ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925


    ตอนที่ ๙๒๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงว่าไม่มีเราเลยทุกชาติ แต่มีปัจจัยที่ธรรมจะเกิดขึ้น ใครหยุดยั้งปัจจัยที่จะให้ธรรมเกิดได้ไหม ตายแล้วไม่มีอีกไม่ให้เกิดอีกไม่ให้เป็นอีกได้ไหม เห็นเมื่อสักครู่นี้ดับไปแล้วไม่ให้มีธรรมอื่นเกิดขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาอะไรได้เลย แล้วธรรมก็หลากหลายมาก แต่ทั้งหมดเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เป็นแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดไม่ได้ คิดอย่างนี้ก็เพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะคิดอย่างนี้ก็คิดอย่างอื่น ไม่ใช่อย่างนี้ ถ้ามีคนเขาบอกให้ทำ ทำไหม นั่งนิ่งๆ แล้วพยายามคิดว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา จะทำไหม นั่งนิ่งๆ อย่าคิดอย่างอื่น พยายามคิดว่าไม่ใช่เรา จะทำอย่างนั้นไหม

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่าธรรมไม่ใช่ใครจะทำให้เกิดขึ้นมาได้ ทุกขณะเลยเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยเท่านั้น ถ้าไม่มีปัจจัยจะเกิดก็เกิดไม่ได้ ทุกคนเข้าใจความต่างกัน ระดับขั้นของการฟัง ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ แล้วก็ยังมีกำกับไว้ด้วยสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ไม่ให้เข้าใจผิดว่าแค่ฟังนิดๆ หน่อยๆ ก็ปฏิบัติได้แล้ว แต่ปฏิยัติคือความรอบรู้ในคำที่ได้ฟังทุกคำเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นมั่นคงขึ้นว่า ธรรม แค่นี้ใครก็ทำไม่ได้ แล้วไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็คือว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาจริงๆ ไม่ใช่ของใคร ดับแล้วก็มีธรรมที่เกิดต่อไป เพราะฉะนั้นก็แต่ละหนึ่งธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แล้วจะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไหม เปลี่ยนให้เป็นเราสามารถจะไปควบคุมให้เป็นกุศลให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นหน้าที่ของปัญญาตามลำดับ ปัญญานิดเดียวดับกิเลสได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นอีกหน่อยหนึ่งดับกิเลสได้ไหม จนกว่าจะรู้ความต่างของปัญญาที่ขั้นฟัง มั่นคงเป็นสัจจญาณไม่หวั่นไหว อะไรจะเกิดก็เป็นธรรมเมื่อนั้นเองจะเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐาน หรือสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น จะเห็นความเป็นอนัตตาว่า เกิดโดยที่ว่าเราไม่ได้หวัง ไม่ได้รอ ไม่ได้ไปทำอะไรเลย เพราะเหตุว่าขณะนี้ธรรมก็กำลังเป็นอย่างนั้น เกิดแล้วดับแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นจะให้ใครที่ไหน ไปเป็นเรา แล้วไปทำได้

    ผู้ฟัง ก็คือก่อนที่จะได้มาได้ยินได้ฟังได้เรียนรู้พระธรรม ก็เคยละเมิดศีลไว้มาก แล้วพอตอนนี้ร้อนใจมาก และก็เวลายิ่งศึกษายิ่งกลัวไปหมด

    ท่านอาจารย์ ท่านพระองคุลีมาลฆ่าคนเท่าใด แต่ธรรมที่ท่านได้สะสมมาแล้วถึงเวลาก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อใด ท่านก็ไม่เคยรู้ในชาติก่อนๆ ว่าท่านจะเกิดอย่างนี้ได้กระทำกรรมอย่างนี้ แต่ว่าการสะสมความเข้าใจทุกชาติมาไม่ได้สูญหายเลย แม้ว่าจะเป็นการกระทำใดๆ ก็ตาม ปัญญาที่สะสมที่สามารถจะถึงการเข้าใจถูกในสภาพธรรมนั้นได้ ไม่มีใครยับยั้งไม่ให้เกิด เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เอง สติสัมปชัญญะจะเกิดหรือไม่เกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็จะรู้อะไรหวังไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้ว่าสภาพธรรมอะไรจะเกิดต่อจากขณะนี้เพียงหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้นจะรู้ทางตา หรือว่าจะรู้ทางใจ หรือจะคิดนึกอะไรก็ตามแต่ ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นก็เป็นธรรมนั้นๆ ซึ่งปัญญาค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าไม่ได้ไปทำเลย

