึ่งเป็นสัจจญาณอย่างมั่นคง จะไม่มีปฏิปัตติเลยใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปริยัติจะมีปฏิปัตติได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าการฟังพระพุทธพจน์ไม่เป็นความรอบรู้ในความเป็นธรรมมีคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชามั่นคงหรือยัง

    ผู้ฟัง มั่นคงแล้ว

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ถ้ามั่นคงหมายความว่าเดี๋ยวนี้เข้าใจสิ่งที่มี เห็นเกิดไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้ แล้วเห็นก็ดับด้วย มิฉะนั้นจะไม่มีได้ยิน จะไม่มีคิดนึก เพราะฉะนั้นถ้ามั่นคงอย่างนี้ จะนำไปไม่ได้ จะเป็นเราไม่ได้ นอกจากว่าเพราะความเข้าใจอย่างมั่นคง นี่แหละ เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งเฉพาะทีละหนึ่ง ด้วยความเห็นถูกต้อง เพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย เป็นปฏิปัตติ ซึ่งยังไม่ถึงปฏิเวธ เพราะฉะนั้นขณะนี้ถ้ามีความเข้าใจว่าเห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วเหตุปัจจัยมั่นคงจริงๆ จะไปทำอะไรไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้องทำ

    ท่านอาจารย์ ทำไม่ได้ด้วย ถ้าเข้าใจถูกเป็นสัจจญาณ แล้วก็เมื่อเป็นสัจจญาณแล้ว จะทำให้มีการเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยความเข้าใจอย่างที่เข้าใจนี่แหละ ไม่ได้ต่างกันเลยอย่างนี้เลยที่เข้าใจอย่างนี้ เป็นปฏิปัตติ จนกว่าจะรู้แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟังอีก ทุกอย่างตรงทุกคำที่ได้ฟังแล้ว ยังมีข้อ ๓ ไหม

    ผู้ฟัง คือปฏิเวธ จะเกิดได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ปฏิเวธ คืออะไร ก่อนอื่น

    ผู้ฟัง ผลของทั้ง ๒ ข้อ มาให้ผล

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน นั่นเราคิดเอง

    ผู้ฟัง คิดเอง

    ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้เราเลิกคิดเอง เราฟังคำของคนอื่นที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ทำให้เราเข้าใจอะไรได้ เพราะว่าที่พึ่งที่แท้จริง คือพระรัตนตรัย ต้องไม่ลืมธรรมรัตนะ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไม่คิดเอง ไม่ฟังคำของคนอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าคนอื่นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปทำให้เข้าใจอะไรได้ แต่พระธรรมที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงปฏิเวธ ปฏิเวธคืออะไร ถ้าไม่มีการฟังคำว่า ขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นที่เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา ขณะนี้ยังไม่ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แค่ฟังจึงเป็นปริยัติ ขั้นฟังทั้งหมดเป็นปริยัติ ซึ่งรอบรู้เป็นสัจจญาณ มั่นคง จะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนไหม

    ผู้ฟัง ส่วนมากผมขณะที่ป่วย ก็ปฏิบัติที่บ้าน

    ท่านอาจารย์ ผิดเลย ผิดเลย เพราะว่าไม่มีปริยัติ ไม่เข้าใจ แล้วอะไรปฏิบัติ

    ผู้ฟัง คือฟังท่านอาจารย์ ทางวิทยุ

    ท่านอาจารย์ รอบรู้ เป็นสัจจญาณ

    ผู้ฟัง รอบรู้เหมือนกันแต่คงไม่รอบหรอก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทิ้งไปเลยเรื่องปฏิบัติ ทิ้งไปเลยเรื่องสติสัมปชัญญะ หรือปฏิเวธ เพราะไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิด ถ้าไม่มีตาเลย แล้วบอกคนที่ตาบอดบอกให้เห็น ให้เห็น ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ เขาจะเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คนหูหนวกก็ไปบอกเขา ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำแบบนี้แล้วก็จะได้ยิน ก็ผิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปริยัติ ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย เพราะธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย แม้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏมั่นคง ก็จะมีความเป็นเราจะนำไปใช้ มีความเป็นเราจะนำไปปฏิบัติซึ่งผิด ผิดด้วยถูก

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเลิกคิดถึงที่จะปฏิบัติ และปฏิเวธ เพราะถ้าไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ทีละหนึ่ง จะรู้แจ้งประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธรรมรูปธรรม ไม่ใช่เรา อนัตตา นี่ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อไม่ใช่เรา และสิ่งที่มีเป็นอะไร ลักษณะของสภาพธรรมนั้นปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้วเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเป็นปฏิเวธ ทุกคำเหมือนไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมียิ่งด้วยพระปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัลป์ เพราะฉะนั้นเราฟังกี่คำ เพราะฉะนั้นสำหรับคนต่อไปจากชาตินี้ ก็ขอให้มีความมั่นคงในเรื่องความเห็นที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง มิฉะนั้นก็จะหันหลังให้พระสัทธรรม เหมือนพวกเดียรถีย์ พวกนับถือคำสอนอื่น ในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพานแม้พระองค์จะประทับอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ไปเฝ้าไม่ฟังธรรม เพราะคิดเองเข้าใจเอง เชื่อคำของคนอื่น ขออย่าได้เป็นอย่างนั้น ในเมื่อมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำว่าพระรัตนตรัย มิฉะนั้นไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระธรรมที่จะนำทางไปสู่ความเป็นสังฆรัตนะ

    ผู้ฟัง ขอให้อาจารย์แนะนำ พื้นฐานของการที่จะเป็นโสดาบันที่ดีอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ขอคำแนะนำ หรือขอความเข้าใจ สิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ต่างกันแล้วนะ คำแนะนำไม่ทำให้เข้าใจอะไรเลย ให้ทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ นั่นเป็นคำแนะนำ ถูกผิดใครจะรู้ แต่ถ้าเป็นความเข้าใจ เป็นปัญญาของผู้ฟังเอง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะลักขโมยไปได้เลย ติดตามไปเป็นอริยทรัพย์ เพราะฉะนั้นไม่มีการแนะนำ แต่จะมีการที่จะกล่าวถึงธรรมเพื่อที่จะได้เข้าใจขึ้น แล้วก็พิจารณาเอง

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญอาจารย์ กล่าวธรรมเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติตัว การทำใจ ว่าจะทำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ นี่แหละคือว่าทำใจไม่ได้ ฟังให้เข้าใจว่าเป็นอนัตตาเริ่มทิ้งความคิดเดิมที่เราจะทำ เพราะว่าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ก็เป็นเราทำก็ผิดแล้ว เป็นอัตตาแล้ว ไม่ใช่เป็นความเข้าใจว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครสามารถจะไปดลบันดาลให้เกิด หรือทำให้เกิดได้เลย เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา แล้วก็มีสภาพธรรมที่เป็นทั้งกุศล ธรรม และอกุศลธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช้ปัญญาก็รู้ไม่ได้ เมื่อรู้ไม่ได้ก็เป็นอวิชชาเหมือนเดิม แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ทำให้จากความไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    1 พ.ค. 2567