ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๐๐

    สนทนาธรรม ที่ วัดคูหาสวรรค์ จ.ราชบุรี

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ งง เป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง งง เป็นธรรม เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่เริ่มเข้าใจถูกต้อง งง เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง งง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไรเป็น

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม นี่เริ่มรู้จักแล้ว เริ่มรู้จักนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ซึ่งต่างกับรูปธรรม รูปธรรมไม่งง แน่ใช่ไหมไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแม้แต่สภาพที่งง ก็ไม่ใช่เรา ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจนกระทั่งดับกิเลสได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพื้นฐานก็คือว่าต้องเข้าใจแต่ละคำ ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์โดยไม่ประมาท แล้วสงสัยอะไรเลย ตอนนี้ปรุงแต่งเห็นไหม เริ่มจากการที่ฟังไปทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เข้าใจตามลำดับว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น ต่อไปจะรู้เลยว่าแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ ที่นั่นมีสิ่งใดที่เป็นที่อาศัยให้เกิดขึ้นปรุงแต่ง ใช้คำว่าปรุงแต่งอาศัย ก่อนที่จะฟังธรรมเข้าใจคำว่าธรรมไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจไม่ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

    ท่านอาจารย์ ไม่ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วพอฟังแล้ว จำได้ไหมว่าธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกขณะจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จำ มีจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จำ มีจริง

    ท่านอาจารย์ จำ เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจถูกที่จะรู้ว่าไม่มีเรา ปรุงแต่งให้คิดหรือเปล่า ถ้าไม่จำจะคิดอย่างนี้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่คิด

    ท่านอาจารย์ แต่เพราะจำคำว่าธรรม และได้ยินคำว่าธรรมหลายๆ คำ เพราะฉะนั้นสภาพจำ ก็จำ ความเข้าใจเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นทั้งจำ และเข้าใจ ก็ทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นธรรมที่เกิดขึ้น เพียง ๑ ขณะในสังสารวัฎ แข็งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย กระทบใหม่เป็นแข็งใหม่ เกิดใหม่ดับใหม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสังสารวัฎไม่ใช่เก่า แล้วกลับมาเกิด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ย้อนกลับไปอีกเลย แต่ว่าสิ่งที่เกิดแล้ว ดับไปแล้วก็จริง แต่เพราะเคยเกิดแล้วก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเป็นอะไร เช่น ก่อนฟังธรรมไม่เข้าใจธรรม จำเรื่องอื่นหมดเลย แต่พอฟังธรรมจำ และเข้าใจ ก็ทำให้วันนี้เข้าใจเพิ่มขึ้น ปรุงแต่งแล้ว จากขณะก่อนซึ่งไม่มีความเข้าใจมาก เป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้นี่เป็นเพียงสิ่งที่น้อยนิดใน ๔๕ พรรษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นความจริงถึงที่สุด ซึ่งใครก็ปฏิเสธไม่ได้ แล้วก็มั่นคงในการที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะเห็นว่าเป็นคำที่เกิดจากการตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่คำว่าอาศัยกันเกิดขึ้น ต่อไปก็จะรู้ได้ว่าแม้แต่เห็นที่เกิดเป็นเห็น ต้องมีนามธรรมซึ่งปรุงแต่ง ทำให้ขณะเห็นเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ก่อนอื่น สภาพธรรมเป็นหนึ่งใช่ไหมคือทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็เป็น ๒ ทรงจำแนกเป็นรูปธรรมกับนามธรรม นามธรรมม ๒ อย่าง นามธรรมคือธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เวลาได้ยินเสียง มีได้ยินกับเสียงอะไรเป็นรูปธรรม ได้ยินได้ยินเสียง ฟังดีๆ น

    ผู้ฟัง ได้ยินกับเสียงใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเสียง ได้ยินเสียง ได้ยินโดยไม่มีเสียงให้ได้ยินได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เสียงปรากฏโดยไม่มีได้ยินได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่เสียงปรากฏ ต้องมีได้ยิน ในขณะที่ได้ยินต้องได้ยินเสียง ไม่ใช่ได้ยินอย่างอื่น ต้องเฉพาะเสียง เสียงมีหลายเสียงไหม