    เพราะฉะนั้นท่านพระสารีบุตรก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้า ท่านจะพบท่านพระอัสชิได้ฟังธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านพระองคุลีมาลก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้า ท่านจะทำกรรมอะไรถึงอย่างนั้น แต่ประมาทปัญญาที่สะสมมาแต่ละชาติไม่ได้เลยว่า ยังคงมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน และก็มีกำลังขึ้นเมื่อมีการละคลายความเป็นเรา แต่ถ้าตราบใดที่ยังเป็นเราที่จะทำก็หมดหวัง

    ผู้ฟัง ก็คือมารู้ที่ความเป็นเราว่าไม่มีอยู่จริง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจ และความเข้าใจนั่นเองจะทำให้สติสัมปชัญญะเกิด เพราะฉะนั้นปริยัติคือรอบรู้ในพระพุทธพจน์ แล้วก็แทงตลอดว่าธรรมต้องเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไรเช่นคำว่าธาตุ คำว่าอายตนะ เช่น ธรรมเข้าใจแล้วใช่ไหม แล้วธรรมก็คือธาตุ เพราะเหตุว่าทรงไว้ซึ่งลักษณะนั้นซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ โลภะเกิดเมื่อใดก็ต้องติดข้อง โทสะะเกิดเมื่อใดก็ต้องขุ่นเคือง ปัญญาเกิดเมื่อใดก็เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทุกอย่างเป็นธาตุ ธา-ตุ เริ่มเห็นแล้ว ที่ไม่ใช่ธาตุมีไหม ไม่มี ทุกอย่างต้องมีลักษณะเฉพาะของตนของตน เดี๋ยวนี้ที่เห็นถ้าไม่มีจักขุปสาทที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ จิตเห็นจะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจอายตนะ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีสิ่งใดกระทบตา เห็นไม่มี แต่ขณะใดที่เห็นต้องอาศัยการประชุมกันพร้อมของสภาพธรรมในขณะนี้ เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตาต้องยังไม่ดับไป และก็จักขุปสาทรูปต้องยังไม่ดับไป เพราะฉะนั้นการกระทบของสิ่งที่กำลังปรากฏกับจักขุปสาทรูป และกรรมในอดีตที่ได้กระทำแล้วถึงพร้อมที่จะให้เห็นเกิดขึ้นเห็นจึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ก็มีความเข้าใจในความหลากหลายของธรรมซึ่งเป็นขันธ์แต่ละหนึ่งเกิดดับ แล้วก็เป็นธาตุ แล้วก็เป็นอายตนะ เพราะเหตุว่าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ต้องมีธรรมซึ่งขณะนั้นประชุมรวมกันเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งที่ปรากฏ เช่นจิตเห็นในขณะนี้

