ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924


    ตอนที่ ๙๒๔

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ.ธิดารัตน์ ถึงแม้วิปัสสนาก็ต้องมีตามลำดับใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาคืออะไรก่อน

    อ.ธิดารัตน์ ปัญญา

    ท่านอาจารย์ ปัญญาได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกอย่างไร รู้ไหมปัญญารู้อะไร ได้แต่เรียกชื่อว่าปัญญา แล้วปัญญารู้อะไร

    อ.ธิดารัตน์ รู้ลักษณะของธรรมที่ปรากฏขณะนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ทุกคนขณะนี้มีธรรมทั้งนั้น ปรากฏด้วยทางตาก็มีทั้งเห็นทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทางหูขณะนี้ก็มีเสียงกับสภาพที่ได้ยิน แล้วจะเอาอะไรจากไหนมารู้มาเข้าใจ

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องอาศัยปัญญาตั้งแต่ขั้นการศึกษาจนเข้าใจมั่นคง

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อใดจะถึงขณะนั้น

    อ.ธิดารัตน์ ก็เมื่อขณะที่ความเข้าใจมั่นคงก็จะเป็นปัจจัย

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ฟังว่าวิปัสสนารู้อะไรเมื่อใดอย่างไร แต่ต้องรู้ว่ากิเลสที่สะสมมานานแสนนาน แล้วก็ยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นเห็นจะเป็นคิดจะเป็นอะไรก็ตามแต่ว่าเป็นเรา แล้วก็จะเอาอะไรไปขัดเกลากิเลส ซึ่งเต็มไปด้วยการยึดถืออย่างนี้ แล้วจะไปประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่ไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นเป็นเราหรือว่าเป็นปัญญา ไม่รู้ก็ต้องเป็นเรา แล้วก็ไม่ต้องไปฝันถึงวิปัสสนา แต่เข้าใจให้ถูกต้องว่าความเข้าใจของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า มีระดับใด รู้จักลักษณะของสติสัมปชัญญะหรือยัง เดี๋ยวนี้ก็มีสติ แต่ทั้งหมดอยู่ในความมืด ไม่ได้ปรากฏสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะพูดถึงอะไรทั้งหมด มืดเพราะความไม่รู้ พูดถึงจิตเดี๋ยวนี้ก็มีจิต แล้วรู้จักจิตไหม ได้ยินแต่เรื่องราวของจิต ชื่อของจิตทั้งๆ ที่กำลังมีจิต

    เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจะค่อยๆ ชำระจิตจากอกุศล จากความไม่รู้ จากการยึดถือสภาพธรรมซึ่งนานมาก ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียวกี่ชาติมาแล้วการเกิด สังสารวัฎนับไม่ได้เลย กว่าพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขยแสนกัป ขณะนั้นเรารู้หรือเปล่า มีแต่ความไม่รู้ จนกระทั่งพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้หรือเปล่า ก็สภาพธรรมเหมือนอย่างนี้เลยทุกชาติแล้วรู้หรือเปล่า และก็หวังว่าการเกิดดับเป็นวิปัสสนาญาณจะเป็นอย่างไร แม้เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปหวัง คิดรอ ก็คือขณะนั้นไม่เข้าใจความเป็นอนัตตา แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ขณะที่เข้าใจแต่ละขณะนั่นคือค่อยๆ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ และจิตนานเท่าใดที่ไม่บริสุทธิ์ไม่มีที่บรรจุเลย ถ้าจะเป็นวัตถุ ก็ไม่มีสักจักรวาลเดียวที่จะพอที่จะบรรจุความไม่รู้ เพราะว่าเป็นนามธรรม

