ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922


    ตอนที่ ๙๒๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ.ธิดารัตน์ เรื่องของการแทงตลอดในปริยัติ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม

    อ.ธิดารัตน์ ตามการศึกษา ทั้งความจริงก็ต้องมีธรรม

    ท่านอาจารย์ ตามการศึกษาหมายความว่าอย่างไร

    อ.ธิดารัตน์ ตามการศึกษาหมายถึงว่าศึกษาชื่อใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ตามการศึกษาที่กล่าวไว้ แต่ความรู้ความเข้าใจจากการศึกษามากน้อยเพียงใด ที่จะใช้คำว่าแทงตลอด หรือว่าปฏิเวธในปริยัติ

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องเป็นความเข้าใจที่มากขึ้น คือปกติก่อนที่ถึงแม้ก่อนที่จะเข้าใจว่ามีสภาพธรรมจริงๆ ก็จะมีการศึกษาเรื่องของชื่อ หรือว่าเราเรียนเรื่องของจิตมีเท่าใดเจตสิกมีเท่าใดอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าฟังชื่อ บอกว่าธรรมขณะนี้ก็คือจิตเจตสิกรูปแค่นี้แทงตลอดหรือยัง

    อ.ธิดารัตน์ ยัง

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นความเข้าใจแต่ละคำ ถ้าได้ยินคำว่าธรรม รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แทงตลอดว่าเดี๋ยวนี้ก็ต้องมี และกำลังมีด้วย นี่จึงจะเป็น แม้เพียงคำเดียว ก็สามารถที่จะเข้าถึงความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ได้ นี่คือการแทงตลอด ไม่ใช่ผ่านไปว่าธรรมที่มีจริง มี ๔ อย่าง คือจิตหนึ่งเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ และอีกประเภทหนึ่งก็คือเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต เช่นความดีใจเสียใจความจำพวกนี้เป็นต้น ไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก และก็สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่โกรธ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน เพียงเท่านี้แทงตลอด หรือยัง

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่าต้องเข้าใจมั่นคงจริงๆ ถึงจะแทงตลอด