    นี่คืออริยสัจจะ เพราะเหตุว่าสัจธรรมก็คือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีขณะนี้เกิดขึ้น และดับไป เป็นทุกขลักษณะ ไม่มีใครสามารถยับยั้งว่า ให้อยู่ต่อไปให้ยาวอีกนิดหนึ่งไม่ได้เลย จิตเกิดดับเร็วมาก ถ้าจะย่อยเป็นอนุขณะก็คืออุปทาขณะ ขณะเกิด ฐีติขณะ ขณะที่ยังไม่ดับ ภังคขณะคือขณะที่ดับ เมื่อล่วง ๓ ขณะนี้จึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ เห็นไหม แล้วใครรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้ใครรู้ ให้ผู้ที่เห็นประโยชน์รู้ว่าการรู้ก่อนจากโลกนี้ดีกว่าจากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้ ทั้งหมดที่เกิดมานี่ไม่รู้เลยกับการที่ได้เริ่มเข้าใจขึ้น ซึ่งจะติดตามไป ไม่ว่าจากชาตินี้ไปอีกกี่ชาติ ที่ปัญญาที่สะสมไว้สามารถที่จะถึงเวลาที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ใครก็ห้ามไม่ได้ เหมือนขณะนี้ที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ใครไปบอกให้รู้ก็ไม่ได้ แต่อาศัยการฟังที่สะสมไว้ ไม่สูญหายเลย เพราะว่าหลังจากฟังเข้าใจ อกุศลก็เกิดแล้ว เพราะว่าสะสมอกุศลไว้มากมายมหาศาล ที่จะไม่ให้เกิดขึ้นเลย ก็ไม่ได้ แต่เกิดแล้ว รู้หรือไม่ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นปัญญารู้ทุกอย่าง ไม่ใช่รู้เฉพาะกุศล อยากจะให้มีแต่กุศลก็ผิด เพราะเหตุว่าใครไปทำให้กุศลเกิดได้ แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิดมากมาย อกุศลก็เกิด และก็ค่อยๆ สะสมปัญญาทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งปัญญานั้นสามารถรู้สภาพธรรมใดๆ ก็ได้ในขณะนั้น นี่จึงจะเป็นการเข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง สัมมาวายามะ ปรารภความเพียรกับความเพียรเฉยๆ ต่างกันไหม

    ท่านอาจารย์ ความเพียรคือความเพียร แล้วที่ความเพียรจะเกิดหรือไม่เกิด ใครทำได้

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแม้ขณะที่ความเพียรเกิดก็รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นเข้าใจด้วย จะได้ละการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา มิฉะนั้นแล้วจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงอ่านหรือไม่ใช่อ่านแล้วไปทำว่าให้ปรารภความเพียร แต่ต้องไม่ลืมว่าทั้งหมดเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจะเกิดหรือไม่เกิดเพราะอะไร จะเป็นสัมมาวายามะหรือไม่ใช่สัมมาวายามะเพราะอะไร เดี๋ยวนี้มีความเพียรไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษารู้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เวลาที่ศึกษาแล้ว ก็รู้ว่าขณะที่เห็นมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือไม่ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เฉพาะจิตเห็นที่เกิดขึ้นมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือไม่ ไม่มี จะต้องรู้ว่าวิริยเจตสิกเกิดกับจิตกี่ประเภท มิฉะนั้นเราคิดเองไม่มีทางรู้ความจริงได้เลย เพราะฉะนั้นให้ทราบ แม้แต่คำว่าเห็น ใช้คำต่างกับจิตประเภทอื่นหมด จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คือเป็นกุศลวิบากผลของกุศล จักขุวิญญาณจิตเห็น ที่เป็นผลของกุศล ๑ เป็นผลของอกุศล ๑ เกิดจากกรรมที่ต่างกัน จิต ๑๐ ดวงนี้ ใช้คำว่าอุปปัตติ แต่จิตอื่นใช้คำว่านิพพัตติ แสดงให้เห็นความต่างว่าใครจะไปทำให้จิต ๑๐ ดวงนี้เกิดไม่ได้เลย แต่ว่ามีกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะว่าจิต ๑๐ ดวงนี้ต่างกับจิตอื่น เพราะเหตุว่าจิตอื่นไม่เห็นก็ยังคิดได้ แต่จิตเห็นทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นแค่เห็นหนึ่งขณะ ดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่ออีก ๓ ขณะ ดับแล้ว อกุศลก็เกิด เราไม่รู้ตัวเลย เดี๋ยวนี้จิตเกิดดับเร็วมาก วิริยเจตสิกก็เกิดร่วมด้วยแล้ว แต่ไม่ใช่สัมมาวายามะ นี่เป็นการที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งละเอียดมาก จึงเป็นที่พึ่งไม่ให้เราหลงผิดไม่ให้เข้าใจผิด เป็นการรอบรู้ และแทงตลอดในเหตุในผลในความเป็นจริงของธรรม มิฉะนั้นแล้วทุกคนก็หลงผิด คิดว่าจะไปทำให้สติสัมปชัญญะเกิด แต่ถ้าไม่มีปัญญาเจตสิกไม่มีทางที่จะเป็นสัมมาวายามะ ไม่มีทางที่จะเป็นมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งสามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ด้วยพระมหากรุณาที่ไม่ให้ใครหลงผิดคิดเอง เพราะเหตุว่าจะคิดเองได้อย่างไร เป็นใคร แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร อาจารย์แต่ละท่านเป็นใคร เพราะฉะนั้นสาวกคือผู้ฟังพระธรรม ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมจะเป็นอริยสาวกได้หรือ ไม่ฟังพระธรรมการรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มีไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ได้บำเพ็ญบารมีที่จะรู้ความจริงของธรรมทั้งหมดโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวงไม่ว่าจะกล่าวถึงธรรมใด แม้วิริยะเจตสิกเกิดเมื่อใดบ้าง ขณะใดบ้าง เพียงแค่จิตที่เห็นดับแล้วมีจิตที่เกิดต่ออีก ๓ ขณะ วิริยเจตสิกก็เกิดกับจิตนั้นแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้ก็มีวิริยเจตสิกเกิด

