ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926


    ตอนที่ ๙๒๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ การฟังจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าใจเพียงใด ก็คือว่ามีความมั่นคงว่าขณะนี้เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นโกรธ ไม่ว่าจะเป็นตกใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ขณะนั้นจากการฟังจนกระทั่งทำให้สามารถรู้ได้ในขณะนั้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็เป็นสัจจญาณที่ทำให้เกิดกิจจญาณ เช่นเดียวกับปริยัติทำให้เกิดปฏิบัติ เพราะฉะนั้นสัจจญาณก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิจจญาณ เมื่อมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมแล้ว ประจักษ์แจ้งความจริงเมื่อใด นั่นคือกตญาณ รู้แล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ใช่ เพราะเหตุว่าจะต้องมีสัจจญาณก่อน แล้วก็มีกิจจญาณถึงจะถึงกตญาณได้

    เพราะฉะนั้นเพียงแต่ชื่อ เราไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ เพียงแต่จำว่ามีปริยัติปฏิบัติ ปฏิเวธ มีสัจจญาณ มีกิจจญาณ มีกตญาณ แต่เราก็ไม่ได้เข้าใจ แต่ถ้ามีความเข้าใจแล้ว แล้วก็มีชื่อ เราก็จะไม่ลืมเลย และทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาระดับขั้นต่างๆ เพราะฉะนั้นขณะนี้ขั้นไหน

    ผู้ฟัง กำลังเรียนรู้เพื่อความเข้าใจที่กำลังไปสู่สัจจญาณ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นปริยัติ ถ้าขณะใดก็ตามที่สามารถจะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรก็เป็นธรรมทั้งนั้น นั่นก็คือสัจจญาณ ถ้ามีปริยัติที่มั่นคงเป็นสัจจญาณแล้ว สติสัมปชัญญะก็เกิดขึ้นทำกิจจญาณ ซึ่งเป็นปฏิปัตติ ซึ่งจะนำไปสู่ปฏิเวธ และกตญาณ เพราะฉะนั้นก็จำได้ ๓ อย่าง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ

    ผู้ฟัง กตญาณก็แสดงว่ารู้แจ้งแทงตลอด

    ท่านอาจารย์ เป็นผลของกิจจญาณ ถ้าไม่มีการรู้ในขณะนั้น ก็จะไม่ถึงการแทงตลอดสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ เพราะฉะนั้นเพียงขั้นฟังยังไม่ใช่กตญาณ และถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งก็ไม่ใช่กิจจญาณ ถ้ายังไม่มีความมั่นคง เพียงแต่จำชื่อจำเรื่อง ก็ไม่ใช่สัจจญาณ เพราะฉะนั้นก็สอดคล้องกันทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งมั่นคงเป็นสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมพะเยา เกทเวย์ จ.พะเยา

    วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙

    อ.ธิดารัตน์ ท่านผู้ถามได้ฟังคำบรรยายธรรมของท่านอาจารย์กล่าวถึงปัญญาความเข้าใจที่สะสม สงสัยว่าการสะสม สะสมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ พอได้ยินคำว่าจิตก็หมายความว่าขณะนี้มีธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะใช้คำว่าธาตุรู้ หรือธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เราก็เรียกสั้นๆ ว่าจิต เพราะฉะนั้นเราเคยได้ยินคำว่าจิตมาบ่อย แต่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงจิตคืออะไร แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้รู้อย่างอื่น ให้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี และกำลังมี ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นขณะนี้มีจิต เมื่อสักครู่นี้มีจิตไหม เมื่อวานนี้มีจิตหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจิตหนึ่งขณะที่เกิดต้องดับ เพราะว่าไม่มีอะไรเลย ซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ แต่ว่าละเอียดกว่านั้น เพราะว่าคนโดยมากเข้าใจว่า เพียงแค่เกิดแล้วต้องตาย แล้วก่อนตายก็เกิดแล้วก็ต้องเป็นทุกข์หรือเป็นสุข และก่อนนั้นก็คิดว่า จะต้องมีเรื่องราวต่างๆ มากมายในชีวิต แต่ว่าความจริงแล้วก็ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิต ถ้าจิตขณะหนึ่งหายไป อะไรๆ ก็ไม่มี ทั้งหมดที่เคยมีมาแล้วก็จบสิ้น ไม่มีเรื่องราวอะไรทั้งนั้น แต่ใครจะห้ามธรรม ความเป็นไปของธรรมคือธัมมตา ซึ่งเราใช้คำว่าธรรมดาในภาษาไทย ก็คือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเมื่อเกิดแล้วต้องดับ

