ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๔๘

    สนทนาธรรม ที่ ภูพานเพลส จ.สกลนคร

    วันที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครอยากเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานใช่ไหม ไม่มีใครอยากเกิดในนรก ไม่มีใครอยากเกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย อยากเกิดเป็นอะไร เป็นเทวดา เพลินเลย แต่ว่าทุกชั้นของภพภูมิที่เป็นภูมิที่ดีคือสุคติ มีศาลาสุธรรมา ที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ต้องห่วงถ้าทำดี สนใจธรรม ก็รู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นเทวดาตลอดไปได้ไหม ก็ไม่ได้ หมดผลของกรรมที่ทำให้เป็นสิ่งนั้นๆ คนนั้นๆ ภูมินั้นๆ ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ มากขึ้นๆ ทุกชาติ เพิ่มขึ้นด้วย

    เพราะฉะนั้นการได้เข้าใจธรรมไม่เสียประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีความเสียหายใดๆ เพราะว่าเป็นความจริง และเมื่อเป็นความจริงคือปัญญา ปัญญาเห็นถูกต้อง ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ปัญญานั่นเองก็จะรู้ว่าควรจะอบรมเจริญสิ่งใดให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญญาแล้ว ความดีทั้งหลายก็เจริญขึ้น ความไม่ดีทั้งหลายก็ลดน้อยลง จนไม่เหลือได้ ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าไม่รู้อย่างนี้แล้ว ไปคิดว่าจะเป็นพระอรหันต์ได้ โดยไม่เข้าใจความจริงอย่างนี้ ถูกไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเหตุกับผลต้องตรงกัน

    อ.วิชัย ดังนั้นเราคงได้ยินคำว่าปฏิบัติธรรม เราเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรมหรือเปล่า หรือถ้าถามอีกว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม ปฏิบัติธรรมได้ไหม คิดว่าอย่างไร เพราะพระธรรมเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ และเมื่อเข้าใจต้องมั่นคง ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้รู้จักธรรมเมื่อสักครู่นี้เลย ปฏิบัติธรรมได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ขอถามให้ความเป็นผู้ตรง แล้วจะปฏิบัติธรรมไหม ต้องเป็นผู้ตรง ฟังธรรมจะไม่ได้สาระถ้าไม่ตรง เพราะธรรมตรงอย่างยิ่ง ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ เมื่อไม่รู้จักธรรม ไม่เข้าใจธรรม แล้วจะปฏิบัติธรรมไหม ถ้าไม่ปฏิบัติ ถูกไหม เพราะว่าไม่รู้จักธรรมแล้วจะไปปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่เพื่อเป็นเราจะดับกิเลส แต่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ต่างกันแล้วใช่ไหม ฟังแล้วอยากดับกิเลส โลภะมาแล้ว รู้อะไรที่จะไปดับกิเลส แล้วกิเลสมีเท่าไหร่ที่จะดับ แล้วกิเลสอะไรที่จะต้องดับก่อน ก็ไม่รู้ทั้งสิ้น แล้วจะดับอะไร แค่นี้ แล้วอะไรที่อบรมเจริญแล้วจึงดับกิเลสได้ ไม่ใช่เรา เพราะไม่มีเรา และธรรมฝ่ายอกุศลทั้งหมดดับกิเลสไม่ได้เลย แล้วธรรมฝ่ายดีถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญา ดับกิเลสไม่ได้

    เพราะฉะนั้นพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือทุกคำให้เกิดปัญญา ถ้าไม่เกิดปัญญาแล้ว ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำของคนอื่น แล้วไม่ทำให้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นการเข้าใจ การฟังธรรมเป็นมงคล ถูกต้องไหม การสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะว่าเมื่อฟังธรรมแล้วก็มีการสนทนาที่จะทำให้เข้าใจธรรมขึ้น ให้มีความมั่นคงขึ้น เช่นฟังแล้วก็ถามว่าเมื่อไม่รู้จักธรรมแล้วจะปฏิบัติธรรมไหม

    ผู้ฟัง ดิฉันเป็นครู เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ เป็นข้าราชการบำนาญอยู่ที่นี่ ดิฉันอยากเข้าใจคำว่า "เรา" ดิฉันจะไม่ถามว่าเราคือใคร แต่เราคืออะไร เพราะไม่ว่าเราจะทำ หรือจะพูดอะไรก็แล้วแต่ อธิบายธรรมอย่างที่ท่านอาจารย์อธิบายมา ก็ยังใช้คำว่าเรา ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าไม่มีเรา อันนี้คือประเด็นที่หนึ่ง คือเป็นข้อคับข้องใจตัวเองมานาน อีกคำถามหนึ่ง ธาตุรู้ มาจากไหน มาอย่างไร อะไรคือธาตุรู้ เพราะตัวนี้เองคือตัวที่จะนำไปสู่ปัญญาใช่ไหม หรือว่าเป็นอันเดียวกัน ขอบพระคุณ