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ฟังได้เข้าใจได้ มีแน่ๆ เห็นก็มี ได้ยินก็มี แต่ก็เป็นเราไปทุกที แต่ไม่ได้หมายความว่า ความเห็นผิดเกิดทุกขณะจิต นี่คือการศึกษาต้องละเอียด และต้องตรง เพียงแค่จิตเห็น ใช้คำว่าแค่จิตเห็น ไม่นับจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น ไม่นับจิตซึ่งเกิดต่อจากจิตเห็น เพราะว่าจิตเห็นเกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะ คิดดู เดี๋ยวนี้เห็นเท่าใด แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่าจิตเห็นนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะ จิตก่อนเห็นไม่เห็น จิตหลังจากที่เห็นดับแล้วก็ไม่เห็น แต่สามารถจะรู้ต่อโดยไม่เห็น เหมือนเราคิด คิดถึงอะไรที่เราเคยเห็น เราคิดได้เพราะเคยเห็น แต่ขณะที่คิดไม่ได้เห็น

    เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อจากจิตเห็นก็สามารถจะรู้สิ่งที่ปรากฏสืบต่อ แต่ไม่ได้ทำกิจเห็น นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะให้คนที่ฟังได้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดไม่ใช่สิ่งที่ความเป็นตัวตนอยากจะรู้อยากจะถึง แต่ว่าต้องเป็นการที่รู้จริงๆ ว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีทางเลยที่ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจ เอาเพียงแค่เข้าใจก่อน เข้าใจให้ตรงให้ถูกว่าขณะนี้สิ่งที่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ชั่วขณะที่ปรากฏ ลองคิดถึง ไม่ลืมคำว่าชั่วขณะที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเห็นเป็นหนึ่งขณะที่ปรากฏ ได้ยินชั่วขณะที่เสียงปรากฏหมดแล้ว คิดนึกชั่วขณะที่กำลังรู้เรื่อง ทั้งหมดเป็นแต่เพียงชั่วหนึ่งขณะที่แสนสั้น แล้วก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก แต่ใครรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร ถ้าไม่บำเพ็ญพระบารมีหลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้น ๔ อสงไขยแสนกัป แล้วเราเป็นใคร จะรู้เร็วอย่างนั้นไหม จะรู้เร็วกว่านั้นได้ไหม แค่ฟังนิดๆ หน่อยๆ ก็อยากจะรู้แล้ว ไปนั่งทำอะไรก็ไม่รู้ด้วยความอยากด้วยความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะเห็นตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงนอกจากเป็นผู้ที่จริงใจต่อการที่รู้ว่า ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏถึงจะฟังสักเท่าใด สภาพธรรมขณะนี้ก็ไม่ได้เกิดดับให้ประจักษ์ เพราะเหตุว่าเป็นแค่ฟังแล้วเข้าใจเพียงใด ละคลายอกุศลที่สะสมมาที่ยึดถือว่าเป็นเรานานแสนนานมาแล้วได้เพียงใด แค่หนึ่งขณะที่เข้าใจ ชำระล้างความไม่รู้นิดหนึ่งชั่วขณะที่เข้าใจ ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ค่อยๆ ชำระล้างความไม่รู้ และการที่ยึดถือสภาพธรรมทีละนิดทีละหน่อยทีละเล็กทีละน้อย และผู้นั้นก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่าความเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า แต่ว่าลองจับด้ามมีดดู ด้ามมีดที่สึกแล้วมองเห็นใช่ไหม แต่ขณะที่กำลังจับเพียงครั้งแรกเห็นไหม ด้ามมีดสึกไปแค่ไหน ต่อให้จับนานสักเท่าไร ด้ามมีดที่ยังไม่สึกก็ยังไม่สึก แต่ตราบใดที่จับแล้วจับเล่า วันหนึ่งด้ามมีดก็สึก โดยที่ไม่ปรากฏเลยว่าความเข้าใจแต่ละหนึ่งขณะ สามารถที่จะทำให้ความไม่รู้ในสภาพธรรม อย่างเดี๋ยวนี้เป็นสภาพธรรมที่ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และความติดข้อง เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ฟังกี่ครั้ง ลืมไปหมดทุกที พอเห็นเมื่อใด ไม่เห็นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เห็นเท่าไหร่ก็เป็นสิ่งที่ยังคงเป็นสิ่งนั้นอยู่ เห็นดอกไม้ก็ยังเป็นดอกไม้ เห็นโต๊ะก็ยังเป็นโต๊ะ แต่ไม่ลืม