    เพราะฉะนั้นเพียงแค่จิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นดับเลย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมอนุเคราะห์ให้รู้ สิ่งที่เราไม่เคยสนใจไม่เคยรู้เลยว่า เห็นหนึ่งขณะใช่ไหม ได้ยินก็หนึ่งขณะ ซึ่งไม่ใช่เห็น คิดก็หนึ่งขณะ แต่ละหนึ่งขณะหนึ่งขณะหนึ่งขณะทั้งนั้นตลอดชีวิต ตั้งแต่ขณะเกิดทีละหนึ่งขณะตลอดไปจนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายของชีวิต ใครเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมไม่ได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาไม่มีใครไปยับยั้งไม่ให้เกิด สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ได้ฟังพระธรรมต้องไม่เหมือนกับขณะอื่น ขณะอื่นไม่เคยสนใจชีวิตของตัวเอง และของใครๆ ทั้งนั้นว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ ขณะนี้ถ้าหลับตาก็ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในห้องนี้ปรากฏเหมือนขณะที่ลืมตา เพราะฉะนั้นขณะที่ลืมตาไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะเห็นเมื่อใด ก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏ นอกถนนในบ้านหรือว่าที่ไหนก็ตาม ธาตุเห็นสภาพเห็นเกิดขึ้นเมื่อใด ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้เลย นั่นก็คือเริ่มเข้าใจว่าจิตเห็นไม่ใช่เรา เพราะเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจิตแต่ละหนึ่งขณะ ไม่ใช่ของใครแล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ตามความเป็นจริงว่า ถ้าไม่มีขณะที่เกิดขึ้น ขณะต่อมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มี แล้วแสดงว่านี่เป็นการสะสมสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะว่าเมื่อวานนี้รับประทานอาหารอะไร อร่อยชอบมาก วันนี้ยังนึกถึงได้ แสดงว่าสืบต่อมาจากขณะก่อน เพราะฉะนั้นแม้แต่เดี๋ยวนี้เอง เห็นขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่าดับ แต่เห็นต้องดับเพราะว่าขณะที่เห็นมีได้ยิน เพราะฉะนั้นได้ยินกับเห็นจะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย เป็นธรรมคนละหนึ่งต่างประเภท เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นจริงๆ ต้องไม่มีได้ยิน ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น และขณะที่ได้ยินต้องไม่มีเห็น แต่สภาพธรรมก็ยังไม่ได้ปรากฏอย่างนี้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่ใครจะประมาณได้ แต่พระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญมาที่จะรู้ความจริง เพราะมีจริง เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วก็ดับ และก็สืบต่อเร็วจนปรากฏนิมิตหมายความถึงรูปร่างสัณฐาน เวลานี้สิ่งที่ปรากฏมีรูปร่างสัณฐานให้เห็นความต่างว่า เป็นดอกไม้ ไม่ใช่เป็นโต๊ะ เป็นคนนี้ไม่ใช่คนนั้น

