ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
ตอนที่ ๙๔๒
สนทนาธรรม ที่ คุ้มภูผาหมอก จ.เลย
วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ แม้แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ยังอยู่ในความมืด เพราะว่าตัวจริงๆ ขณะนั้นแค่ปรากฏแล้วดับ จะเป็นเสาทั้งต้น หรืออะไรอย่างนี้ไม่ได้เลย นี่คือการละคลายความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากสิ่งที่ปรากฏทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ผู้ฟัง บางคน เขาบอกว่าเขานอนไม่ได้ เหงา
ท่านอาจารย์ เหงามีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นเขาหรือว่าเป็นธรรม
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ แค่ตอบไม่พอ ต้องกำลังเหงานั่นเอง ให้รู้ว่าลักษณะนั้นมีจริง และความเหงาจะเป็นใครได้ นอกจากเป็นธรรมอย่างหนึ่งในขณะนั้น ซึ่งถ้าฟังไม่พอ ก็เป็นค้นหาไม่เจอ ว่าเหงานี้คืออะไรกัน ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วคือว่าเหงาไม่มีรูปร่างเลย
ผู้ฟัง เหงาเป็นความรู้สึก
ท่านอาจารย์ พอใจหรือไม่พอใจ สบายไหม
ผู้ฟัง ไม่สบาย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความรู้สึกนั้นเป็นใคร ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ถูกปกปิด เพราะไม่รู้ธรรมแต่ละหนึ่งนานแสนนาน แล้วจะเป็นอย่างนี้ต่อไปตราบใดที่ฟังพระธรรม ด้วยความประมาท แม้ฟังก็ยังต้องไม่ประมาท เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าต้องเป็นคนที่ตรง ใครเป็นคนที่ประเสริฐที่สุดที่ยากที่ใครจะได้พบในสังสารวัฏฏ์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะบางสมัยพระองค์ประสูติแต่เราไม่ได้เกิดหรือว่าเกิดที่อื่น ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ และมีโอกาสได้รู้จักคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครชื่อนี้ได้อีกเลย คนเดียวจริงๆ ในสากลจักรวาล ไม่มีพระพุทธเจ้าพร้อมกัน ๒ พระองค์ได้ เพราะว่าคุณธรรมต้องเหนือผู้อื่น ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยน แต่ถ้า ๒ พระองค์ก็เท่ากัน ก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เพื่อให้เราสงบเสงี่ยมหรือเปล่า หรือเพื่ออะไร
ผู้ฟัง ไม่ใช่ เพื่อให้เข้าใจความจริง
ท่านอาจารย์ เพื่อให้รู้ตามความจริงว่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีเหตุที่สะสมมาที่จะให้เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าจะเกิดหรือยัง เพราะว่าชีวประวัติของพระสาวกแต่ละท่านในชาติหนึ่งท่านก็เป็นพระตลอดชาติ อบรมเจริญฌาน และก็ไปเกิดในพรหมโลก ก็ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าแม้แต่หนทางไปพรหมโลก ไม่ใช่หนทางออกจากสังสารวัฎฏ์ ด้วยเหตุนี้จึงมีคำว่า "มิจฉาปฏิปทา" การดำเนินชีวิตที่ผิด แม้จะไปสู่สวรรค์ หรือพรหมโลกก็ไม่ใช่ "สัมมาปฏิปทา" ถ้าสัมมาปฏิปทา ตรงต่อความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน และก็สามารถจะรู้ได้ถึงแม้ไม่ใช่โดยฐานะที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่โดยฐานะที่เป็นผู้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นต้องรู้จุดประสงค์ การฟังพระธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เพื่ออย่างนั้นอย่างนี้ ก็คือโลภะ แต่ฟังเพื่อเข้าใจ และก็เริ่มด้วยการที่รู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แม้แต่เข้าใจก็ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นถ้ารู้หนทางตรงก็คือว่า ไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งรู้ยาก เพราะว่าถึงที่สุดของไม่ใช่เราคือ "โสตาปัตติมรรค" รู้แจ้งอริยสัจธรรม ที่จะไม่รู้ทุกขอริยสัจจะไม่มี ที่จะไม่รู้ทุกขสมุทยอริยสัจจะ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไม่มี เพราะว่าต้องเป็นหนทางที่ละโลภะ เพราะโลภะเกิดให้เห็น ถ้าไม่รู้ก็ตามโลภะไป แต่ถ้ารู้ก็รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา รังเกียจโลภะไหม อะไรที่กำลังรังเกียจ ถ้ารู้ว่าเป็นเพียงธรรมบังคับบัญชาไม่ได้แล้วไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ว่าโลภะของเรา หรือของเขา รังเกียจโลภะของเขา แต่รังเกียจโลภะของเราไหม ใช่ไหม เพราะความไม่รู้ ก็แทนที่จะไม่ใช่เรา ก็กลายเป็นเราเป็นเขาตลอดไป
ด้วยเหตุนี้ สภาพธรรมที่ขณะนี้ เป็นจริงตามวาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ปัญญาต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมทันทีได้อย่างไร เพราะแม้แต่คำว่า "ทุกขอริยสัจจะ" นี่แค่ฟังมา เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นทุกข์ ทั้งหมดเลย อยู่ระหว่างไหน ระหว่างเกิดกับดับ เพราะฉะนั้นเกิดมาเพื่ออะไร สะสมกิเลส ดีไหม ของเก่าก่อนจะมาถึงโลกนี้ก็มากแล้ว แสนโกฏิกัปป์หรือเท่าไหร่ เราไม่สามารถจะรู้ได้ ยังมาถึงชาตินี้ก็ยังสะสมต่อไป ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นเมื่อฟังพระธรรมไม่ใช่หวังอะไรเลย เห็นไหม ไม่หวังอะไรนอกจากเข้าใจธรรม ธรรมที่ไหน เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ ลืมไม่ได้เลย ปัญญารู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังมี พลาดนิดเดียว โลภะมาแล้ว ไปนั่น ทำอย่างนั้น สงบเสงี่ยม อะไรๆ ก็แล้วแต่ที่คิดว่า จะทำให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่นี่ไม่รู้ แล้วจะเป็นโสดาบันได้อย่างไร แล้วเป็นทำไม เป็นทำไมเมื่อไม่รู้ แค่อยากเป็น เท่านั้นเอง รู้ไหมว่าโสดาบันเป็นอย่างไร รู้ไหมว่าก่อนจะถึงโสดาบันเป็นอย่างไร รู้ไหมว่าปัญญารู้อะไร ปัญญาต้องเกิดขึ้นตามลำดับใช่ไหม ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ ไปนั่ง ไปเดิน ไปยืน ไปนอน แล้วก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ลองคิดดู แค่นี้อะไรถูก ไปไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ทำอะไรก็ไม่รู้ กับการที่สิ่งนี้มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่พระองค์ตรัสรู้อย่างไร ทรงแสดงอย่างนั้น ก็แสดงว่าทุกคำที่ทรงแสดงมาจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงนั้นๆ จึงได้ทรงแสดงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เมื่อไหร่ เมื่อเกิดขึ้น เพราะว่าอะไร เกิด และดับเร็วมาก
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างอยู่ในความมืด เพราะไม่รู้จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นเข้าใจขึ้น เป็นเหตุที่จะให้จากปริยัติ การฟังพระธรรมด้วยความเคารพด้วยความเข้าใจ ไม่ได้หวังอะไรเลยทั้งสิ้น จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด เพราะถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด จิตไหน เจตสิกไหน กำลังมีก็ไม่รู้ว่าไหน อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเพราะฟังเข้าใจสภาพของธรรมซึ่งเข้าใจแล้วก็ทำให้สติสัมปชัญญะ ที่เราใช้คำว่าสติสัมปชัญญะต้องมีลักษณะที่ต่างกับสติระดับอื่น