    แม้ความเข้าใจค่อยๆ มั่นคงว่าขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เคยเข้าใจว่า เป็นคนเป็นสิ่งต่างๆ ความจริงก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งอย่างเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ อย่างอื่นไม่ปรากฏให้เห็นได้ แม้ว่ามี ถูกไหม จริงไหม เข้าใจอย่างนี้บ้างไหม เพราะฉะนั้นจะไปนั่งทำอะไรให้รู้อย่างนี้ได้ไหม ไม่มีทางเลย นอกจากความรู้ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น และก็ละความต้องการ และก็ละการที่จะพยายามไปรู้ด้วยความเป็นตัวตน

    อ.อรรณพ การที่จะได้มีโอกาสได้ยินข้อความว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละอย่างไม่ใช่เรา ต้องอาศัยการบำเพ็ญบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเพียงนั้น

    ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นก็จะไม่ได้ยินคำเหล่านี้เลย ในกาลสมัยซึ่งว่างจากพระศาสนาคำสอนอันตรธาน เพราะมีผู้เข้าใจคำสอนผิด ทำให้พระศาสนาอันตรธานจะไม่มีการพูดถึงปกติ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอนัตตาทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้น ที่สามารถที่จะละความเป็นเราได้ เพราะฉะนั้นลองคิดดู อดทนแค่ไหนได้ฟังแล้วก็คือว่าไม่ว่าอกุศลจะเกิดแทนสติที่ระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แม้ขณะนั้นปัญญาก็ยังสามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นละเอียดสักเพียงใด กว่าทั้งหมด ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ทุกวันจนกว่าจะตาย เป็นแค่ธรรมที่มีจริงที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.อรรณพ ด้วยสื่อการบันทึกข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะในยุคที่มีเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ สามารถบันทึกพระไตรปิฏกไว้ได้ อาจจะเป็นแผ่นซีดีรอมแผ่นอะไรที่สืบต่อไปได้

    ท่านอาจารย์ เพื่ออะไร

    อ.อรรณพ เพื่อให้ผู้ฟังแล้วเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจ

    อ.อรรณพ แต่ทีนี้พระศาสนาก็ต้องเสื่อม

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่เข้าใจก็ต้องเสื่อม

    อ.อรรณพ แม้มีข้อความอยู่

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจแล้วจะไม่เสื่อมได้อย่างไร ความไม่เข้าใจไม่ใช่ปัญญา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำเป็นปัญญาที่เกิดจากการตรัสรู้ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามปกติ แต่พระองค์รู้ และทรงตรัสรู้ทรงพระมหากรุณาแสดงให้สัตว์โลกได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นถึง ๔๕ พรรษา เพราะรู้ว่าแค่คำเดียวไม่พอ หนึ่งพรรษาก็ไม่พอที่จะให้สัตว์โลกสามารถที่จะพิจารณาข้อความแต่ละคำ ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรก็ตาม ก็พูดถึงสิ่งที่มีจริง โดยนัยหลากหลายด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะโดยความเป็นธรรม เป็นธาตุ เป็นขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นอริยสัจจะ เป็นปฏิจจสมุปบาทคือเดี๋ยวนี้

    อ.อรรณพ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในส่วนอย่างลึกซึ้งแน่ เรื่องเกี่ยวกับมรรคผลนิพพาน หรือการอบรมเจริญปัญญาที่เข้าใจความเป็นปกติในขณะนี้ แต่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังครอบคลุมไปจนถึงธรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างมงคลสักข้อ อย่างเช่น การสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลอันสูงสุด

    ท่านอาจารย์ มงคลก็คือความดีใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละข้อเป็นความดีหรือเปล่า