    ท่านอาจารย์ เข้าใจลึกซึ้งขึ้นตรงขึ้นมั่นคงขึ้นในแต่ละคำ เช่น คำว่าธรรมมีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็ต้องมี เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เข้าใจมากน้อยเพียงใด ลึกซึ้งเพียงใด มั่นคงเพียงใด ที่จะไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นั่นคือแทงตลอดในแต่ละคำ ถ้ามีคนบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีธรรม หมายความว่าเขาไม่ได้รู้จักธรรม แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่มีจริงๆ รู้เลยว่า นั่นคือความหมายของธรรมในภาษาบาลี กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด กว่าจะเป็นความรอบรู้ในปริยัติที่มั่นคงที่ไม่เปลี่ยน เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏสามารถจะเข้าใจได้โดยการฟังแล้วค่อยๆ ไตร่ตรอง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งเป็นความรอบรู้ และเป็นการแทงตลอดในสภาพธรรมนั้นในขั้นของปริยัติ เพราะว่าขณะนี้ถ้าพูดถึงธาตุไม่พูดถึงธรรม ถ้าเข้าใจในความหมายของธาตุสอดคล้องกับธรรมหรือเปล่า เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และกำลังพูดถึงความจริงของธรรมที่มีจริงซึ่งหลากหลายมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งหลากหลาย และมาก แต่แต่ละหนึ่งนั่นก็เป็นธาตุ ธา-ตุ คือเป็นสภาพที่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็เป็นคำขยายความหมายของธรรมว่า ถ้าเป็นธรรมแล้วใครก็ทำอะไรไม่ได้ ใครก็เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมเกิดเพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น ต้องเป็นไปตามปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ขึ้น เดี๋ยวนี้เอง กว่าจะถึงว่าไม่มีเราไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งถูกปกคลุมไว้ด้วยความเข้าใจผิดมาเนิ่นนานว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง ดอกไม้ก็อยู่ตรงนี้ โต๊ะก็อยู่ตรงนี้ คนก็อยู่ตรงนี้ ก็เริ่มรู้ว่าความไม่รู้ความจริงมากมายระดับไหน เพราะว่าแต่ละคำต้องเป็นคำที่สามารถจะทำให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ที่เคยยึดถือว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะไม่เคยได้ฟังธรรม แต่ถ้าฟังธรรมแล้วธรรมจะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งอื่นใดไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะเป็นธาตุแต่ละหนึ่ง เช่น เห็นไม่ใช่ได้ยินไม่ใช่คิดนึกมีจริงๆ ไหม เห็น เห็นก็มีจริง ได้ยินมีจริงหรือเปล่า ได้ยินก็มีจริง แล้วก็คิดนึกมีจริงหรือเปล่า ก็มีจริง ชอบมีจริงไหม ก็มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ใครเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นนั่นคือความหมายของธรรมนั่นเองเป็นธาตุแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ที่เคยเป็นเราเห็น เริ่มเข้าใจขึ้นทีละน้อยว่า ตามความเป็นจริงเห็นจะเป็นของใครได้อย่างไร เพราะไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลยสักคน แต่เห็นเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย และความจริงซึ่งลึกซึ้งกว่านั้นก็คือว่าเห็นที่มีในขณะนี้ เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลือเลยสักนิดเดียว แล้วเราอยู่ที่ไหน นี่คือการเริ่มที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อที่จะให้คนที่ได้ฟังสามารถไตร่ตรอง และเข้าใจ ถ้าคิดว่าผิด ก็บอกมาเลยว่าผิดตรงไหน ไม่จริงตรงไหน แต่เมื่อฟังแล้วสิ่งที่ได้ฟังเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ยากที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะสภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏอย่างที่ได้ฟัง ขณะนี้ใครประจักษ์การเกิดขึ้นของเห็น และการดับไปของเห็น แต่ผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งแล้วทรงแสดงหนทางที่จะทำให้เริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา คำนี้ต้องเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นธรรมคือไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ค่อยๆ รอบรู้จนแทงตลอด แม้ในขั้นปริยัติว่าเปลี่ยนไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าเราเพียงแต่จะไปศึกษาว่าจิตมีจำนวนเท่าใด แล้วก็ไปสำนักปฏิบัติ แล้วก็ไปปฏิบัติ อย่างนั้นเป็นการแทงตลอดหรือเปล่า อย่างนั้นเป็นการรอบรู้ในคำว่าธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะผิดก็เพราะเผิน แล้วก็หยิบคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากล่าวตามความคิดเห็นของตนเอง หรือแม้แต่จะเป็นประโยค หรือเป็นข้อความใดๆ ก็ตาม ต้องไตร่ตรองให้เข้าใจทุกคำ แล้วทีละคำด้วย เพราะว่าแต่ละคำลึกซึ้งมาก แม้แต่ขณะนี้เห็นเป็นเห็น แค่นี้ กว่าจะไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่นกเห็น ไม่ใช่คนเห็น ไม่ใช่ลิงเห็น ไม่ใช่แมวเห็น แต่เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีรูปร่างเลยจะบอกได้ไหมว่าอะไรเห็น แต่เห็นมีแน่ๆ คือกำลังเห็น นี่คือการที่จะรอบรู้ และแทงตลอดว่าเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นไม่มีการที่จะไปสู่ที่หนึ่งที่ใด ไปนั่งไปยืนไปเดินแล้วจะรู้ความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็ประมาทในคำที่ลึกซึ้งซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ก็ต่อเมื่อเข้าใจธรรมขึ้น และรู้ว่าคนอื่นไม่มีสักคนที่สามารถที่จะให้ความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังมี แล้วค่อยๆ มั่นคงขึ้น เปลี่ยนธรรมได้ไหม แทงตลอดหรือยัง แต่ค่อยๆ ฟังเข้าใจขึ้นจนไม่เปลี่ยน