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าถ้าไม่มีการเกิดดับสืบต่อสะสม ก็จะไม่มีสภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างนี้ เช่น ชอบดอกกุหลาบ ถ้าเห็นอีก ก็ชอบ แล้วก็ไม่ชอบเสียงดังๆ เพราะฉะนั้นความไม่ชอบไม่ได้หายไปไหน แม้ว่าเสียงดังดับแล้ว จิตที่ได้ยิน จิตที่ไม่ชอบดับแล้ว แต่ความไม่ชอบก็สะสมสืบต่อ จะรู้ได้เลยว่าทั้งกุศล ธรรมที่ดีงาม และอกุศล ธรรมที่ไม่ดีงาม ไม่ได้คงที่ตลอดเวลา เกิดดับพร้อมกับจิตตลอดเวลา แล้วก็ทำให้วันนี้ไม่เหมือนวันก่อน เมื่อวานนี้ฟังธรรม ซึ่งไม่เคยฟังในวันก่อน และความเข้าใจธรรมเมื่อวานนี้ก็ไม่ได้หายไปไหนเลย สืบต่อมาถึงวันนี้ พอพรุ่งนี้ใครถามว่าธรรมคืออะไร ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังคงมีความเข้าใจที่สืบต่อจากวันนี้ถึงวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าสืบต่ออย่างไร ก็เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเกิดดับ แม้ว่าจะไม่ใช่ขณะเดียวกัน แต่ก็สืบเนื่องมาทีละหนึ่งขณะ

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าสืบต่อหมายถึงจิตทุกประเภทเลยใช่ไหม ที่ดับไปแล้วก็สืบต่อไปยังดวงต่อไป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่สะสมก็คือกุศล และอกุศลทุกอย่าง พร้อมที่จะให้กุศลเกิดอีก และก็พร้อมที่จะให้อกุศลเกิดด้วย สภาพที่จำเกิดดับตามจิต เพราะฉะนั้นขณะนี้จิตเห็นอะไร สภาพนั้นก็จำ

    อ.ธิดารัตน์ ถ้ากล่าวถึงการสะสมก็เฉพาะนามธรรม เพราะรูปก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ รูปไม่รู้อะไร ถ้าพูดถึงคำว่ารูป ต้องเข้าใจทุกคำที่ได้ยิน ไม่ใช่คำที่เราเคยไม่รู้ และก็พูดมาตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่รู้เลย พูดคำว่ารูป ก็ไม่รู้ว่ารูปคืออะไร แต่เมื่อฟังพระธรรมแล้ว ทุกคำที่ไม่รู้จัก ก็เริ่มเข้าใจถูกว่าคืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ เพราะว่าท่านผู้ถาม ก็คือคล้ายๆ กับว่าสงสัยว่าการสะสมจะเหมือนกับการสะสมเงินทองไหม แต่เงินทองก็เป็นรูป อันนี้เป็นการสะสมที่เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่ยังไม่เข้าใจเรื่องธรรมเลย มีเราแล้วก็มีเงินทอง และเข้าใจว่าเงินทองของเรา นี่คือชีวิตปกติประจำวันจนกว่าจะได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจว่า ชีวิตของทุกคนที่มีชีวิตดำรงอยู่เพียงแค่จิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และก็ไม่จบ เพราะว่าการดับไปของจิตขณะก่อนก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้นปัญหาทั้งหมดเลย ต้องฟังให้เข้าใจธรรมตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่คำว่าธรรมมีจริง อย่าเพิ่งไปคิดว่าสะสมเงินทองเลย เพราะว่านั่นรู้มานานแสนนานว่าเป็นเราสะสมเงินทอง แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงอย่างละเอียดยิ่งทีละหนึ่ง จนกระทั่งรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย และก็จะได้รู้จักว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ รูปเป็นธรรมหรือเปล่า มีจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเริ่มต้นจากคำว่าธรรม ได้ยินคำว่าธรรมเข้าใจว่าอย่างไร ก่อนจะได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ธรรมคือทุกสิ่งที่มีจริง ก่อนที่จะได้ฟังก็ใช้คำว่าธรรม อธรรม ยุติธรรม เป็นต้น กุศลธรรม อกุศลธรรม ได้ยินแต่ชื่อ แต่ว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ทุกสิ่งอย่างละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นผู้ที่เริ่มศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ที่ละเอียดแล้วก็ตรง คำไหนที่ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งผ่าน เมื่อได้ยินแล้วต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นวาจาสัจจะเป็นวาจาจริงทุกคำ ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจถูก ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมี

    อ.ธิดารัตน์ ท่านผู้ถามสงสัยเรื่องการสะสมแล้ว ยังสงสัยว่าสะสมแล้วมีที่เก็บไหม เก็บไว้ที่ไหนอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็คือตั้งต้นตั้งแต่คำว่าธรรมก่อน เพราะฉะนั้นถามปัญหาได้รอบโลก แต่ว่ารู้หรือเปล่า แต่ละคำที่พูดเข้าใจอะไรหรือเปล่า มีแต่ความคิดของตัวเองทั้งหมด เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรมเริ่มรู้จักว่าคำที่ไม่เหมือนใครทุกคำ เพราะฉะนั้นทุกคำต้องเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้นจึงได้รู้ว่าคำนั้นเป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริงของคำแต่ละคำ ถ้ายังไม่เข้าใจคำหนึ่ง แล้วจะไปเข้าใจอีกคำหนึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แล้วถ้าเป็นคำของคนอื่นทั้งหมดที่เคยฟังมา คำเหล่านั้นทั้งหมดเป็นคำของใคร ไม่ใช่ผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำนี้ ตั้งแต่เริ่มฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งที่รู้ความลึกซึ้ง และความละเอียดของสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เช่น สิ่งที่มีจริง ถามว่ามีจริงๆ หรือเปล่า ก็ตอบว่าเห็นก็มีจริงๆ ได้ยินก็มีจริงๆ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไม่ใช่เรา มีก็จริงแต่ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วย แล้วก็มีชั่วคราวคือ เพียงชั่วขณะที่ปรากฏ แต่ละคำข้ามไม่ได้เลย ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม เพราะว่าไม่เคยสะสมความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาก่อน เป็นคำใหม่ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ ในสังสารวัฏที่ผ่านมาแล้ว ไม่รู้ว่าเคยได้ยินได้ฟังมาเพียงใดแล้ว แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งความละเอียดเพียงใด เพราะฉะนั้นตั้งต้นทุกคำด้วยคำว่าธรรมจะไม่ผิด ไม่ว่าจะได้ยินคำอื่นหลังจากนี้ ก็ต้องเข้าใจทีละคำเพื่อที่จะได้สอดคล้องกับคำที่ได้ยิน จึงจะไม่ผิดได้ เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร แล้วจะตอบอะไร ตอบไปก็ไม่เข้าใจ ถามว่าอะไร

    อ.ธิดารัตน์ ท่านผู้ถามสงสัยเรื่องของการสะสมกุศล อกุศล

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็เลยเรื่องจิตแล้ว

    อ.ธิดารัตน์ แล้วก็สงสัยว่าเมื่อสะสมแล้ว สามารถที่จะเก็บไว้ที่ไหน แล้วไว้ใช้ได้อย่างไร อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ใครเก็บจิตไว้ที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ จิตเกิดแล้วดับแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสะสมอะไร

    อ.ธิดารัตน์ สะสมความเป็นปัจจัยเอาไว้

    ท่านอาจารย์ เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังกุศล และอกุศล แล้วอยู่ที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ ก็สะสมแล้วก็สืบต่อ

    ท่านอาจารย์ แล้วอยู่ที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ ก็อยู่ที่จิต

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้นสะสมกุศล และอกุศล แล้วกุศล และอกุศลอยู่ที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ อยู่ที่จิต

    ท่านอาจารย์ สะสมอยู่ในจิตแต่ละหนึ่งขณะ แล้วเดี๋ยวนี้จิตแต่ละหนึ่งขณะอยู่ที่ไหน ไม่เหมือนทรัพย์สินเงินทองที่จะไปกองไว้ในห้องใช่ไหม แต่เป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นดับไป ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น จะไปหารูปใดๆ ในจิตไม่ได้ เพราะเป็นธาตุรู้มืดสนิท เกิดขึ้นรู้สามารถรู้สิ่งที่ปรากฏได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นที่จะสะสมอยู่ที่ไหนก็คือในจิตแต่ละหนึ่งขณะ ไม่ต้องมีที่อื่นที่จะไปเก็บได้เลย ไม่เหมือนสิ่งของเงินทอง