เพราะว่าขณะใดก็ตามที่เป็นกุศล ขณะนั้นต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีโสภณเจตสิกที่ดีงามเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๑๙ ประเภท และใครจะรู้ เดี๋ยวนี้ชั่วหนึ่งขณะที่เป็นกุศล เจตสิกเกิดกับจิตนั้น ๑๙ ประเภท แล้วจะรู้ไหน แต่ต้องเป็นหน้าที่ของปัญญาที่จะเป็นปัจจัยให้สติระดับนั้นเกิดขึ้น ไม่มีการเลือกเลย เลือกไม่ได้ ใครจะไปบอกให้สติรู้อย่างนี้ ให้ไปจดจ้องอย่างนั้น นั่นไม่ใช่สติ เพราะเหตุว่านั่นเป็นเรา และไม่เข้าใจเลยทุกสิ่งทุกอย่าง กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่อยู่ในความมืด ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะไปเลือกว่า จะลมหายใจ ไม่ว่าจะนั่งนอนยืนเดิน ไม่ใช่เลย นั่นไม่ใช่ความเข้าใจว่า สติใครก็เลือกไม่ได้ ใครจะบังคับให้สติเกิดไม่ได้ เมื่อสติเกิด สติระลึกรู้สิ่งที่มีในความมืดทั้งหมดทีละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็จะมีความเข้าใจในความเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนของตน แล้วก็โลภะตามไปอีกตลอดทาง เหมือนคนที่เป็นมารจริงๆ ขัดขวางความเจริญความก้าวหน้าของปัญญา เพราะว่าคอยให้ติดข้องเมื่อไหร่จะเกิดอีก ถ้าเข้าใจผิดรีบไปทำ และให้สติเกิดบ่อยๆ บางคนอาจจะรีบอ่านธรรม บางคนอาจจะรีบไม่ฟังวิทยุโทรทัศน์ อะไรเลยทั้งสิ้น เคี่ยวเข็ญที่จะให้สติเกิดขึ้น แล้วจะเกิดได้อย่างไร เพราะว่าสติเป็นอนัตตา อยากเมื่อใด รู้ได้เลย สติเกิดไม่ได้ เพราะอยาก เพราะความอยาก และความต้องการเป็นอกุศลธรรม
ธรรมของใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องละเอียดไหม ต้องลึกซึ้งอย่างยิ่งไหม ต้องยากที่จะแม้เข้าใจไหม เพราะว่าไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะเมื่อตรัสรู้แล้ว เพราะความยากยิ่งของธรรมเดี๋ยวนี้เอง ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ทำให้ขณะนั้นไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงเพราะความยาก ไม่ใช่ว่าเพราะท้อถอย พระพุทธเจ้าจะมีกิเลสยังคงเป็นความเดือดร้อนใจไม่ได้เลย แต่ความที่ธรรมละเอียดยิ่งขณะนั้นก็ ทรงปริวิตก คือระลึกถึงความยากของธรรมนั้น ชั่วขณะนั้นที่ไม่ได้แสดงธรรม ไม่ใช่หมายความว่าจะไม่แสดง เพราะว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ด้วย แต่ความยากของธรรมลองคิด ตรัสรู้ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังเห็นความลึกซึ้งของธรรม แต่เมื่อรู้ว่าสัตว์โลกมีอัธยาศัยต่างๆ กัน บางคนฟังสะสมมาแล้วมาก เข้าใจได้เลยไม่ต้องพูดยาว แต่บางคนกว่าจะรู้แต่ละคำแต่ละคำ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง
ได้ยินคำว่าธรรม ได้ยินว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ได้ยินว่าธรรมเกิดแล้วดับ ถ้าเป็นผู้ตรงว่า ขณะนี้ฟังเข้าใจ แต่สภาพธรรมยังไม่เกิด และดับ เพราะว่าปัญญาไม่ถึงขั้นที่จะประจักษ์การเกิด และดับของสภาพธรรม ต้องเป็นผู้ที่ตรงเพื่อละ แต่ว่าโลภะเป็นเจ้านายมานาน เมื่อเช้านี้มีโลภะไหม รู้ไหมว่าใครให้เป็นอย่างนั้น อะไรทำให้ต้องเดินไป อะไรที่ทำให้ต้องหยิบนั่นยกนี่ตลอดเวลา เพียงแค่กะพริบตา ยื่นมือ นั่นก็โลภะทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าเห็นอย่างนี้ ก็จะรู้ว่าไม่มีใครไปทำอะไรให้เกิดสติสัมปชัญญะ ปัญญาถึงระดับที่จะละโลภะได้ แต่เพราะรู้ทีละเล็กทีละน้อยในลักษณะซึ่งมีจริงๆ แต่ดับแล้วหมด พูดเดี๋ยวนี้สิ่งที่เกิดเดี๋ยวนี้ก็ดับไปแล้ว อีกทั้งหมดในความมืดทั้งหมด ก็ต้องฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น นั่นเป็นหนทางเดียว ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกในอดีตได้ดำเนิน เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แล้วเราจะเก่งกว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะ ฟังนิดเดียวจะให้รู้ ไม่ต้องได้ยินอะไรเลย คิดเองก็ได้ แค่อ่านสองสามคำ ก็เป็นพระโสดาบันเป็นไปได้ไหม
