ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๔๖

    สนทนาธรรม ที่ ภูพานเพลส จ.สกลนคร

    วันที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราก็ใช้ภาษากลาง ซึ่งเป็นภาษาบาลี ซึ่งดำรงพระศาสนา เพราะว่าภาษาบาลีมีหลักที่ไม่เหมือนภาษาอื่น กำชับ ความหมาย เปลี่ยนแปลงอะไรทุกอย่างไม่ได้ ให้คลาดเคลื่อนไป ถ้าศึกษาโดยถูกต้องก็จะทำให้สามารถเข้าใจความลึกซึ้งยิ่งขึ้นของธรรมซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัส เพราะฉะนั้นเราคนไทยจะไปแสดงธรรมกับคนอื่น จะลึกซึ้งเท่ากับเราพูดภาษาไทยกันไหม หรือว่าเขาที่ได้เข้าใจภาษาของเขาตั้งแต่เกิด พูดจนชินตั้งแต่เกิด แล้วให้เขามาศึกษาธรรมภาษาไทย เขาจะเข้าใจได้เท่าคนไทยไหม ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมไม่เปลี่ยนไม่ว่าจะภาษาใดทั้งสิ้น แต่ต้องรู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพียงเท่านี้ เป็นการตั้งต้นของทุกคำในพระไตรปิฏก ซึ่งแต่ละคำเป็นปัญญาที่ทำให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ให้ไม่รู้ พูดตามๆ กันแต่ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร อย่างนั้นเป็นพระพุทธประสงค์ที่จะทรงบำเพ็ญพระบารมี ให้สามารถที่จะเกื้อกูลอนุเคราะห์คนอื่น ให้เข้าใจธรรม อย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้หรือเปล่า

    นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า แท้ที่จริงแล้วทุกคำบ่งถึงธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจถูก เข้าใจเมื่อไหร่นั่นคือปัญญา ไม่เข้าใจเมื่อไหร่เป็นปัญญาหรือเปล่า ก็เป็นอวิชชา ไม่รู้ เป็นโมหะ มืดหลง สภาพธรรมกำลังเกิดดับก็เป็นเรา เห็นก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา จำก็เป็นเรา ทุกอย่างที่เกิดแล้วก็ดับไปทันที สืบต่อ ถ้าแยกส่วนของร่างกายออก ให้ละเอียดยิบได้ไหม แยกได้ไหม ให้ละเอียดเลย ดูเหมือนแยกไม่ออกใช่ไหม แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่รวมกันเป็นรูป รูปธรรม หมายความถึง สภาพธรรมที่มีจริงแต่ไม่สามารถรู้อะไรได้