    อ.ธิดารัตน์ มีเพื่อนคนหนึ่งเขาทำบุญด้วยเงินมาก แล้วเขาก็เข้าใจว่าบุญที่ทำด้วยเงินมาก ผลก็ต้องได้มากตามเงิน จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ขณะที่อยากได้บุญหรือเปล่า เพราะไม่รู้จักบุญ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นศึกษาธรรมต้องเข้าใจสำคัญที่สุด ไม่ใช่ให้ใครตอบ ตอบแล้วฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร อย่างนั้นจะไม่ชื่อว่าได้ฟังพระธรรม คำถามนี้มาจากการที่อยากได้บุญหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องมาจากการอยากได้บุญ

    ท่านอาจารย์ และการอยาก เป็นบุญหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ การอยากไม่ใช่บุญ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นบุญไม่ใช่อยาก อยากเมื่อใดก็ไม่ใช่บุญเมื่อนั้น

    อ.ธิดารัตน์ อย่างคนที่เขาอาจจะไม่มีสตางค์พอที่จะไปทำบุญ หรือว่าเจริญกุศล แต่เขาก็สามารถที่จะอนุโมทนากับผู้อื่นได้

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องรู้จักบุญก่อน ก่อนอื่นจะพูดคำไหนต้องรู้จักคำนั้น ถ้าไม่รู้จักแล้วเราจะมาคิดได้อย่างไร แม้ไม่มีเงินเลย ไม่มีทรัพย์สินเงินทองใดๆ เลยก็เป็นบุญได้ เพราะบุญต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ธรรมฝ่ายดีจิตใจที่ดีงามเกิดเมื่อใด แสดงความเคารพผู้ที่ควรเคารพปู่ย่าตายายเป็นบุญไหม

    อ.ธิดารัตน์ เป็น

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็เป็นแล้ว ไม่มีเงินเลยก็เป็นบุญได้ เพราะฉะนั้นบุญคือธรรม แน่นอนสิ่งที่มีจริง และสิ่งนั้นเป็นธรรมฝ่ายดีด้วย ไม่มีความโกรธ ไม่มีความติดข้องขณะใด ขณะนั้นก็เป็นบุญ นั่งอย่างนี้ กำลังฟังธรรมเป็นบุญหรือเปล่า ก็ถ้าเข้าใจคำว่าบุญก็รู้ว่าบุญคือเมื่อใด คือขณะใดก็ตามสภาพธรรมที่ดีงามเกิดขึ้นเป็นบุญทั้งหมด

    ผู้ฟัง การสะสมของกุศล และอกุศล จริงๆ มีมาแสนโกฏกัป และยาวนาน แล้วก็ยิ่งอกุศลต้องเรียกว่ามากมาย แต่ว่าเวลาปรากฏเพียงชั่วขณะหนึ่งแล้วก็หมดไป

    ท่านอาจารย์ แล้วกลับมาอีกไหม

    ผู้ฟัง ไม่กลับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตขณะต่อไปหมดสิ่งที่มีแล้วเมื่อสักครู่นี้ หรือว่ายังมีสิ่งที่เคยเกิดแล้วแต่ดับไปสืบต่ออยู่ในจิตขณะต่อไปด้วย

    ผู้ฟัง ฟังเมื่อสักครู่นี้ว่า ก็ต้องมีสืบต่อ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือการสะสมทีละเล็กทีละน้อย แต่ละขณะไม่ได้หายไปไหนเลย แต่มองไม่เห็น ถ้าโกรธปรากฏ ขณะนี้ตั้งแต่ก่อนนี้มีโกรธไหม หรือไม่เคยมีเลย