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ได้อธิบายความหมายของการแทงตลอด แม้ในขั้นการศึกษาปริยัติจะเหมือนกับความเข้าใจที่เป็นขั้นสัจญาณในปริยัติหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจความลึกซึ้งขึ้นของแต่ละคำซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ลึกซึ้งเพียงใด ทุกคนได้ยินคำว่าจิต มีใครบ้างที่ไม่รู้จักจิต

    อ.ธิดารัตน์ รู้ชื่อ

    ท่านอาจารย์ รู้จักชื่อว่ามีแน่ๆ เห็นเดี๋ยวนี้เป็นจิต โต๊ะไม่เห็น เก้าอี้ไม่เห็น ตาไม่เห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่เห็น เสียงไม่เห็น แต่มีธาตุหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็น กำลังเห็นแล้วก็ดับไป

    อ.ธิดารัตน์ ถึงแม้ว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะของจิตตามความเป็นจริง แต่ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมอย่างที่ศึกษาจริงๆ อย่างนี้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แล้วเข้าใจมั่นคงขึ้น แม้แต่คำว่าจิต ธาตุรู้ มีรูปร่างไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีสีสันไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อยู่ในความมืดหรือเปล่า เห็นไหม กว่าจะเข้าใจรอบรู้แทงตลอด คือได้ยินคำว่าจิต แล้วรู้ว่าจิตเป็นธาตุรู้ เป็นธรรมแน่ๆ เกิดขึ้นทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเห็นในขณะที่จิตที่เกิดขึ้นแล้วเห็นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นก่อนเห็นไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา มืดไหม

    อ.ธิดารัตน์ ก่อนเห็นก็มืด

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม กว่าจะรู้จริงๆ กว่าจะแทงตลอดจริงๆ ในแต่ละคำ แม้คำว่าจิตเห็น จิตมืดแน่ ไม่ใช่แสงสว่าง ถ้าแสงสว่างก็คือสิ่งที่เป็นรูปธรรม เพราะไม่รู้อะไร แสงสว่างรู้อะไรไม่ได้เลย แต่จิตเป็นธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจิตต้องมืดสนิท ใครไปทำให้จิตสว่างได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จะให้เหมือนกับหิ่งห้อยได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธาตุรู้เป็นธาตุรู้ ให้ทราบว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นธาตุรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะโกรธ จะชอบ จะเสียใจ จะดีใจ ทั้งหมดมืดสนิท แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น แล้วก็เกิดดับสืบต่อเร็วประมาณไม่ได้เลย จิตเห็นเกิดขึ้นหนึ่งขณะต้องมีเพียงหนึ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่เห็นเป็นกลีบดอกไม้เป็นก้านดอกไม้ เป็นใบไม้ เป็นคนเป็นสัตว์ จิตเห็นเกิดขึ้นเท่าใดนับไม่ถ้วนประมาณไม่ได้ ใครรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นพระคุณ จากการที่ไม่เคยรู้จักโลกนี้เลย เกิดมาในโลกทำทุกสิ่งทุกอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินทุกข์บ้างสุขบ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไปโดยไม่รู้จักโลก ก็เป็นอย่างนี้มานานแสนนานในสังสารวัฏนับประมาณไม่ได้เลย แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนับประมาณไม่ได้ ก่อนจะเกิดเป็นคนนี้รู้ไหมว่าจะเป็นคนนี้ รู้ไหมว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ รู้ไหมจะได้ฟังคำต่างๆ เหล่านี้ ไม่รู้เลย ต่อไปข้างหน้าสักหนึ่งขณะ รู้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของธรรมก็คือว่ามีสิ่งซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมทีละคำ แล้วก็อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว นั่นคือเผินมาก เพราะถ้ากล่าวถึงจิตที่คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ลองคิดถึงจิตจริงๆ ซึ่งมืดสนิท รู้จักจิตหรือยัง ที่เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่สามารถที่จะรู้ได้ทุกสิ่ง ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียวที่มีจริง จิตสามารถที่จะเข้าใจได้รู้ได้ เช่นเสียงอย่างนี้ กำลังมีเสียงปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้ที่ได้ยิน ใครจะรู้ว่ามีเสียงอย่างนี้ และเสียงอย่างนี้แต่ละหนึ่งเสียงแต่ละหนึ่งเสียง จิตจะต้องเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก ทำกิจรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามหน้าที่ของตน เช่นจิตจะทำหน้าที่ของเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกแต่ละหนึ่งก็ทำหน้าที่ของเจตสิกอื่นไม่ได้ และเจตสิกจะไปทำหน้าที่ของจิตไม่ได้ ทั้งหมดอยู่ในความมืดขณะที่ได้ยิน และเสียงปรากฏใช่ไหม เห็นไหม ลึกซึ้งไหม แทงตลอดไหมในขั้นการฟัง ถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้ ก็เผินไม่ได้แทงตลอด แต่ถ้าแทงตลอดจริงๆ คือเริ่มเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้จากการเริ่มเข้าใจก่อน

    เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นความจริงอย่างนี้จะเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร และความจริงอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเพียงแค่ฟังก็จะรู้ได้ แต่ต้องรู้ว่ากว่าจะถึงการรู้จริงๆ ก็ต้องอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป จนกว่าเมื่อใดพร้อมสมบูรณ์ที่ปัญญาสามารถที่จะถึงลักษณะของสภาพธรรมที่มืดสนิท แล้วมีเสียงปรากฏกับธาตุที่กำลังได้ยิน ในขณะนั้น ถ้ารู้สึกไม่พอใจ ความพอใจนั้นก็อยู่ในความมืดอีก ถูกไหม เพราะฉะนั้นทั้งวันลองคิดดู มืดตลอดหรือเปล่า ชั่วขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นเท่านั้นที่สว่าง มีสีสันต่างๆ ปรากฏ แต่ว่าวันหนึ่งวันหนึ่งไม่ได้มีแต่เห็น ในขณะที่แม้กำลังเห็นอย่างนี้ก็มีคิดด้วย ซึ่งคิดก็ต้องมืดสนิท

    เพราะฉะนั้นโลกจริงๆ จะต่างกับโลกซึ่งเราไม่เคยรู้จักไหม โลกที่เรารู้จักสว่างทั้งวัน แม้ว่าจะชอบหรือจะโกรธ หรือจะเสียใจจะร้องไห้ก็ไม่รู้ คิดว่าอยู่ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ความจริงไม่ใช่เลย ใครรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าใดที่จะรู้ความจริงเช่นนี้ ซึ่งใครๆ ก็ยังไม่รู้เลย ถ้าไม่มีโอกาสจะได้ฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เห็นจริง ค่อยๆ รอบรู้ จึงจะค่อยๆ แทงตลอดในแต่ละคำที่พูดนี้ว่าถูกต้อง ความจริงเป็นเช่นนั้น แต่ยังไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง

    เพราะฉะนั้นก็เป็นการแทงตลอดในขั้นปริยัติ ที่มีความมั่นใจว่าขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในความมืด จิตก็มืด เจตสิกก็มืด ชอบก็มืด ดีใจก็มืด มีแต่สิ่งเดียวที่ปรากฏทางตาที่สว่างเท่านั้นเอง จะเปลี่ยนแปลงไหมความจริงนี้ ใครกล้าที่จะเปลี่ยนความจริงซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะรู้ไหมถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสเลย เพราะว่าแม้ได้ฟังแล้ว ต้องอาศัยบารมี คุณความดีคือกุศลนานาประการ ซึ่งถ้ากุศลไม่เกิดทั้งวันก็เป็นอกุศลโดยไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่า ขณะนั้นได้พอกพูนความไม่รู้ และความติดข้องในความเป็นเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมมีค่าเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต ไม่ว่าจะได้ลาภได้ยศได้สุขได้สรรเสริญ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็หมดไปแน่ๆ เกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาแต่ละคำ หลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มีใช่ไหม นี่คือค่อยๆ ไตร่ตรอง สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก แต่ยังสำคัญผิดคิดว่ายังอยู่ยังมี เพราะฉะนั้นความติดข้องในสิ่งที่เกิดแล้วพอดับไปก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็สืบต่อความติดข้องในสิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแต่ละหนึ่งได้ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ถ้าไม่มีการสืบต่อโลกก็ว่างเปล่า แต่ใครจะไปยับยั้งธรรมไม่ให้เกิดดับได้ไหม

    ธรรมเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี ไม่ต้องไปขวนขวายแสวงหาทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะแม้แต่ความคิดที่จะขวนขวายก็เป็นจริงในขณะนั้น ด้วยความเข้าใจผิดว่าเราทำได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วกำลังมีความยึดมั่นในความเป็นตัวตน ซึ่งเข้าใจผิดคิดว่าสามารถที่จะทำแม้ปัญญาให้เกิดขึ้นโดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม้ปัญญาถ้าไม่มีการฟัง ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร แล้วถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจตามลำดับ ปัญญาจะอบรมถึงขั้นที่จะรู้แจ้งความจริงตรงที่ได้ฟังอย่างไร

    เพราะเหตุว่าถ้าไม่สามารถที่จะรู้ความจริงในสิ่งที่กำลังปรากฏ การฟังเป็นโมฆะ ฟังทำไม ในเมื่อไม่สามารถจะรู้ได้ แต่เพราะรู้ว่าสามารถจะรู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา แต่ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยที่เกิดก็สะสมอยู่ในจิต ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ สภาพกุศล และอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น เกิดแล้วดับแต่สืบต่ออยู่ในจิตซึ่งเกิดสืบต่อไป จากแสนโกฏกัปมาเป็นคนนี้เดี๋ยวนี้ที่กำลังฟัง แล้วก็จะจากโลกนี้ไปวันไหนไม่รู้ หมดสิ้นความเป็นบุคคลนี้เหมือนเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นดับไม่กลับมาอีกเลย ฉันใด การจากโลกนี้ไปจะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย แล้วไปไหนมีปัจจัยที่จะต้องไปโดยไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย

    แม้แต่กำลังจะจากโลกนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะเห็นที่ไหนจะได้ยินที่ไหนมีรูปร่างอย่างไร เคยฟังธรรมมาบ้างหรือเปล่า หรือว่าไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เหมือนม้ากัณฐกะ ทุกคนรู้จักม้ากัณฐกะใช่ไหม คงไม่ต้องอธิบายว่าเป็นใคร ก่อนเป็นม้ากัณฐกะก็ได้ฟังพระธรรมสะสมมามาก จนสามารถที่เมื่อตายจากการเป็นม้ากัณฐกะก็เกิดเป็นเทพ เป็นเทวบุตรลงมาเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคฟังธรรม แล้วก็เป็นพระโสดาบัน รู้ล่วงหน้าหรือเปล่า ตั้งแต่ก่อนเป็นม้ากัณฐกะ กำลังเป็นม้ากัณฐกะก็ไม่รู้ จากโลกนี้ไปสู่เทวโลก ลงมาเฝ้ารู้ไหมว่าจะได้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามที่ผู้ที่ประจักษ์ทุกคนต้องรู้ความจริงทุกคำ ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว แม้แต่ความเป็นธรรมก็ขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นธรรมจริงๆ กำลังปรากฏความเป็นธรรมให้รู้

    เพราะฉะนั้นความเป็นเราก็ค่อยๆ เสื่อม ค่อยๆ คลาย ค่อยๆ ลดไป จากการที่จำไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะฉะนั้นแต่ละคำมีคุณค่าหาประมาณไม่ได้เลย แล้วก็จะได้ฟังอีกหรือเปล่าในชาติต่อไป แต่ถ้ามีการฟังเข้าใจแล้วเป็นปกติก็รู้ว่า เป็นธรรมดาจะไปเร่งรัดให้มีความเข้าใจมากๆ ผิดอีกแล้ว เพราะว่าสะสมความเห็นผิดมามากพร้อมที่ความเห็นผิดจะเกิดได้ทันที เพราะฉะนั้นการฟังธรรมโดยไม่แยบคายโดยไม่แทงตลอดที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ก็จะทำให้เข้าใจผิดได้