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจคำแรกว่า ธรรมคืออะไร สิ่งที่มีจริง ก็จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงนั้นหลากหลายมาก ถูกต้องไหม เมื่อวานนี้กับวันนี้เหมือนกันหรือเปล่า อาหารที่รับประทานเมื่อวานนี้กับเมื่อครู่นี้เหมือนกันหรือเปล่า รสชาติเหมือนกันเลยหรือว่าต่างกันเป็นแต่ละอย่าง ความรู้สึกที่กำลังรับประทานต่างกันหรือเปล่า ความจำต่างกันหรือเปล่า ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดแล้วดับไป แต่ก็ไม่ขาดการที่สภาพธรรมจะเกิดขึ้นเลย เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ธรรมเกิดปรากฏ แต่ปรากฏกับความไม่รู้ เพราะว่าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นสาวก ผู้ฟังคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำมีความหมาย เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ไม่ใช่ว่าไม่สนใจแต่ละคำ ฟังเผินๆ สาวกก็ผู้ฟัง แต่ความจริง ฟังจริงหรือเปล่า หรือว่าได้ยิน ถ้าฟังจริงธรรมคืออะไร เปลี่ยนไหม เป็นบุญไหม ที่มีโอกาสได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะสิ่งที่มีจริงวันนี้ถ้าไม่เริ่มเกิดขณะแรกจะไม่มีวันนี้ และจากวันนี้ก็จะสิ้นสุดคือการจากโลกนี้ไป ก็ไม่เหลืออีก แล้วมีอะไรที่เป็นเราจริงๆ มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นขอให้มีความเข้าใจถูกในแต่ละคำ เพิ่มขึ้น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ธรรมที่มีจริงหลากหลายมาก ถึงจะมากมายสักเท่าไร กี่โลก เทวโลก พรหมโลก อย่างไรก็ตามแต่ ธรรมก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือธรรมอย่างหนึ่ง มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ธรรมเหล่านั้น เช่น เสียงเกิดขึ้นเป็นเสียง แล้วก็ดับไปไม่รู้อะไร กลิ่นก็เป็นกลิ่น มีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี เป็นธรรม เกิดขึ้นปรากฏว่ามี ต้องเป็นธรรม แต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือธรรมประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นแต่ไม่รู้ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติคำว่า รูปธรรม ถ้าภาษาบาลีก็เป็น รู-ปะ-ธัม-มะ แต่คนไทยก็ตัดสั้นๆ เหลือแค่รูป รู-ปะ ก็เป็นรูป ธรรมะก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเราก็บอกว่ารูปธรรม เพราะฉะนั้นการที่จะสื่อธรรมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนไทย ก็ต้องภาษาสากล คือใช้คำภาษาบาลี ไม่อย่างนั้นก็ต่างภาษากันพยายามจะให้เข้าใจอย่างไรก็เข้าใจไม่ได้ เพราะว่าเสียงก็ต่างใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนใช้คำภาษาเดิมคือภาษาบาลี นอกจากความหมายไม่คลาดเคลื่อน ก็ยังเป็นภาษาสากลที่จะทำให้เข้าใจกันถูกต้องได้

    เพราะฉะนั้น ตอนนี้ธรรมมีจริง ธรรมมากมายหลากหลาย แต่ก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ ธรรมที่มีจริงๆ ต้องเกิดขึ้น แต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นรูปธรรม เพียงแค่นี้ เป็นความเข้าใจของตัวเอง ไม่ว่าใครจะถามหรือไม่ถาม ก็รู้ว่า ธรรมอย่างนี้มีจริงไหม แต่ธรรมอีกอย่างหนึ่ง ตรงกันข้ามเลย ไม่มีสีสัน วรรณะ ไม่มีกลิ่นใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ แล้วดับ เดี๋ยวนี้มีไหม มี เห็นนี่แหละ เกิดขึ้นเห็น ถ้าธาตุนี้ไม่เกิด ไม่มีเห็นแน่ๆ ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เห็นด้วย เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุรู้ บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ใครจะไปทำให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น เห็นเป็นนามธรรม ใช้แค่ ๒ คำก่อน คือธรรมต่างกัน เป็นสภาพธรรมที่เกิด และไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม ส่วนสภาพธรรมซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่เป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นตอนนี้ เท่านี้ เปลี่ยนไม่ได้เลย พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแต่ละคน นักศึกษากลับไปบ้าน ลืมแล้วใช่ไหมว่าอะไรเป็นธรรม แต่ธรรมปรากฏ ทางตา กลับไปบ้านก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส คิดนึก เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมด้วยตัวเอง ว่านั่นคือธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมประเภทไหน เช่น กำลังคิด เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะมีจริงๆ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เริ่มที่จะเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้ววันนี้กลับไปก็ลืมหมด ถึงคนที่ฟังแล้วเพียงแค่ผ่านไป ก็ลืม ลืมว่าเป็นธรรม เมื่อไหร่ที่จะไม่ลืม เห็นไหม ความห่างไกลกันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับผู้ที่เพียงได้เริ่มฟังธรรม แค่จะจำให้มั่นคง ธรรมทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะไปตู่เอามาเป็นเราได้หรือ เห็นเกิดแล้วดับไปแล้ว บอกว่าเราเห็น ถูกหรือผิด ไม่มี และไม่เหลือ