    ผู้ฟัง มีหลายเสียง

    ท่านอาจารย์ หลากหลายไหม

    ผู้ฟัง หลากหลาย

    ท่านอาจารย์ เสียงที่ดับไปแล้วกลับมาเกิดอีกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ นี่คือเริ่มเข้าใจความจริงว่าไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้ปรากฏแล้ว ดับแล้ว จะกลับมาอีกได้ จึงจะถึงขณะที่เห็นว่าการที่ต้องได้ยินก็ไร้ประโยชน์ จากไม่เคยได้ยินเลย แล้วได้ยินแล้วก็ไม่มีได้ยิน จากไม่มีเสียงเลย เสียงก็ปรากฏ แล้วเสียงก็หมดไปแล้วไม่กลับมาอีก ไม่ใช่เฉพาะเสียง และได้ยิน ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทำให้รู้ความจริง จนสามารถที่จะละคลายความไม่รู้ และความติดข้อง และกิเลสตามลำดับขั้น ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ถ้าไม่ใช่คำต่างๆ เหล่านี้ที่ทำให้เข้าใจ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าทุกคำเป็นคำของปัญญา ที่ทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ไตร่ตรองเริ่มเข้าใจถูกแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นได้ยิน ขณะนั้นเป็นธาตุที่รู้แจ้งลักษณะของเสียง เดี๋ยวนี้มีหลายเสียงไหม

    ผู้ฟัง มีหลายเสียง

    ท่านอาจารย์ ต่างกันใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะจิตเป็นธาตุที่รู้แจ้งแต่ละเสียง จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าเสียงต่างกัน พอพูดโทรศัพท์ไม่เห็นหน้าเลย จำเสียงได้ใช่ไหมว่าเสียงใคร

    ผู้ฟัง จำเสียงได้ จากการจินตนาการ

    ท่านอาจารย์ สภาพจำมีจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นที่เคยจำเสียงนั้น ทำให้เวลาที่ได้ยินอีกครั้งหนึ่งก็ปรุงแต่งให้สภาพจำเสียงนั้นเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ เริ่มต้นก็เพียงแต่รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้สิ่งนั้นต้องมีธรรมที่อาศัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้ และต่อไปพระผู้มีพระภาคจะทรงจำแนกโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะคุ้นเคยกับตัวเห็นว่าเป็นธรรม ค่อยๆ คลายความเป็นเรา กว่าจะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง และเป็นเราได้ อีกนานไหม ที่จะเป็นอย่างนี้ ที่จะเข้าใจถูกต้องว่าเดี๋ยวนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงปรากฏแล้วหมดไป ไม่น่าที่จะยินดี ติดข้อง เพราะไม่เหลือเลย อีกนานไหมกว่าจะเป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง อีกนานไหม?

    ท่านอาจารย์ นานเท่าไหร่ จะรู้จริงๆ อย่างนี้ จะประจักษ์การเกิดดับอย่างนี้ จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงอีกนานไหม

    ผู้ฟัง ถามถึงผมใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถามถึงผู้ฟังที่ว่าเข้าใจอย่างนี้ ทุกคำที่พูดนี่ประจักษ์แจ้งได้ เป็นปฏิเวธ แต่ต้องมาจากปริยัติ จนกว่าจะถึงปฏิปัตติ จนกว่าจะถึงปฏิเวธ เพราะการประจักษ์การเกิดดับเป็นปฏิเวธ ซึ่งต้องมาจากปริยัติต้องเข้าใจก่อน เพราะฉะนั้นถามว่า ที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมขณะนี้ได้อีกนานไหม

    ผู้ฟัง นาน

    ท่านอาจารย์ นานเท่าไหร่

    ผู้ฟัง ประมาณค่าไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะแล้วแต่ปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิดเลยไม่เจริญเลย แล้วจะไปรู้อย่างนี้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทำลายความหวัง ความติดข้อง ความเป็นตัวตนว่า หวังก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย เริ่มเข้าใจความเป็นจริงว่า แม้แต่ความโกรธถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจสวยๆ งามๆ ขณะนั้นโกรธ