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกพระองค์ว่าอะไร หรือไม่เรียกอะไรเลย ถ้าไม่เรียก จะรู้ว่าหมายความถึงพระองค์หรือหมายความถึงใคร เพราะฉะนั้นต้องมีคำ ซึ่งแสดงความต่างของธรรม แต่พระองค์ไม่ได้หลงยึดถือว่ามีเรา แต่รู้ว่าความจริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่ธรรมก็หลากหลาย จึงได้มีชื่อของแต่ละคน ไม่อย่างนั้น เห็นที่นี่แถวหน้า เห็นที่โน่นข้างหลัง แล้วอย่างไร ลำบาก ใช่ไหม แต่มีชื่อ แล้วก็เรียก เพราะฉะนั้นชื่อเป็นใหญ่ที่จะทำให้คนติดข้อง และหลงได้ คิดว่ามีจริงๆ แต่ความจริงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า เพราะมีธรรม และถ้าไม่มีชื่อใดเลยทั้งสิ้น ก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงใคร ไม่รู้ว่าพูดถึงโต๊ะ หรือพูดถึงเก้าอี้ เช่นเดียวกับพูดถึงคนนี้หรือคนนั้น หรือคนนี้ ซึ่งจะใช้คำว่าเรา ไม่ใช่เขา หรือจะใช้คำอะไรก็ได้ที่แสดง เพราะฉะนั้นแม้พระอรหันตสัมมาสัมเจ้า ก็ต้องตรัสเรียกพระองค์เองว่า ตถาคต ไม่อย่างนั้นจะรู้ว่าหมายความถึงใคร เพราะฉะนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่รู้แล้ว เข้าใจแล้ว บางคนฟังแล้วน่าตกใจ พอพูดคำว่าเรา ก็ขอโทษ ไม่ใช่เรา แต่ต้องพูดคำว่าเรา ไม่จำเป็นเลย ก็พูดเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ก็สามารถที่จะรู้ว่าใช้คำนั้นหมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้นหมดปัญหาสงสัยในข้อนี้หรือยัง ถึงอย่างไรก็ต้องใช้คำนี้แน่นอน ใช่ไหม ถ้าไม่ใช้ก็ไม่มีทางเลยที่จะสื่อสารกันได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้เข้าใจหรือเปล่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า ตถาคต แล้วคนอื่นก็ใช้สรรพนามของตัวเองไป ท่านพระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ต้องกล่าวคำที่แสดงถึงธรรมอะไร ซึ่งก่อนนี้เป็นตัวท่าน แต่ความจริงก็เป็นธรรมทั้งหมด เพื่อจะได้เข้าใจได้ถูกต้อง ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องขอโทษ เพราะอย่างไรก็ต้องใช้อยู่จนตาย หมดข้อสงสัยข้อนี้แล้วใช่ไหม แต่ว่าไม่พอ คือเข้าใจขั้นนี้ แต่ว่าสามารถจะถึงการประจักษ์แจ้งจนแม้พูดคำว่าเรา ก็รู้ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมตามลำดับ มีไหมธาตุรู้ แค่นี้ก่อน ต้องยืนยันหรือมั่นคงเป็นเรื่องๆ ตามลำดับด้วย ธาตุรู้มีไหม แปลว่ารู้ว่าธาตุรู้เป็นยังไงใช่ไหม ที่จะตอบว่ามี ถ้าไม่มี ไม่มีอะไรเลยในโลก ไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น ถ้าทุกคนออกไปจากห้องนี้หมด โต๊ะรู้ไหมว่ามีอะไร นี่ก็แสดงความต่างแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นธาตุรู้แม้มี ก็ยากที่จะเข้าใจได้ ถ้าเข้าใจจริงๆ เมื่อไหร่ คลายความติดข้องว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นแสดงว่ารู้ยากทั้งๆ ที่มี ต้องอาศัยพระธรรม ๔๕ พรรษา ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจความต่างในขั้นคิดไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจขั้นฟัง จนถึงขั้นที่ประจักษ์ธาตุรู้ซึ่งขณะนั้นเกิดรู้แล้วไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะว่าธาตุรู้จะปรากฎได้ก็ต้องทีละหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏพร้อมกันไม่ได้เลย