    เพราะฉะนั้นบางคนคิดว่า เกิดขึ้นแล้วดับไปเหมือนยังอยู่ ยังเหลืออยู่บ้าง ยังมีอยู่บ้าง แต่ความจริงถึงที่สุดที่จะทำให้ละการยึดถือ และความสำคัญผิดว่ายังมีเรา ซึ่งเป็นอัตตา ก็คือเมื่อขณะนั้นสภาพธรรมหนึ่งปรากฏเกิดขึ้น แล้วดับไป ไม่เหลือเลย เมื่อนั้นจะเป็นเรา หรือจะเป็นของเราได้ไหม ตายแล้ว รูปที่ตายอยู่ตรงนั้น ยังเป็นเราหรือเป็นของเราได้ไหม ไม่มีทางเลย จิตเห็นเมื่อวานนี้ ไม่ใช่ขณะนี้เลย หรือจิตเดี๋ยวนี้ที่เกิดขึ้นเห็น ต้องดับไปแน่นอน เพราะเหตุว่าขณะที่ได้ยิน ต้องไม่เห็น แล้วความจริงนี้ใครจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่อย่าเผิน และอย่าประมาทในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุที่สมควรไม่ได้เลย แม้ธรรมจะเป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่มีความเข้าใจพอ ที่จะค่อยๆ เข้าใจถูก และคลายการยึดถือว่าเป็นเราได้ ต้องอาศัยความจริง และความตรง ขณะนี้เข้าใจธรรมแค่ไหน คนอื่นตอบได้ไหม ไม่มีทาง ต้องไปตอบคนอื่นหรือเปล่า ก็ไม่จำเป็น รู้ด้วยตัวเองใช่ไหม และก็รู้ว่ามีประโยชน์ไหม ที่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้อะไร ตรัสรู้สิ่งที่กำลังมี ทั้งหมด ถ้าสิ่งนั้นไม่มี จะตรัสรู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มี เดี๋ยวนี้แหละ เดี๋ยวนี้แหละคือเห็น เดี๋ยวนี่แหละคือคิด เดี๋ยวนี้แหละคือจำ ทั้งหมดที่มีจริง เป็นสิ่งที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี คือพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ ดูเหมือนกับฟังเมื่อสักครู่กล่าวถึงเรื่องของการเห็นว่าเป็นธรรม การได้ยินก็เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงทุกอย่างก็เป็นธรรม แต่ใครจะมาบอกว่า เห็นไม่ใช่เราเห็น ฟังก็ดูเหมือนกับต่างกับสิ่งที่เคยเข้าใจ แสดงว่าการเริ่มเข้าใจ แต่ว่ากล่าวอย่างนี้ก็ยังเป็นเราเห็นอยู่ดี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเห็น จะมีเราเห็นไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร แล้วเราเห็นหรือ

    อ.วิชัย แต่ตอนนี้ก็เห็น ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ที่เห็น

    อ.วิชัย มีจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็น เปลี่ยนเป็นไม่เห็น ได้ไหม

    อ.วิชัย ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นเปลี่ยนเป็นได้ยินได้ไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่เกิด จะเห็นไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นตลอดเวลาหรือเปล่า ไม่มีอย่างอื่นเลย มีแต่เห็นเท่านั้นหรือเปล่า

    อ.วิชัย ถ้าเป็นความรู้ละเอียดกว่านั้นก็คือ ไม่ได้ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชั่วขณะที่เห็น เร็วสุดที่จะประมาณได้ นี่เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าใครจะรู้ความจริงอย่างนี้ เพราะว่าไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่บอกให้รู้ว่า ธาตุรู้หรือธรรมที่รู้ สิ่งที่เกิดขึ้นรู้ มี ต่างกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ถ้ามีแต่รูป ไม่มีธาตุรู้เกิดเลย จะมีโลกปรากฏไหม แต่ที่โลกปรากฏเพราะมีธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเลย จะว่ามีก็ไม่ได้ ไม่ปรากฏแล้วจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีเห็น เริ่มพิจารณาไตร่ตรอง คุณวิชัยทำให้เห็นเกิดขึ้นสิ