    เพราะฉะนั้นอาศัยคำของพระองค์ก็ทำให้เป็นผู้ที่เข้าใจถูกเห็นถูกว่า ยังไม่ใช่สัมมาวายามะในมรรคมีองค์ ๘ แม้ว่าจะเป็นวิริยเจตสิก ต่อเมื่อใดมีกำลังขึ้น และจะมีกำลังขึ้นด้วยอะไร ด้วยความเห็นถูกที่มั่นคงเข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา ต้องในความเป็นอนัตตาจึงจะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น ไม่มีตัวตนอีกต่างหากซึ่งจะไปทำ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมากที่อาศัยพระธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้คนนั้นไม่หลงผิด

    ผู้ฟัง ตอนนี้ผมไปฝึกสอนที่วิทยาลัยอาชีวะ วิชาทางด้านบริหารธุรกิจ สอนนักเรียนให้เอาชนะคู่แข่งขันบ้าง จะวางใจอย่างไรตรงนี้ว่าก็อยากเป็นครูที่ดี แต่ว่าก็ต้องสอนวิชาพวกนี้ แล้วก็รักวิชาชีพครูมากๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เพิ่มการสอนให้เป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นใคร นักธุรกิจ ไม่ได้มีคนเดียว แล้วโลภะก็ไม่ได้มีเฉพาะนักธุรกิจคนนั้นคนนี้ ถึงคนไม่ใช่นักธุรกิจก็มีโลภะ ทุกคนก็ต้องการโลภะแสวงหาโลภะะตั้งแต่ลืมตาจนหลับตาทุกวัน จะมีมาก หรือจะมีน้อยก็แล้วแต่ใช่ไหม แต่อย่างน้อยที่สุดก็ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าความดี หรือกุศลเท่านั้นที่จะนำสิ่งที่ดีมาให้ นักธุรกิจหวังเงินทองเหลือเกิน ถูกต้องไหม แล้วก็กระทำทุจริตจากความต้องการนั้นหรือเปล่า หรือว่านักธุรกิจคนใดสุจริต ต่างกันแล้วใช่ไหมซึ่งผล

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุ และผล ทุจริตไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือไม่ใช่นักธุรกิจก็นำมาซึ่งผลที่ไม่ดี เกิดเป็นผลของอกุศลกรรมก็เป็นการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในอบายภูมิ ต้องมีความเข้าใจมั่นคงในเหตุ และผล ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้แล้วก็เป็นนักธุรกิจที่ดี ไม่ได้มีการหวังร้ายที่จะให้เขาพินาศไป แล้วให้เราดี แต่ต่างคนก็ต่างดีก็ได้ตามความสามารถ เพราะฉะนั้นให้ใช้ความสามารถเต็ม แต่ว่าเป็นคนดีด้วย อย่างไรๆ ก็ต้องมั่นคงในเรื่องคุณความดี เป็นเหตุที่ดี ที่จะนำมาสู่ผลที่ดี