    ผู้ฟัง ไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ได้ยินเสียงที่น่าพอใจ ขณะนั้นโกรธไหม

    ผู้ฟัง ไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแม้ความโกรธก็ต้องมีเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกก็ต้องมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจสภาพธรรมที่ปรุงแต่ง ใช้อีกคำหนึ่งก็คือว่า " ปัจจัย " นั้นเอง

    ผู้ฟัง ก็คือจะต้องมีสิ่งที่มีปัจจัยมาร่วมด้วย

    ท่านอาจารย์ ทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดได้ ไม่ลืมนะ

    ผู้ฟัง ไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ ฟังต่อไปอีก ทบทวนเมื่อไหร่เป็นสาธยายเมื่อนั้นภาษาไหนก็ได้ ในใจก็ได้ เพราะเหตุว่าสาธยายในใจก็เหมือนกัน แต่เพียงไม่มีเสียงดังออกมาเท่านั้นเอง นี่เป็นประโยชน์ของการฟัง ขอให้การได้เห็นได้ฟังทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ ผมยังข้องใจว่าความเอิบอิ่ม อาโปธาตุ ธาตุน้ำนี่เป็นยังไง

    ท่านอาจารย นี่คือคำ ซึ่งไม่ใช่คำแต่ต้องเป็นลักษณะที่มีจริง โดยอาศัยคำที่ทำให้เข้าใจได้ แต่ความเข้าใจต้องไตร่ตรอง แม้แต่คำว่าเอิบอิ่มกับเอิบอาบ ต่างกันไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ จิตไม่ใช่ธรรมอย่างเดียวกัน ต่อไปนี้พอได้ยินว่าธรรม กรุณาไตร่ตรองว่าธรรมอะไร นามธรรมหรือรูปธรรม ไม่ใช่ธรรมเปล่าเปล่าๆ เพราะเหตุว่าลักษณะของธรรมต่างกัน เหตุที่จะให้ปัญญาเจริญคือไตร่ตรอง พิจารณาเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ไม่ใช่ว่าไตร่ตรองด้วยความคิดของเราเอง ได้ยินแค่ธรรมคำเดียวคิดเรื่องอื่นหมดเลย ไปเอาคำอะไรก็ไม่รู้มาอธิบายคำว่าธรรม เป็นเล่มๆ ก็มีนั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าจะเป็นความเข้าใจคำที่ลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือว่า พิจารณาคำที่ได้ยินแล้วไตร่ตรองเท่าที่ได้ยินแล้ว และก็เข้าใจเพิ่มขึ้น ถ้าเกินกว่าที่ได้ยินหมายความว่าคำของเราเอง คิดของเราเอง

    ผู้ฟัง คำถามของผม ช่วงนี้ก็จะเป็นคำถามสำหรับบิดามารดาซึ่งมีความคิดที่จะส่งลูกหลานเข้าไปบวชในภาคฤดูร้อน บิดามารดาควรจะมีความรู้เช่นใดก่อนที่จะส่งลูกเข้าไปบวช