    อ.อรรณพ แต่ละข้อเป็นความดี

    ท่านอาจารย์ ความดี เมื่อมีความรู้แล้วปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ถ้าปัญญาต้องนำไปในกิจทั้งปวง ฟังแค่นี้จะนำไปในอกุศลได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่แม้คำนั้นจะสั้น แต่ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริงในเหตุในผล แม้แต่จะเลี้ยงดูมารดาบิดาก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นมงคลทั้งหมด ถ้าไม่มีข้อที่หนึ่ง จะมีข้อสุดท้ายได้ไหม ข้อสุดท้ายคือการรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ถ้าไม่มีข้อที่หนึ่ง ที่สองที่สามไปเลย จะเอาอะไรมารู้แจ้งอริยสัจธรรม เอาอกุศลมารู้แจ้งไม่ได้ แต่เอาคุณความดีทั้งหมดที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แม้แต่การฟังธรรมก็เป็นมงคล การสนทนาธรรมก็เป็นมงคลนำไปสู่อะไร นำไปสู่ท้ายที่สุดก็คือการรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    พระธรรมคำสอนทั้งหมดต้องตามลำดับ ไปบอกว่าไม่ต้องศึกษาไม่ต้องฟังธรรมไม่ต้องมีกุศลเลย แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมงคลที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มีให้เห็นว่า อกุศลทั้งหลายไม่สามารถที่จะนำไปสู่การละคลายกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เริ่มตั้งแต่มงคลข้อที่ ๑ ไม่ใช่ว่าพูดไปหมด ๓๘ แล้วก็เข้าใจว่า จบแล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว แต่แม้แต่ข้อที่ ๑ ไม่คบคนพาล เห็นไหม พาลคือใคร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพาล เพราะฉะนั้นคนที่มีความเห็นผิด เข้าใจผิด ศึกษาธรรมเผินๆ กล่าวอ้างคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความละเอียดไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้ง แล้วก็คิดเองชักชวนให้ใครไปปฏิบัติธรรม โดยเขาไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นพาลหรือเปล่า

    อ.อรรณพ เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตั้งแต่ข้อที่หนึ่งเลย ต้องรู้ว่าใครเป็นพาลก่อน ไม่ใช่ว่าใครที่พูดคำตามที่ได้ยินได้ฟังแต่เข้าใจผิด แล้วก็พูดตามความเข้าใจผิดชักชวนให้ทำผิดแล้วเราจะไปคบคนนั้น ถ้าคบก็คือว่าไปมาหาสู่ แล้วก็สนิทสนมคุ้นเคย ในที่สุดก็คล้อยตามความคิดเห็นนั้น

    อ.อรรณพ นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะว่าจะมีผู้ที่เขามีความประพฤติด้านอื่นดี แต่เขามีความเข้าใจผิดความเห็นผิดในเรื่องของหนทางปฏิบัติ และชวนให้ไปปฏิบัติผิดเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอวิชชารู้ได้ไหมว่านั่นคือผู้ที่เห็นผิด ถ้าความเห็นของเขาก็คือว่าศึกษาธรรมเผินๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ขณะใดเมื่อไหร่ใครเป็นพาลใครเป็นบัณฑิต และคบหมายความถึงอะไร

    อ.อรรณพ และในพระไตรปิฎกท่านก็แสดงไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พาลที่สุดก็คือผู้ที่มีความเห็นผิด มิจฉาทิฎฐิบุคคลเป็นพาลยิ่งกว่าพาล ซึ่งเข้าใจยาก ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม เพราะเราดูที่ความประพฤติทั่วๆ ไปของเขา

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงเพื่อนของคุณอรรณพ มีเพื่อนมาก มีความเห็นผิดมีความเห็นถูกบ้างก็ยังไกล บ้านเดียวกัน พี่น้องกันแท้ๆ เห็นผิดมีไหม ก็มี แล้วอย่างไร คบที่นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้พูดกัน หรือไม่ได้อาศัยกันเลย แต่ว่าไม่คบกับความเห็นผิด แต่อย่างอื่นก็ยังคงเป็นเพื่อนได้ ช่วยได้อะไรได้ทุกอย่าง แต่ว่ารู้ตัวว่าผู้นั้นมีความเห็นไม่ถูกต้อง แล้วจะคบกับความเห็นผิดๆ นั้นหรือ