    อ.ธิดารัตน์ ตามการศึกษาก็เข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาสว่าง แต่จิตเห็นมืด เพราะฉะนั้นเวลาที่จะรู้ลักษณะของจิตจริงๆ แต่จิตนั้นก็รู้สี

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้อะไรจริงๆ

    อ.ธิดารัตน์ ขณะที่ลักษณะของจิตปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้อะไรปรากฏ

    อ.ธิดารัตน์ ตอน เป็นนี้สี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่จิตปรากฏ

    อ.ธิดารัตน์ ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าสิ่งที่ปรากฏ เหมือนกับสี ปิดบังลักษณะของธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นอะไรสว่าง อะไรมืด

    อ.ธิดารัตน์ สิ่งที่ปรากฏทางตา สว่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราจะรู้ไหมว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้จิตที่กำลังเห็น มืด ถ้าไม่ปรากฏ

    อ.ธิดาร้ตน์ ก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการเพียงฟังไม่ใช่ปฏิปัตติ การถึงเฉพาะลักษณะของสภาพเดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตา ลืมไม่ได้เลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้ามีความคิดมีความหวังมีการจะทำ ขณะนั้นก็คือผิด ไม่ได้เข้าใจคำว่าอนัตตา ไม่ได้รอบรู้ ไม่ได้แทงตลอดในคำนี้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเผินไม่ได้เลย จึงสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.ธิดารัตน์ หมายความว่าถึงแม้เราจะค่อยๆ ที่จะเข้าใจปริยัติอย่างมั่นคงแล้ว แต่การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมจริงๆ รูปธรรมจริงๆ ก็ต้องเป็นปัญญาในอีกระดับหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ขณะนี้ก็ไม่ใช่เรา ที่ฟังก็ไม่ใช่เรา ที่กำลังเข้าใจแต่ละคำก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าความเข้าใจนี้น้อยเพียงใด

    อ.ธิดารัตน์ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะเป็นการแทงตลอดในขั้นปริยัติ แต่ก็ยังเป็นปัญญาขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ ถ้าแทงตลอดในปริยัติไม่ผิด ไม่ทำสิ่งที่ผิด ไม่ไปสู่สำนักปฏิบัติ หรือไม่ไปไหนเลย เพราะเหตุว่ามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง รู้ว่าคำใดที่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้น คำนั้นไม่ถูก คิดเองโดยอ้างคำในพระไตรปิฏก เพราะว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ

    ผู้ฟัง จะสร้างกุศลให้เกิดขึ้นในแต่ละวันได้อย่างไร บารมีต่างๆ จะเจริญขึ้นได้อย่างไร เพราะบางครั้งก็ไม่มีโอกาสได้ทำบุญ และควรหรือที่เราจะมาเศร้าโศกเสียใจเมื่อไม่มีโอกาสได้ทำบุญ

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเป็นบุญหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ฟังแล้วไม่เข้าใจก็ไม่เป็นบุญ แต่ถ้าขณะใดที่ฟังเข้าใจก็น่าจะเป็นบุญ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังแล้วเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยทุกวันเป็นบุญประจำวันทุกวันหรือเปล่า ไม่ต้องไปขวนขวายทำอะไรเลย แต่ว่าในแต่ละวันมีบุญที่ไม่รู้จัก การช่วยเหลือคนอื่น ให้เขาได้สบาย แม้เขาถือของหนักช่วยเขาถือได้ไหม นั่นก็เป็นกุศลแล้ว เพราะฉะนั้นไม่รู้จักบุญ ได้แต่พูดเรื่องบุญ แล้วก็พูดว่าทำบุญ แต่ไม่รู้จักว่าบุญคืออะไร ตอนนี้เริ่มรู้จักหรือยัง ความดีทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ได้นำความทุกข์มาให้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    14 พ.ย. 2567