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ นั่นคือสืบต่อมาตั้งแต่ครั้งก่อนๆ ที่แม้ดับไปแล้ว ก็สะสมเชื้อของความโกรธที่จะทำให้โกรธเกิดอีก จริงๆ แล้วการศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ที่ละเอียดว่าเดี๋ยวนี้เพียงได้ยินคำว่าธรรมเข้าใจจริงเพียงใด เห็นไหม เพียงขั้นฟังว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงตามลำดับขั้น คือรู้ว่าเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะถ้าไม่มีจริงจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทรงตรัสรู้ความจริงเพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อมีสิ่งที่มีจริงใครก็รู้ความจริงนั้นไม่ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เริ่มละเอียดขึ้นมาแล้ว แสดงว่าแต่ก่อนนี้เราไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ต้องเป็นสิ่งที่ละเอียด และลึกซึ้ง เช่น ขณะนี้เห็นมีจริงแน่ๆ และใครรู้ความจริงของเห็นบ้าง เห็นมีจริง เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริง ถ้าเราจะไม่ใช้คำว่ามีจริง เราก็ใช้คำว่าธรรม ทุกสิ่งที่มีจริงมีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งก็เป็นธรรม หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าธรรมหลากหลายมากนับประมาณไม่ได้เลย แต่แม้กระนั้นก็สามารถที่จะจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ คือสภาพธรรมชนิดหนึ่งมีจริงแต่ไม่รู้อะไร แข็งอย่างนี้ แข็งไม่ได้รู้อะไรเลย เสียงก็ไม่รู้อะไร กลิ่นก็ไม่รู้อะไร แล้วเป็นธรรมหรือเปล่า เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า กลิ่นเป็นธรรมหรือเปล่า นี่คือเริ่มตรงที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงก็คือเดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างเป็นธรรมหมด แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นแค่ฟังแค่นี้ เริ่มต้นรู้จักคำว่าธรรม แต่ถามว่ารู้จักธรรมหรือยัง ก็ต้องไปอีกไกลมาก ทั้งๆ ที่กำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ด้วย มีอยู่ทุกขณะด้วย มีทุกวันด้วย แต่ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น จนกว่าจะฟังธรรมเข้าใจขึ้น แทนที่เราจะไปคิดถึงเรื่องของเราวันนั้นเป็นอย่างนี้วันนี้เป็นอย่างนั้น เพื่อนคนนั้นเป็นอย่างนี้เพื่อนคนนี้เป็นอย่างนั้น ก็เหมือนที่เราเคยคิดมาแล้วในสังสารวัฎ แต่ว่าการที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ น่าอัศจรรย์ไหม แล้วทำไมเราไม่รู้ ก็มีอยู่ตรงนี้เอง เห็นก็มี แข็งก็มี กลิ่นก็มี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นเพียงแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ของใครมีปัจจัยก็เกิดเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ กำลังโกรธต้องมีปัจจัยที่จะทำให้โกรธขึ้น สิ่งที่อาศัยที่ทำให้ความโกรธนั้นเกิดขึ้นได้ต้องมี สภาพโกรธระดับนั้นจึงได้เกิดขึ้นได้ จะให้น้อยกว่านั้นหรือมากกว่านั้นไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ปัจจัยนั้นๆ ทำให้เกิดขึ้น ใช้คำว่าปัจจัยหมายความถึงสภาพธรรมที่อุปการะเกื้อกูลอาศัยทำให้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีสิ่งที่ทำให้เห็นเกิด เห็นก็เกิดไม่ได้ แค่นี้ เราเคยคิดมาก่อนไหม แล้วเพื่อที่จะไปถึงความว่าไม่ใช่เรา ฟังธรรมทั้งหมดเพื่อค่อยๆ สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราจะไปรู้อย่างอื่นมากมายเลย แต่ว่าทุกคำที่ได้ฟัง เพื่อเกื้อกูลสะสมให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นแต่ละหนึ่งธรรมซึ่งไม่ใช่เรา แล้วก็จะตอบคำถามได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเวลานี้มีธรรมแน่นอน แตกต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ ธรรมหนึ่งมีเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ว่ามี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 พ.ย. 2567