    ท่านอาจารย์ ก็ส่วนใหญ่ ต้องการที่จะให้ลูกบวช แต่ทราบหรือเปล่าว่าบวชคืออะไร เพราะว่าการที่จะเป็นสาวก หรือผู้ฟังพระธรรมไม่ใช่ว่าฟังเผิน เผิน แต่ฟังแล้วก็มีความเข้าใจถูกต้องทุกคำ เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องเข้าใจถูก พอพูดว่าบวชคืออะไร ทั้งหมดทุกคำต้องคืออะไร ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น คำว่าบวชเป็นคำไทย ภาษาบาลีก็มาจากคำว่า ป+วช (ปะ-วะชะ) หมายถึงผู้เวันโดยทั่วโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ที่เว้นความติดข้องเหมือนอย่างที่คฤหัสถ์มี คฤหัสถ์เป็น เว้นจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด แล้วก็เป็นผู้ที่สละทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สมบัติ อาคารบ้านเรือน ที่นา เป็นต้น เพื่อมุ่งสู่เพศที่สูงยิ่งคือเพศบรรพชิต เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้นน เพราะฉะนั้นผู้ที่จะบวช ไม่ใช่จะบวชได้โดยง่าย เพราะเหตุว่าต้องเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยจริงๆ เป็นผู้ที่น้อมไปในเพศที่สูงยิ่งเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ที่บวชเป็นเพศบรรพชิตได้ เหมือนกับผู้ที่เป็นบรรพชิตในสมัยพุทธกาลเป็นพระราชาก็มี เป็นลูกเศรษฐีก็มี สละทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาลัย ไม่ยินดีในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเลย เหมือนกับก้อนเขฬะ คือก้อนน้ำลายที่ถ่มแล้วไม่สามารถที่จะนำกลับมาได้อีก เช่นเดียวกันผู้ที่จะบวชก็ต้องเป็นผู้มีอัธยาศัยถึงอย่างนั้น สละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อมุ่งสู่ความเป็นบรรพชิต เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากอย่างยิ่งสำหรับความเป็น บรรพชิตจริงๆ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ บุคคลในครั้งนี้อยากให้บุตรบวช แต่บุคคลในครั้งโน้นไม่อยากให้บุตรบวช มีผู้ที่เป็นเศรษฐีมั่งมี มีบุตรชายคนเดียว บุตรชายก็ได้สะสมปัญญาที่เห็นประโยชน์ของการที่จะสละสิ่งซึ่งติดข้องทั้งปวง เพื่อสิ่งที่ประเสริฐกว่า เพราะเหตุว่าการไม่รู้ความจริงจึงทำให้ติดข้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเที่ยง แต่ความจริงเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอายุสั้นมาก ตามความเป็นจริงจากผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินั้นชาติเดียว ฟังมาแล้วมากในชาติก่อนๆ คุ้นหู และก็คุ้นกับความที่จะเข้าใจธรรม ว่าสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ต้องเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไปเร็ว จนกระทั่งปรากฏว่าไม่ดับไปเลย เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังอย่างนี้จนกระทั่งเห็นประโยชน์ว่า แล้วจะติดข้องอะไรกับสิ่งที่มีจริงชั่วคราวเพียงปรากฏแล้วหมดไปแล้วไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นบุตรชายคนเดียวของมารดาบิดา แต่ก็เห็นประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือการที่จะได้มีการที่เข้าใจถูกต้องในสภาพความจริงของธรรม เพราะฉะนั้นก็ใคร่ที่จะบวช แต่มารดาบิดาในครั้งนั้นไม่อนุญาตให้บวช เพราะติดข้องในบุตรี มีบุตรเพียงผู้เดียว และก็มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ผู้ที่จะบวชคือผู้ที่สละ สละทุกอย่าง สละมารดาบิดาด้วย เพราะฉะนั้นมารดาบิดาในครั้งนั้นรู้ว่าถ้าบุตรบวชก็คือว่าไม่ใช่บุตรอีกต่อไป ที่จะเป็นบิดามารดาอีกต่อไปไม่ได้ เพราะว่า สละมารดาบิดา บุตรธิดา วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติทุกอย่างเพื่อที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะรู้ยากความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว่าก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่จริง ยากที่จะรู้ได้ แต่สามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นความคิดที่จะบวช หรือไม่บวช ก็เป็นความต่าง ฟังธรรมด้วยกัน คนที่จะบวชก็มี คนที่จะไม่บวชก็มี เพราะรู้ว่าการรู้แจ้งความจริง ไม่ต้องในเพศบรรพชิตก็สามารถที่จะรู้ความจริง ดับกิเลสเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระอนาคามีบุคคลได้ และก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้เมื่อไร เมื่อนั้นจึงละอาคารบ้านเรือนเพราะว่าไม่มีชีวิตที่จะเป็นไปอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ต้องมีความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงอยาก หรือว่าตามๆ กันไปโดยไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าการบวชคือการสละทุกอย่าง ถ้ามารดาต้องการให้บทบวช มารดานั้นก็ต้องไม่มีบุตรไม่มีบุตรได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็คือว่าแล้วจะให้บวชทำไม ด้วยเหตุนี้ถ้าเป็นผู้ที่คิดว่าไม่มีบุตรได้ ให้เขาไปอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถ้าจิตของมารดาเป็นอย่างนี้ จึงให้บุตรบวช เพราะเหตุว่าเมื่อสละบุตรให้บวชแล้วก็ ไม่มีบุตรอีกต่อไป เพราะฉะนั้นไม่ใช่ บิดามารดาในยุคนี้ มีบุตรก็อยากให้บุตรบวช แต่ไม่รู้ว่าการบวชคืออย่างไร และก็เป็นโทษมาก ถ้าบุคคลนั้นไม่รู้ประโยชน์ของการบวช บวชเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นผู้บวชทุกท่าน จะต้องรู้จักพระธรรมวินัย และรู้ประโยชน์ว่าการบวชไม่ใช่เพียงแต่ไปขออุปสมบท แล้วก็ได้ทำพิธีตามที่ได้ทรงอนุญาตไว้ แต่ต้องเป็นผู้ที่จริงใจ ที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ซึ่งพระผู้มีพระภาคเป็นพระองค์เดียวที่จะทรงบัญญัติพระวินัยได้ เพราะทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์โลก โดยละเอียดยิ่ง