    อ.ธิดารัตน์ เวทนาที่เป็นไปทางกาย ทางใจ จะเข้าใจเวทนาว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เราอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เวทนาคืออะไร ก่อนอื่นทั้งหมดถ้าไม่ตั้งต้นให้เข้าใจถูกต้องก่อนว่าคืออะไร ไม่มีทางที่จะเข้าใจต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้เวทนาคืออะไร

    ผู้ฟัง เวทนาในความหมายที่เข้าใจก็คือความรู้สึก

    ท่านอาจารย์ เป็นภาษาไทยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ความรู้สึกนี้ก็น่าจะเป็นภาษาไทย

    ท่านอาจารย์ ภาษาไทยเป็นความรู้สึก แต่เวทนาเป็นภาษาไทยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง น่าจะไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะทุกวันเราไม่ได้พูดเวทนานั้นเวทนานี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นคำภาษาบาลี หมายความถึงสิ่งที่มีจริงไม่ใช่จิต แต่เป็นความรู้สึกเป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ เพราะเหตุว่าเมื่อมีการกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมทำให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวว่าเวทนาคือความรู้สึก ความรู้สึกมีกี่อย่าง ธรรมดา สุข ทุกข์ แล้วก็ไม่สุขไม่ทุกข์ และก็แยกเป็นทางกายกับทางใจ เวลาที่เจ็บเป็นความรู้สึกหรือไม่ ถ้าไม่มีกายจะเจ็บไหม เวลาพูดถึงปวด เวลาพูดถึงคัน ถ้าไม่มีกายจะมีความรู้สึกอย่างนั้นไหม เพราะฉะนั้นเวทนาความรู้สึก ซึ่งเกิดโดยอาศัยกาย แต่ถึงไม่มีกายความรู้สึกก็มีได้

    แต่ความเสียใจไม่ต้องอาศัยกายเลย ดีใจก็ไม่ต้องอาศัยกายเลย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมอย่าประมาท ต้องเข้าใจแต่ละคำ เพราะว่าจะใช้ภาษาใดก็ตามแต่ แต่ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ในภาษาของตนของตน เพราะฉะนั้นเราเป็นคนไทยเราก็พูดถึงคำที่เราเข้าใจได้ในภาษาไทย เดี๋ยวนี้มีความรู้สึกไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เมื่อใดไม่มีความรู้สึก

    ผู้ฟัง น่าจะไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลย เพราะเหตุว่าตราบใดที่มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ก็จะต้องมีสภาพที่รู้สึกกับสิ่งที่จิตรู้ ชอบหรือไม่ชอบ สุขหรือทุกข์ หรือเฉยๆ เพราะฉะนั้นเวทนาไม่ใช่เราใช่ไหม

    ผู้ฟัง เวลามีความเจ็บมากขึ้น การระลึกรู้ ถ้าอยู่ปกติ เราจะระลึกรู้ได้เพราะมีสติว่าไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ แต่อย่าเพิ่งระลึกรู้ได้ไหม แค่เข้าใจว่าลักษณะนั้นมีจริงๆ สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วจึงมี และสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วก็ดับไป ค่อยๆ เข้าใจ ขณะที่เข้าใจอย่างนี้ก็เป็นสติขั้นฟังพระพุทธพจน์ แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจคำที่ทรงแสดงไว้ในภาษาบาลี แต่ก็กล่าวถึงธรรมที่มีจริงว่า ขณะใดที่จิตเกิดขณะนั้นต้องมีสภาพธรรมที่เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดกับจิตในขณะนั้น ความรู้สึกที่เป็นสุขก็มี ทุกข์ก็มี อาศัยกายรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ แต่เวลาที่เป็นความรู้สึกดีใจ เสียใจ โดยไม่อาศัยกาย รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง รู้ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่ไม่สุขไม่ทุกข์รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง รู้ได้เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ รู้ได้แต่ยาก เช่น เดี๋ยวนี้รู้สึกอย่างไร

    ผู้ฟัง เฉยๆ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือไม่สุขไม่ทุกข์ รู้ยากกว่าเวลาที่สุขเกิด หรือทุกข์เกิด