    เวลาที่เสียงปรากฏ ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะปรากฏพร้อมกันไม่ได้ เพราะเสียงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นธาตุรู้ รู้แจ้งในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ในเสียง เฉพาะเสียง ที่กำลังปรากฏ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา เฉพาะที่กำลังปรากฏด้วย ที่บ้านมีดอกไม้ไหม ปรากฏหรือเปล่า ไม่ปรากฏ แต่จำว่ามี เพราะฉะนั้นขณะนั้น "จำ" มี เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง จะแยกออกไปจนละเอียด แสดงให้เห็นว่าถ้ายังไม่มั่นคง เราก็จะเกิดความสงสัยในธาตุรู้ ก่อนอื่นที่จะรู้ว่ามาจากไหนก็คือว่า มีหรือเปล่า มีแน่ไหม เดี๋ยวนี้มีไหม ต่อไปมีไหม เพราะมีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ไม่มีใครไปบันดาลได้เลย ก็ต้องมีความมั่นใจว่า ธาตุรู้ที่หลากหลายเป็นแต่ละหนึ่ง เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิดต่างกัน เพราะฉะนั้นจะเป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ ต้องเป็นไปตามปัจจัย

    พอเข้าใจขึ้นอีกนิดหนึ่งไหมว่า มีธาตุรู้แน่นอน และธาตุรู้ที่ว่ามี เพราะเกิดตามเหตุตามปัจจัย ใครก็ไปบันดาลให้เกิดไม่ได้เลย อันนี้คือคำตอบ ใครก็ไปดลบันดาลทำให้เกิดขึ้นไม่ได้เลย นี้เริ่มเห็นความเป็นอนัตตา แล้วใช่ไหม หมดกังวลที่จะไปหาคนทำหรือไปหาเหตุว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ธาตุรู้เกิดขึ้นใช่ไหม แต่เพียงคำว่าธาตุรู้หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกิด ต้องมีปัจจัย สิ่งที่อุปการะอุดหนุนทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดได้ และความจริงก็เกิดพร้อมกันด้วยก็มี เกิดต่างวาระก็มี นี่เป็นสิ่งซึ่งกำลังมีในขณะนี้ ซึ่งถ้าเราเข้าใจละเอียดขึ้นก็เริ่มรู้ว่า ไม่มีใครบันดาลหรือทำอะไรได้เลย เข้าใจความหมายของคำว่าเป็นอนัตตา ไม่ต้องไปหาผู้สร้างผู้ทำ ถ้าไม่มีผู้สร้างผู้ทำ โต๊ะ เก้าอี้ทำได้ไหม ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ใช่ไหม ไม่มีอะไรทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีก่อน ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วดับ ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ฟังแล้วก็เหนื่อย เหนื่อยที่เราจะเอาชนะในสิ่งที่เราไม่รู้ ที่เรียกว่า กิเลส

    ท่านอาจารย์ เข้าใจความคิดที่ว่าฟังแล้วก็เหนื่อย เพราะเป็นเรา ที่จะเอาชนะกิเลสใช่ไหม ที่บอกเมื่อสักครู่นี้ว่าเหนื่อยที่จะชนะกิเลส ไม่มีใครที่จะไปชนะกิเลสได้ ไม่มีใคร แต่ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างเดียวซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้ามีความเป็นเราพากเพียรที่จะชนะกิเลส เหนื่อย ฟังก็เหนื่อย แต่ถ้าเข้าใจ ขณะเข้าใจไม่เหนื่อย ละความเป็นเรา ที่จะต้องไปทำกิจพยายามชนะกิเลส เพราะไม่มีทางสำเร็จด้วยความเป็นเรา ด้วยเหตุนี้จะเห็นความต่างกันมาก กุศลไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย แต่อกุศล เราอยากชนะกิเลส เหนื่อยแน่ๆ รับรองได้ ตลอดชาติพยายามไปเถอะ ไม่ชนะ แล้วยังเข้าใจผิดคิดว่าชนะ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นความรู้แม้ว่าจะเป็นความรู้เพียงเริ่มต้นทีละเล็กทีละน้อย จะนำไปสู่ความรู้ที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นกิเลสอยู่ที่ไหน ได้หมดเมื่อที่นั่นไม่มีปัญญา แต่ปัญญาอยู่ที่ไหนกิเลสอยู่ที่นั่นไม่ได้ จะอยู่พร้อมกันไม่ได้ เกิดพร้อมกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่หน้าที่เราด้วยความเห็นว่าเป็นเรา จะพยายามไปทำให้ชนะกิเลส เพราะเห็นผิดตั้งแต่ต้นว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็เหนื่อยกัน ไปทำอะไรก็เหนื่อยหมดเลย แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ มีหรือที่ปัญญาไม่สามารถจะรู้ความจริงในสิ่งที่กำลังมี มีแล้วไม่รู้ต่างหาก ที่ทำให้เดือดร้อน พยายามจะไปรู้ด้วยความเป็นตัวตนก็ไม่ได้ แต่ว่าขณะนี้มีจริงๆ ถ้าเป็นธรรมที่ถูกต้อง ก็คือสามารถรู้สิ่งที่ปรากฏ ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ โดยความเป็นอนัตตาคือไม่จงใจ ไม่เจาะจง ไม่ขวนขวายด้วยความเป็นเรา