    เพราะฉะนั้นถ้าท่านใดไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ ท่านผู้นั้นก็เป็นพูดตรง คือไม่ได้มีอัธยาศัยที่จะเป็นพระภิกษุต่อเมื่อใดท่านนั้นเป็นผู้ที่ได้เข้าใจพระวินัยแล้ว แล้วสามารถที่จะรู้ว่าตนเองจะอยู่เป็นสุขเมื่อได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย และก็เมื่ออุปสมบทแล้ว ไม่ใช่ว่าเพียงเฉยๆ แต่ต้องรู้ว่าอุปสมบททำไมเพราะเหตุว่ามีกิเลสมาก และการที่จะขัดเกลากิเลส ก็เป็นได้ทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต แต่เมื่อสะสมมาที่จะขาดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตจริงๆ จึงอุปสมบทด้วยการประพฤติตามพระวินัย และศึกษาพระธรรมมด้วยเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นการขัดเกลากิเลสถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรม ขัดเกลาไม่ได้ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้วอะไร ก็ขัดเกลากิเลสไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ก็เป็นสิ่งซึ่ง ยุคนี้สมัยนี้ห่างไกลจากการศึกษาพระธรรม และพระวินัย เพราะฉะนั้นก็กระทำสิ่งซึ่งเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วเป็นโทษ ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงถึงประโยชน์ และความจริงใจต่อการที่จะอยู่ในเพศของคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต เพราะฉะนั้น มารดาบิดาไม่ใช่ผู้บวชแต่ให้คนอื่นบวช ตัวเองไม่ได้ขัดเกลากิเลสแต่จะให้คนอื่นเขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิติ เป็นสิ่งซึ่งไม่เป็นเหตุเป็นผล และก็ไม่เกิดประโยชน์ด้วย เพราะเหตุว่าถ้าบุตรไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย และไม่ได้ศึกษาพระธรรมเป็นโทษแก่บุตร

    อ.คำปั่น ขออนุญาตแสดงความเห็นในประเด็นที่ท่านอาจารย์ที่สนทนาเมื่อสักครู่นี้กับคุณปริญญาในความเห็นที่ว่า ผู้ที่เป็นมารดาบิดา เมื่อให้บุตรเข้าไปบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จะได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ จริงๆ ไม่มีในคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพราะว่า แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกัน ไม่มีการที่จะเอาความดีของใครไปแบ่งให้แก่ใครได้ แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ถ้าหากว่าผู้ที่เป็นมารดาบิดา มีความประพฤติที่ดีงาม เป็นผู้ไม่ประมาทในการสะสมความดี ความดีก็เป็นที่พึง สำหรับผู้ที่เป็นบิดามารดา เมื่อความดีให้ผล ก็ให้ผลที่ดีที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจเท่านั้น ผู้ที่บวชก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่ามีความประพฤติตามพระธรรมวินัยจริงๆ ศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ แล้วก็น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัยโทษภัยใดๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่ามีการประพฤติผิดล่วงละเมิดพระวินัย ไม่มีเห็นโทษ ไม่มีความละอาย ไม่มีความยำเกรงต่อพระรัตนตรัย ต่อสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ มีโทษอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าเป็นโทษที่เกิดขึ้นในเพศที่สูงยิ่ง เพราะว่าเป็นเพศที่สูงกว่าความเป็นคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นความประพฤติอะไรก็ตาม ที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็เป็นโทษ