    ผู้ฟัง เวลาความรู้สึกทุกข์ หรือสุขเกิดขึ้น ในความรู้สึกคือไม่รู้ว่าเป็นเรา เหมือนกับเผลอว่า นี่คืออัตตา ทำให้เหมือนกับว่าปัญญาเราไม่พอ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องพูดถึงปัญญา พูดถึงความเป็นจริงว่าใครรู้บ้างว่าขณะนี้สุขหรือทุกข์แม้ว่ามี

    ผู้ฟัง ไม่มีใครรู้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครรู้ แต่ฟังแล้วรู้ว่าขณะใดก็ตามที่มีจิตต้องมีความรู้สึกซึ่งไม่ใช่จิตแต่เกิดกับจิต และความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ จะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขก็ไม่ได้ จะเปลี่ยนสุขให้เฉยๆ อทุกขมสุขก็ไม่ได้ เริ่มเห็นความเป็นธรรมก่อน ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ ก็คือไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพของธรรมที่เป็นสติ และโสภณเจตสิกอื่นๆ ซึ่งขณะนั้นเกิดพร้อมกันแล้วก็เริ่มเข้าใจถูกต้อง แต่ไม่ใช่ไปให้มีสติให้รู้จริงๆ ในขณะนั้น ไม่ใช่ถึงระดับนั้นเพียงแต่เริ่มเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะเป็นเพียงความรู้สึกชนิดหนึ่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องสติที่จะระลึก แต่เข้าใจให้ถูกต้องขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใด ก็เป็นลักษณะของสภาพที่มีจริงแต่ละหนึ่ง

    ผู้ฟัง เรียนถามคำว่ากตญาณ

    ท่านอาจารย์ ญาณคือปัญญา ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนั้นเป็นความไม่รู้ ถ้าไม่มีการฟังก็ไม่รู้ เราเกิดมาแล้วมีทุกสิ่งทุกอย่างทั้งวันก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการฟังแล้วก็มีความเข้าใจมั่นคงในขั้นฟังว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งจริงๆ เห็นก็เป็นธรรมหนึ่ง เข้าใจอย่างนี้ไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ มั่นคงไหม พอเฉยๆ เกิดขึ้นรู้ไหมว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    ผู้ฟัง ตอนนี้ยังไม่มั่นคง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังไม่ใช่สัจญาณ เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวโดยนัยของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธคือการศึกษาการฟังเข้าใจรอบรู้แทงตลอดเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติเกิดขึ้น ปฏิปัตติก็คือปฏิบัติ หมายความว่ามีสภาพของธรรมคือเจตสิกที่ทำกิจปฏิบัติไม่ใช่เราปฏิปัตติ

    ปฏิบัติในที่นี้คือถึงพร้อมด้วยความเข้าใจถูกในสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง นั่นคือปฏิบัติ ถ้าไม่มีความเข้าใจมาก่อนเลยจะรู้ไหมว่าความรู้สึกขณะนี้ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจากปริยัติ ฟังก็สามารถที่จะทำให้เมื่อสภาพธรรมใดปรากฏ ไม่มีเราไปบังคับเลย แต่ความเข้าใจนั้นเป็นปัจจัยให้เข้าถึงลักษณะที่กำลังเป็นอย่างนั้นว่า เป็นธรรมมั่นคงขึ้นอีกหน่อย

    เพราะฉะนั้นปริยัติการฟังถึงความเป็นสัจจญาณที่มั่นคง ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น ก็คือกิจจญาณ สภาพธรรมเริ่มทำกิจของสภาพธรรมที่จะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่มีปริยัติ ก็ไม่มีปฏิบัติ ถ้าไม่มีปฏิบัติก็ไม่มีปฏิเวธ คือการแทงตลอดความจริงของธรรมเดี๋ยวนี้เลยที่กำลังเกิดดับ อีกนัยหนึ่งการฟังจะรู้ได้อย่างไรว่า เข้าใจเพียงใด ก็คือว่ามีความมั่นคงว่าขณะนี้เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 พ.ย. 2567