    อ.วิชัย เพียงลืมตาก็เห็น

    ท่านอาจารย์ เพียงลืมตา แล้วถ้าไม่มีตา ลืมสิ เห็นไหม

    อ.วิชัย ก็ถ้าคนตาบอดก็มองไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ก็มองไม่เห็น มีใครจะทำให้ จักขุปสาทรูปเกิดได้ไหม นี่ไม่รู้ความจริงเลยว่า แม้แต่ที่ว่าเป็นรูปของเรา มีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ หลากหลาย เกิดดับตามสมุฎฐาน คือธรรมที่ก่อตั้งให้รูปนั้นเกิด บางรูปเกิดเพราะจิต บางรูปเกิดเพราะกรรม บางรูปเกิดเพราะอุตุ ความเย็นความร้อน บางรูปเกิดเพราะอาหาร แสดงว่าอาหารที่รับประทานกันทุกวัน เป็นเหตุที่ก่อตั้งให้รูปเกิดขึ้น ตามอาหารที่รับประทานเข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น มีใครอยากท้องเสียไหม แล้วทำไมท้องเสีย อยู่ดีๆ ท้องคงไม่เสีย ถ้าไม่รับประทานอาหารที่ทำให้ท้องเสีย เพราะฉะนั้นแม้แต่อาหารที่บริโภคเข้าไปก็ทำให้รูปเกิด แล้วรูปก็กำลังเกิดดับ ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว ซึ่งจะไปยึดถือว่าสิ่งนี้แหละเรา เห็นเมื่อครู่นี้ ที่คุณวิชัยว่าเป็นเรา เห็นดับแล้ว เพราะฉะนั้นเราอยู่ไหน ในเมื่อขณะที่กำลังเห็นว่าเป็นเราเห็น แต่พอไม่เห็น แล้วเราอยู่ไหน เราอยู่ไหนทุกขณะนี้ ได้ยินก็ดับแล้ว เราอยู่ไหน คิดก็ดับแล้ว เราอยู่ไหน ไม่มีเรา แต่เพราะมีธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นแต่ละหนึ่ง

    ที่น่าสลดใจอย่างยิ่งคือธรรมละเอียดยิบ แต่ละหนึ่ง ที่เกิดดับ ไม่กลับมาอีก ไม่เหลืออีกเลย จะเห็นจริงต่อเมื่อจากโลกนี้ไป แต่ก่อนจากโลกนี้ ก็มีขณะที่ยังไม่จาก แต่ละขณะ แต่ละขณะ สืบต่อไป จนถึงขณะซึ่งกรรมทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย แต่ต้องเกิดแน่นอน เพราะขณะนี้จากตอนเป็นเด็กก็มาถึงตอนนี้ เพราะมีการเกิดขึ้นของธรรมสืบต่อ ตอนเป็นเด็กก็หายไป หมดไป แต่ว่านั่นยังช้า เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ได้ยินก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป คิดนึกเกิดแล้วก็ดับไป ทั้งหมดนี่ถ้าเข้าใจธรรม ก็จะทำให้ไม่หลงยึดถือสิ่งที่เพียงปรากฏเมื่อเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย ไม่มี แต่มีธรรมที่หลากหลายเป็นกุศลธรรม เป็นอกุศลธรรม เป็นผลของกุศลและอกุศล เป็นทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ถ้าเห็นประโยชน์ ก็รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เรานั่งอยู่ที่นี่เท่าไหร่ แค่นี้เอง เพราะฉะนั้นยังมีอีกมากที่ไม่ได้ฟัง และถ้าฟังมากกว่านี้จะเข้าใจมากกว่านี้แน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นคุณวิชัยที่กำลังเห็นหรือเปล่า หรือว่าเห็นเป็นเห็น นี่คือความตรงของธรรม ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เห็นเป็นใครไม่ได้ เห็นเป็นงูหรือเปล่า เห็นเป็นปลาหรือเปล่า เห็นเป็นนกหรือเปล่า กลับกันอีก นกเห็นไหม งูเห็นไหม ตุ๊กแกเห็นไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นตุ๊กแก หรือเป็นคน หรือเป็นนก หรือเป็นงู