    สำหรับผู้ที่บวชแล้วก็คงจะได้ศึกษาจากพระไตรปิฎกใช่ไหม ว่าผู้ที่เป็นบรรพชิตในกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามกัสสป ทั้งผู้ที่เป็นพระภิกษุ ภิกษุณี และก็ผู้ที่มุ่งที่จะบวชเป็นภิกษุณีที่เป็นสิกขมานา สามเณรี และสามเณรที่ประพฤติไม่ดี ประพฤติลามกมี ความประพฤติที่ทราม ละจากความเป็นบรรพชิตในภพนั้นชาตินั้นเกิดในนรก พอพ้นจากการเกิดนรก ท่านก็แสดงไว้ว่าเกิดในนรกนานมาก จากช่วงเวลาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งไปถึงอีกพระองค์หนึ่ง ก็พ้นจากความเป็นสัตว์นรก พอพ้นจากความเป็นสัตว์นรกแล้ว ก็เกิดเป็นเปรต พระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นเปรต แล้วก็เป็นเหตุให้พระลักขณะ ได้ถามว่าท่านพระมหาโมคคัลลานะแสดงอาการแย้มให้ปรากฏ มีเหตุผลอะไร แล้วก็ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระมหาโมคคัลลานะก็ได้แสดงว่าได้เห็นเปรตซึ่งเป็นบรรพชิต เปรตในรูปร่างของบรรพชิต ทรงบาตร ทรงจีวรเหมือนบรรพชิตทุกประการ แต่ว่าถูกไฟแผดเผาได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย แล้วอย่างนี้พ่อแม่จะไปเกาะชายผ้าเหลืองได้อย่างไรเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง และเป็นไปตามกรรมของตัวเองเท่านั้น ไม่มีการแบ่งกรรมของตนให้แก่ใครได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาทีเดียวว่า ถ้าหากว่าบวชเข้าไปแล้วจริงๆ แต่ว่าไม่ได้น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย มีโทษอย่างยิ่ง

    กราบท่านอาจารย์แล้วทีนี้พอ ได้ฟังในประเด็นที่คุณปริญญาที่สนทนากับท่านอาจารย์ ถึงว่าผู้ที่เป็นบิดามารดามีความประสงค์จะให้บุตรบวชภาคฤดูร้อน พอได้ฟังในวันนี้แล้ว ว่าอาจจะเพิ่มพูนความเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร แล้วที่นี่แนวทางในการประพฤติปฏิบัติของผู้ที่เป็นบิดามารดา ในเมื่อไม่สามารถที่จะให้บุตรได้บวชในช่วงฤดูร้อนนี้ เพราะว่าได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้วว่าการบวชเป็นเรื่องอัธยาศัยจริงๆ ของผู้นั้น แล้วอย่างนี้ผู้ที่เป็นบิดามารดา มีหน้าที่มีกิจที่ควรทำอย่างไรที่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย

    ท่านอาจารย์ สิ่งหนึ่งซึ่งมารดาบิดาทั่วไปต้องการ คือต้องการให้บุตรทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เป็นคนดีอย่างนั้น เป็นคนดีอย่างนี้ แล้วตัวมารดาบิดาเป็นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะให้ลูกเข้าใจธรรม มารดาบิดาเข้าใจหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าต้องการให้คนอื่นเป็นแต่ว่าตัวเองไม่เป็น เพราะฉะนั้นก็จะได้ยินคำนี้บ่อยๆ ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐ แล้วก็สามารถที่จะทำให้คน เป็นคนดีเมื่อเข้าใจธรรม พูดได้แต่ทำหรือเปล่า สามารถที่จะทำให้คนเป็นคนดีได้เมื่อเข้าใจธรรมแล้วเข้าใจธรรม หรือเปล่า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    4 พ.ค. 2567