    ด้วยเหตุนี้ข้อความในพระไตรปิฏกจึงมีข้อความว่า"ไม่พัก และไม่เพียร" ฟังแล้วงง ถ้าเป็นตัวตนใช่ไหม พูดอย่างไร บอกถูกหรือ เดี๋ยวก็ไม่พัก เดี๋ยวก็ไม่เพียร แล้วจะให้ทำอะไร แต่ความจริง พักด้วยความเห็นผิด เพียรด้วยความเห็นผิด ไม่ใช่คำที่พระผู้มีพระภาคตรัสแน่นอน เพราะฉะนั้นทรงแสดงความเห็นผิดทั้งหมดทำให้พักก็ได้ ทำให้เพียรก็ได้ แต่ไม่ใช่การเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ขณะอื่น เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่ไม่รู้แล้วก็ค่อยๆ รู้ในสิ่งที่กำลังมีให้รู้ เพราะว่าก่อนนั้นไม่เคยรู้มาเลย ไม่รู้หนทางที่จะรู้ด้วย แต่ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็รู้ว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้อะไร สิ่งที่มีจริงขณะไหน ขณะที่กำลังปรากฏ แล้วก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งแทงตลอดในอริยสัจจธรรม คือการเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งเป็นทุกขอริยสัจจะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่การฟังชื่อ ฟังคำ แล้วคิดเอง แต่ทุกคำต้องเป็นความเข้าใจขึ้น จากการสนทนา

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณ สรุปความเข้าใจตัวเองนิดหนึ่งว่า เราไม่พยายามเอาชนะ แต่เราเรียนรู้เพื่อจะหลีกเลี่ยง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมถูกต้องที่สุด คือฟังเพื่อเข้าใจ เพราะเข้าใจก็ไม่ใช่เรา เข้าใจเป็นธรรมเกิดแล้วก็ดับ พอดับแล้วไม่เข้าใจต่อไป ก็ฟังใหม่ใช่ไหม ฟังอีก แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทุกอย่างที่จะเกิดแล้วไม่ดับ ไม่มี แต่ทั้งหมดไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น "ปฏิปัตติธรรม" อะไรปฏิบัติ ธรรมที่เป็นปัญญาและสติ ที่พร้อมด้วยปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เริ่มเข้าถึงด้วยความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเข้าใจ แต่รู้ความต่างว่าขณะที่ฟังเข้าใจ ไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะที่มีจริงตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังก่อน จะเข้าใจตรงตามที่เป็นจริงได้อย่างไร

    ผู้ฟัง เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากเลย

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีคนบอกว่าธรรมง่าย รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า สรรเสริญหรือประมาท

    ผู้ฟัง สรรเสริญ

    ท่านอาจารย์ ถ้าสรรเสริญก็คือ ยาก ลึกซึ้ง เพราะกำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้เลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วมีความเข้าใจขึ้นตามลำดับทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ เรื่องของธรรม เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งแน่นอน ศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูงสุดอยู่แล้ว ทีนี้การที่เราจะปลูกฝังศาสนาพุทธให้เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องจริงๆ จะทำได้โดยวิธีการไหน

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ที่จะไตร่ตรอง ไม่คิดเอง ไม่กล่าวคำที่บ่อนทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำนั้นตรงกันข้ามกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่แต่ละคนเข้าใจธรรม เป็นทางเดียวที่จะดำรงคำสอนของพระพุทธศาสนาไว้ได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมเลย แล้วจะกล่าวว่าจะรักษาพระพุทธศาสนา จะรักษาอย่างไร เพราะเหตุว่า ใครก็ตามที่เข้าใจพระธรรม พระศาสนาดำรงอยู่ เพราะยังมีผู้ที่เข้าใจ แต่เมื่อใดที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ไหม พระศาสนาก็อันตรธานไปจากคนที่ไม่เข้าใจ แต่ละคนๆ จนไม่เหลือ