    อ.อรรณพ มงคลทั้งหมด ถ้าจะกล่าวแล้วก็คือ กุศลคุณความดีทั้งหลายที่เป็นไปเพื่อปัญญาที่จะดับกิเลสนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอยู่เพียงแค่ทำดีเท่านั้นหรือ พอไหมที่จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.อรรณพ เพราะว่ามีหลายข้อที่ชวนให้คนที่ไม่ได้มีความละเอียด ก็จะคิดว่าเป็นคำสอนที่เขาเข้าใจได้พื้นๆ อย่างเช่นความเป็นผู้มีศิลปะเป็นมงคลอันสูงสุด เขาก็คิดว่าเขามีศิลปะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องละเอียด ที่ว่าคนที่มีศิลปะเข้าใจถูกหรือเปล่า หรือเข้าใจผิด แต่คนที่มีศิลปะกับคนที่ไม่มีศิลปะอะไรดี

    อ.อรรณพ มีศิลปะดีกว่า

    ท่านอาจารย์ และสามารถที่จะใช้ศิลปะนั้นในการที่จะเข้าใจธรรม แล้วก็เผยแพร่ให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมด้วยได้ไหม

    อ.อรรณพ ครับ

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ถึงการละอกุศลกับการเจริญกุศล

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าเมื่อใดเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ทราบบ้าง ไม่ทราบบ้าง

    ท่านอาจารย์ ขณะที่รู้ ละความไม่รู้

    ผู้ฟัง อย่างเช่น ลักษณะของโลภะซึ่งเป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้อ เราไม่สามารถที่จะทราบโลภะที่เป็นส่วนละเอียดที่ติดตัวเราตามเหมือนเงาตามตัว

    ท่านอาจารย์ แล้วโลภะอย่างหยาบรู้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าชัดเจนพอจะทราบได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ไม่มีตัวตน ที่พยายามจะไปรู้ แต่ฟังพระธรรม ความเข้าใจจะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนั้นถูกต้องเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง แล้วเมื่อเข้าใจแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจแล้วก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้ว

    ผู้ฟัง ดับหมดแล้ว

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่รู้ก็คิดว่าเป็นเราแล้วก็เดือดร้อนในอกุศล เพราะความเป็นเรา แต่ตราบใดที่อกุศลยังมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดมาก แล้วจะไม่ให้อกุศลเกิดหรือ เพียงแต่ว่าเมื่ออกุศลเกิดแล้วไม่รู้ ต่างจากเมื่อขณะที่อกุศลเกิด ก็สามารถรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไป เพราะฉะนั้นเริ่มแรก ก็คือมีความเข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรมไม่ใช่ใครสักคนหนึ่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นตามปัจจัย ที่ทำให้เกิดธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้นจะมีข้อความว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เป็นไปตามปัจจัย เรียกว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้

    ผู้ฟัง พอธรรมเกิดตามเหตุ และปัจจัย ก็จะไปหาปัจจัยอีก

    ท่านอาจารย์ นั่นกุศล หรืออกุศล

    ผู้ฟัง อกุศล

    ท่านอาจารย์ แล้วจะละได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการละไม่ใช่ตอนอื่นเลย ขณะที่กำลังเข้าใจนั่นเองที่จะละได้ เพราะเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา จะมีตัวตนไปพยายามละตอนอื่นอีกก็ผิด ตอนที่เข้าใจนั่นเอง ความเข้าใจนั้นละความไม่รู้

    ผู้ฟัง แล้วการเจริญกุศล

    ท่านอาจารย์ มีใครไปเจริญหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกว่าอกุศลไม่ดีนำมาซึ่งทุกข์โทษ แล้วจะทำอกุศลไหม