    อ.วิชัย เห็นเป็นเห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเห็น เพียงไม่มีรูปร่าง บอกได้ไหม ไม่ได้ แต่พอมีรูปร่างบอกแล้ว นกเห็น งูเห็น คนเห็น แต่ความจริงที่ทุกคนต้องรู้ว่า เปลี่ยนไม่ได้เลย คือเห็นต้องเป็นเห็น จะเป็นใครไม่ได้ เป็นของเราก็ไม่ได้ เพราะอะไร หมดแล้ว แล้วยังไปบอกว่าเป็นของเรา อยู่ไหน ไม่มีที่จะให้เป็นเจ้าของเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นถ้าฟังก็จะมีความเข้าใจถูกต้องว่า เพราะไม่รู้จึงเกิดมา ถ้าดับกิเลสหมดเพราะรู้หมดทั่ว ไม่เกิดอีกเลย พระอรหันต์ทั้งหลายไม่เกิด แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เป็นพระอรหันต์ ต้องมีปัญญาระดับไหน การบำเพ็ญพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว และการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมของพระอริยสาวกทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ก็ต้องมีเหตุ คือปัญญา เพราะถ้าไม่มีปัญญาแล้วอะไรจะไปดับกิเลส กำลังมีกิเลสยังไม่รู้เลย แล้วจะดับได้อย่างไร

    อ.วิชัย เพราะการฟัง ถ้าเข้าใจคือมั่นคง ไม่เปลี่ยน ธรรมนี้เป็นสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ดังนั้น ฟังคำไหน ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างเช่นกล่าวถึงคำว่า เห็น ไม่ว่าจะเป็นกาลไหนๆ วันไหน พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือวันไหนๆ ก็ตาม เมื่อเห็นอย่างนี้เกิด ก็ต้องเป็นเห็นแน่ๆ จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน ดังนั้นถ้ากล่าวว่าไม่มีใครเลย ถูกต้องไหม แต่มีอะไร มีธรรม ถ้าไม่มีเห็น จะมีบุคคลไหม ถ้าไม่มีได้ยิน จะมีบุคคลไหม แต่ว่าธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ใช่แค่นี้ ดังนั้นความรู้ต้องต่างกับตอนก่อนฟังพระธรรมแน่นอน เพราะก่อนฟังพระธรรมยึดถือ ใช่ไหม เป็นเราทั้งหมดนี้เลย เพราะอะไร เพราะไม่รู้ความจริง แต่เมื่อกล่าวสักครู่นี้กล่าวถึงธรรมทีละอย่างเพื่อเข้าใจว่า ที่ยึดถือว่าเป็นเรา จริงๆ คืออะไร