    เพราะฉะนั้นจะดำรงพระศาสนาได้ก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาความจริง ไตร่ตรองความจริงในแต่ละคำ เพราะรู้ว่าคนอื่นจะไม่สามารถที่จะทำให้เกิดปัญญาความเห็นถูกได้ นอกจากฟังเฉพาะคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดกล่าวคำจริง คำจริงนั้นเป็นคำของเรา เพราะทรงตรัสรู้ จึงได้มีคำจริงนั้นๆ ไม่ว่าใครจะกล่าวคำจริงไหน ความเข้าใจในความจริงนั้นมาจากใคร ก็ต้องมาจากการที่เขาได้ศึกษาธรรม คำของพระพุทธเจ้าจนเข้าใจจริงๆ จึงสามารถที่จะกล่าวคำจริงนั้นได้ ใครจะกล่าวคำไหน คำจริงนั้นก็มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ต้องอาจหาญร่าเริง แล้วก็มีการที่จะตอบแทนคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทำให้เราได้เห็นถูก ได้เข้าใจถูก พ้นจากความมืดบอดและความไม่รู้ เพราะฉะนั้นหนทางที่จะตอบแทนหรือบูชาอย่างสูงสุดก็คือ ศึกษาให้เข้าใจพระธรรม

    อ.ธีรพันธ์ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ธรรมในขณะนี้ จะเกี่ยวเนื่องกับความเป็นปริยัติ ความเป็นจริงที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นโอกาสที่มีไม่มาก ที่มีประโยชน์เมื่อได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เราได้ฟัง อย่าเผิน เพราะเหตุว่าเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องไตร่ตรอง มีใครเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดในชีวิต ต้องระลึกก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละคำที่ได้ยินเป็นคำของใคร เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ทรงตรัสรู้ว่า สัตว์โลกผู้อื่นมีโอกาสจะเข้าใจความจริงซึ่งเป็นธรรมได้ ก็ต่อเมื่อพระองค์ทรงแสดง คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม แล้วก็ไม่สามารถที่จะกล่าวคำต่างๆ มากมายใน ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะอนุเคราะห์คนที่ได้ฟังแล้ว รู้ว่าธรรมคืออะไร เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เดี๋ยวนี้เป็นธรรมอะไร แล้วก็เข้าใจธรรมที่มีเดี๋ยวนี้รึเปล่า หรือคิดว่าเข้าใจแล้ว

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้อง เราเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ห่างกันแค่ไหน ไกลไหม สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสมากมาย เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้จริงที่สุด เมื่อครู่นี้หมดไปแล้ว เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ ขณะต่อไปจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็พรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่มีใครรู้ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จริงที่สุด ก็คือแต่ละหนึ่งขณะ ที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทีละขณะ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดก็คือว่า ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอยู่ในโลกนี้อีกนานเท่าไหร่ แล้วจะอยู่เหมือนเดิม คือไม่ได้เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว แล้วก็ไปคิดกันเอง เข้าใจกันเอง ได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด และลึกซึ้ง

    แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเองทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ บารมีคือคุณความดีในแต่ละพระชาติ แล้วตัวเรา ชาตินี้เรามีความดีแค่ไหน เป็นบารมีหรือยัง หรือแม้แต่ความดีที่มีเล็กๆ น้อยๆ บ้างในวันหนึ่งๆ ไม่ใช่มีมากทุกวัน จะเปรียบเทียบได้ไหมกับการที่สามารถจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสามารถที่จะเข้าใจได้ ในเมื่อผู้ที่เป็นสาวกทั้งหลายกว่าจะได้รู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา เยอะมาก ทุกประการ ถึงที่สุดทุกอย่างของธรรม ก็ต้องอาศัยความเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมถ้าไม่เข้าใจ ขณะที่ฟังนั้นเสียเวลา เพราะเหตุว่าฟังอะไร ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง วันหนึ่ง แล้วก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ก็คือว่าต้องเข้าใจทุกคำ ละเอียด ลึกซึ้ง มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเปลี่ยนได้อย่างไร เป็นความจริง ของสิ่งที่มีจริง ถึงที่สุด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    7 เม.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