    ผู้ฟัง แต่ถ้าอกุศลนั้นมีกำลังก็เป็นไปตามเหตุ และปัจจัย

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้ไหมว่าอกุศลนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย แม้อกุศลที่มีกำลังก็ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ก็ต้องทราบตามนั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ขณะนั้นก็ละความเป็นเราที่มีอกุศลขณะนั้น ไม่ใช่ตอนอื่นเลยตอนที่สภาพธรรมกำลังปรากฏเช่นนี้ ธรรมดาเช่นนี้ และมีความเข้าใจถูกต้องเมื่อใด ก็ละความไม่รู้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้นความไม่รู้มาละความเป็นตัวตนไม่ได้เลย ต้องในขณะที่ฟังแล้วเห็นความเป็นอนัตตา และเมื่อสภาพธรรมใดปรากฏต้องขณะนั้นที่รู้ว่าเป็นธรรมจึงจะละความไม่รู้ได้ จึงมีคำว่าสติสัมปชัญญะ และสติปัฎฐานซึ่งเกิดขึ้น โดยไม่มีใครไปทำให้เกิดได้เลย แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน เพราะขณะนี้อกุศลก็มีแต่มีสติสัมปชัญญะที่จะเข้าใจ แม้อกุศลที่กำลังมีลักษณะที่ปรากฏหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คือสติสัมปชัญญะจะต้องรู้สภาพลักษณะของธรรมแม้อกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการฟังเท่านี้พอไหมที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นในขณะนี้

    ผู้ฟัง ไม่พอ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อใด เริ่มรู้ความต่างของสติเพียงขั้นฟังกับสติที่กำลังเข้าใจถูกในลักษณะที่เป็นธรรม

    ผู้ฟัง แต่ทุกคนก็ไม่ชอบอกุศล

    ท่านอาจารย์ ไม่ชอบเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แล้วปัญญาเกิดขึ้นรู้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ว่านั่นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายความว่าให้คนที่ศึกษาธรรมเข้าใจธรรมไปทำให้ไม่เกิดอกุศล แต่มีความเข้าใจถูกต้องจริงๆ ไม่ว่าเมื่อใดขณะใดหลงลืมสติก็เป็นธรรมดาเป็นธรรม สติเกิดก็เป็นธรรมดาไม่ใช่เราทั้งหมด แต่มีปัจจัยที่สภาพธรรมใดจะเกิดเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น อดทนไหมที่จะรู้ว่านี่คือของจริง ไม่มีใครต้องไปทำขึ้นมาเลย เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยคือ เข้าใจธรรมพอที่จะละความเป็นเราที่ต้องการให้สติสัมปชัญญะเกิด ฟังเข้าใจแล้วจะไปทำให้สติสัมปชัญญะเกิดหรือเปล่า ผิดทันที เพราะว่าไม่เข้าใจในความเป็นอนัตตาว่าไม่ว่าธรรมใดๆ ทั้งสิ้น จะเป็นอกุศลระดับใด จะเป็นกุศลระดับใด ก็เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เรียนถามเรื่องเจริญอสุภะ ท่านอาจารย์บอกว่าทำไมต้องเจริญอสุภะ รู้ความจริงไม่ดีกว่าหรือ แล้วก็ว่าไม่ใช่เราไม่มีเราที่ต้องไปรู้ พอมาใช้ชีวิตประจำวันจริงๆ เอาไม่อยู่

    ท่านอาจารย์ นี่คือความเป็นเราที่ต้องการอย่างนั้น แล้วไม่มีปัจจัยพอที่จะเป็นอย่างนั้นก็เดือดร้อน

    ผู้ฟัง แล้วเราควรทำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทำอีกแล้วใช่ไหม ก็คือว่าไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าไม่มีเรา นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงว่าไม่มีเราเลยทุกชาติ แต่มีปัจจัยที่ธรรมจะเกิดขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    17 พ.ย. 2567