    ท่านอาจารย์ แต่ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก พอจะเข้าใจหรือไม่ว่า ถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีเรา แต่เมื่อมีธรรม เพราะไม่รู้ จึงยึดถือธรรมแต่ละธรรมว่าเป็นเรา เช่นเดี๋ยวนี้เห็น เราเห็น เห็นไม่ใช่เรา เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นดีใจไหมที่ไม่มีเรา หรือเสียใจที่ไม่มีเรา กว่าจะเป็นผู้ตรง ธรรมเกิดแล้ว ตรงตามธรรมในขณะนั้น เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก แม้แต่สิ่งที่เกิดแล้วดับ ก็บอกไม่ได้เพราะดับแล้ว แต่ต้องกำลังมี จึงสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นถ้าจะทบทวนที่ได้ฟังมาแล้ว รู้ว่าไม่มีเรา แน่ใจไหม มั่นคงไหม ว่ามีแต่ธรรมซึ่งเกิดดับ และถ้ารู้อย่างนี้ ดีใจไหม หรือว่าเสียใจที่ไม่มีเรา เสียดายที่ไม่มีเรา หรือว่าได้รู้ความจริง เมื่อไม่มีเราก็รู้ให้ถูกต้อง ว่าไม่มี หลงยึดถือว่าเป็นเรา ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ก็สามารถที่จะทำให้ ตามความเข้าใจไปยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเข้าใจมั่นคงว่าไม่ใช่เราแน่ๆ ตอนนี้ฟังแค่นี้ก็เริ่มจะคิด เข้าใจบ้างว่าเป็นเราไม่ได้แน่นอน แต่การสะสมความเป็นเราก็นานแสนนานในสังสารวัฎ ที่จะให้หมดความยึดถือว่าเป็นเราทันที เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่าเป็นผู้ตรง ขณะนี้ความรู้ขั้นฟัง การฟังพระธรรมทำให้มีความเข้าใจ แต่ต้องเข้าใจอย่างรอบรู้ หมายความว่าไม่เปลี่ยนแปลง เช่นพอได้ยินคำว่าธรรมแล้ว คนอื่นบอกว่านั่นไม่ใช่ธรรม ทั้งๆ ที่มีจริงๆ เขาพูดถูกหรือเปล่า เขารู้ความจริงหรือเปล่า ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้ความจริงว่าธรรมคืออะไร และเป็นธรรมอะไร เขาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าคำของใครไม่จริง และคำใดถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ และมีความเข้าใจมั่นคงว่า ไม่มีเราแน่ถ้าไม่มีธรรม ถูกต้องไหม แต่เพราะมีธรรมจึงเข้าใจว่าธรรมเป็นเรา เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจถูกจริงๆ ก็คือเริ่มเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย ให้มั่นคงว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าตราบใดที่มีความเข้าใจว่าเรา เข้าใจถูกหรือเข้าใจผิด เห็นไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรงตั้งแต่ต้น

    จากการไม่เข้าใจเลย เป็นปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส และความไม่รู้ อันธพาล มืดบอดสนิทเลย หลายคนฟังครั้งแรกก็ต้องงงกันทุกคน อยู่ดีๆ เป็นเรามาตั้งนานแสนนาน แล้วบอกไม่มีเรา มีแต่ธรรม ก็แย่แล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรอง และก็ความจริงต้องเป็นความจริง ทั้งๆ ที่เป็นธรรมแต่เพราะไม่รู้ความจริงก็ต้องยึดถือว่าเป็นเรา เพราะว่าเคยติดข้องมานานแสนนาน นานเท่าไหร่คุณวิชัย ที่ยึดถือว่าเป็นเรา

    อ.วิชัย ประมาณไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว

    อ.วิชัย ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว

    ท่านอาจารย์ แล้วจะให้หมดการยึดถือว่าเป็นเรา นานเท่าไหร่กว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ บอกได้ไหม บอกไม่ได้ เหมือนกับที่ไม่รู้เลย ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่สามารถที่จะรู้ว่าแต่ละจิตที่สะสมมา ต่างกันหลากหลายมีอะไรบ้าง ถ้าไม่เกิดขึ้นปรากฏให้รู้ว่ามี อย่างโกรธนี่ ถ้าวันนี้เราไม่โกรธ เหมือนไม่มีความโกรธ เหมือนเป็นคนไม่โกรธ แต่พอโกรธเกิดขึ้น รู้เลย เพราะฉะนั้นจากคนที่เคยดี เพราะยังไม่มีเหตุที่จะให้ทำสิ่งที่ไม่ดี

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    5 เม.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