ผู้ฟัง แม้แต่การกะพริบตา ก็เป็นโลภะทำงานหรือ
ท่านอาจารย์ มีจิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจิต
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต กะพริบตาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แล้วก็จิตใดที่ทำให้การกะพริบตาเกิดขึ้น ทำให้รูปไหวไปได้ ถ้ารูปนี้ไม่มีจิต เคลื่อนไหวสักนิดก็ไม่ได้ คนตาย พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เหมือนท่อนไม้เลย เราบอกให้ท่อนไม้ลุกขึ้นเดิน ไม่มีใครจะไปสั่ง ไปทำอะไรได้เลย เพราะฉะนั้นตราบใดที่รูปนี้ ภาษาโบราณท่านใช้คำว่ามีใจครอง หมายความว่าจิตยังเกิดที่รูปนี้ จิตต้องเกิดที่รูป จิตเกิดนอกรูปไม่ได้เลย แต่เราไม่รู้เลย ว่าจิตไหนเกิดที่รูปไหน แต่จิตจะไม่เกิดนอกรูป ทั้งๆ ที่รูปก็เกิด และดับ จิตก็เกิด และดับ อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นปรากฏชั่วคราว ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะรู้ได้อย่างนี้แค่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดปรากฏก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เห็นเดี๋ยวนี้ต้องมีตา แค่มีตายังไม่พอ ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏกระทบตา แล้วยังมีกรรมที่ได้กระทำไว้ถึงเวลาที่จะเห็นสิ่งนี้จึงเห็นได้ เห็นจึงเกิดขึ้นเห็นสิ่งหนึ่ง เพราะสิ่งนี้ก็ดับเร็วมาก
ประมาทพระปัญญาคุณไม่ได้เลย ไม่มีใครที่จะหยั่งถึง เพราะว่าแต่ละคำที่ได้ฟัง ความเข้าใจค่อยๆ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจมากก็เห็นพระองค์มาก ถ้าเข้าใจนิดหน่อยก็ดูจะคล้ายๆ คนธรรมดา แค่พูดอย่างนี้ คนธรรมดาก็พูดได้ ละชั่วใครพูดไม่ได้ แม้ว่าจะทรงแสดง "ธรรมีกถา" คือ คำที่เกี่ยวกับธรรมกับท่านอนาถบิณฑิกะ ตอนที่ท่านยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ได้เฝ้าพูดเรื่องทาน ก็คนอื่นก็พูด ต่างกันตรงไหน เพราะฉะนั้นเราประมาทได้ไหมว่าคำของพระพุทธเจ้าในเรื่องใดๆ ก็ตาม ต้องต่างกับคนอื่น เพราะคนอื่นไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าแม้ทานการให้เพราะจิตประเภทใด
ผู้ฟัง เพราะกุศลจิตใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แล้วกระพริบตา เพราะจิตประเภทใด
ผู้ฟัง รู้ตัวยาก
ท่านอาจารย์ คือก็ไม่รู้ เพียงแต่นึก แล้วก็จำ แล้วก็พูด เพราะสภาพธรรมเกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด ถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้จิตอะไร ก็ตอบไม่ได้ เกิดแล้วดับแล้ว ถ้าถามว่ากะพริบตา ถ้าไม่มีจิตกระพริบตาได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่กระพริบตาต้องเป็นรูปซึ่งเกิดจากจิต เพราะว่าที่ตัวของเรามีกลุ่มของรูปหลายกลุ่มมาก คั่นด้วยอากาศธาตุละเอียดยิบ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จะเป็นของใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น รูปบางกลุ่มที่ภาษาบาลีใช้คำว่า "กลาปะ" ไม่จำก็ได้ แต่คำก็ไม่เห็นยากเลยใช่ไหม ชื่อคนเรายังจำได้เลย ของใหม่ๆ เราก็จำชื่อได้หมด ทุกชื่อไป และแค่คำภาษาบาลีนานๆ ที ทีละคำ จำยากหรือ เพราะเหตุว่ากลุ่มของรูปซึ่งเกิดแยกกันโดยอากาศธาตุ แต่ละกลุ่มละเอียดยิบ กลุ่มหนึ่งคือ กลาปะ บางคนก็บอกว่า กลาป ง่ายดีไม่ต้อง กลาปะ ทุกขะ ภาษาบาลีคนไทยก็บอกว่า ทุกข์ สุขะ ภาษาบาลี คนไทยก็บอกว่า สุข ชา-ติ ภาษาบาลีคนไทยก็บอกว่า ชาติ ง่ายมากหมดเลย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจตรงความหมาย เพราะคิดเองอารมณ์ ก็บอกว่าวันนี้อารมณ์ดี แต่อารมณ์คืออะไร เมื่อมีจิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตนั้นรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ในขณะนั้นเท่านั้น เป็นอารมณ์ของจิตนั้นที่เกิดขึ้น นี่คือการเกิดดับที่เร็วสุดที่จะประมาณได้
ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะบำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะประกอบด้วยพระญาณต่างๆ ให้คนอื่นได้เข้าใจ เรามีโอกาสจะได้ฟังไหม แค่ฟัง มีโอกาสจะเข้าใจความลึกซึ้งไหม ธรรมทั้งหลายเลือกไม่ได้ จะให้คนโน้นฟัง ให้คนนี้ไม่ฟัง ไม่ได้ เพราะแม้การได้ยินได้ฟังก็ต้องมีเหตุที่จะให้ได้ยินได้ฟัง ด้วยเหตุนี้จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมแม้ในการฟัง เพราะฉะนั้นเวลาฟังเข้าใจ ค่อยๆ คลายความเป็นเรา มองไม่เห็นเลยว่าแค่ไหน น้อยกว่าผง เพราะเหตุว่าที่สะสมมาเป็นภูเขา จะขุดภูเขาด้วยเล็บรอเมื่อใดจะหมด ภูเขานั้นก็ใหญ่กว่าที่คิด เล็บนั่นก็ใหญ่กว่าปัญญาที่เกิด เพราะฉะนั้นก็รู้ได้เลย การฟังทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ตอบได้หรือยังว่ากระพริบตา เพราะจิตอะไร ถ้าไม่มีจิตกระพริบตาไม่ได้
ผู้ฟัง โลภะ
ท่านอาจารย์ นั่นเองแค่นี้ แล้วเมื่อเช้านี่ ตื่นมากระพริบตากี่ครั้งก็ยังไม่รู้เลย ใช่ไหม อยู่ไปวันหนึ่งวันหนึ่งด้วยความไม่รู้ สิ่งที่มีจริงๆ แต่อยู่ในความมืด หุ้มห่อไว้คว่ำไว้ ไม่มีใครเห็น จนกว่าพระธรรมที่ได้ฟัง ความเข้าใจนั้นค่อยๆ เข้าใจที่จะหงายขึ้น หงายได้หรือยัง ยังไม่มีกำลังพอ ต้องฟังระดับไหนที่สติสัมปชัญญะจะเริ่มจะกระทบ จนกว่าจะมีแรงที่จะทำให้หงายขึ้น และก็เห็นความจริงที่อยู่ในความมืดตามลำดับ ของความชัดเจนว่าความสว่างที่จะไปรู้แค่ไหน ริบหรี่นิดเดียว หรือว่าจ้าแล้วพอที่จะเห็นสิ่งที่มีจริงชัดเจนทั้งหมด ฟังไว้ เพราะว่าสะสมแล้วในจิต แต่ว่าขึ้นอยู่กับว่าความเข้าใจ ทำให้มีศรัทธาความผ่องใสของจิต ที่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สิ่งที่ได้ฟังทั้งหมดเป็นจริงกับปัญญาที่ถึงระดับขั้นที่จะรู้ความจริง เพื่อละต่อไปอีก จากการที่ติดมาในความเป็นเรา ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แล้วไม่เหลือความเป็นเราอีกเลย คิดดู
เพราะฉะนั้นคำสอนอื่น สอนให้ระงับชั่วคราว ถ้าโกรธก็ไปคิดอย่างนี้ นับ ๑ ถึง ๑๐ ถึง ๑๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ก็ยังโกรธ ไม่ใช่หนทาง และความโกรธก็ดับไปแล้ว ไม่ต้องไปทำให้โกรธดับ แต่โกรธจะเกิดอีก ตราบใดที่ยังมีเชื้อของความโกรธ ที่สะสมมาแล้วนานมาก ด้วยความเป็นเราใช่ไหม เป็นเขาใช่ไหม ใครโกรธใคร ธาตุโกรธ กับธาตุโกรธ กว่าจะถึงความเป็น ธาตุโกรธ กับ ธาตุโกรธ ก็เผาผลาญใจไปนานมาก หาทุกข์ใส่ตัว หรือเปล่า ก็ไม่รู้ใช่ไหม ไม่มีใคร ทำให้ใคร เดือดร้อนเป็นทุกข์ได้ นอกจากตัวเอง ฟังอย่างนี้ยังจะเป็นทุกข์ต่อไปอีกไหม ถึงไม่อยากก็ต้องเป็น
เพราะว่าความที่อกุศลทั้งหลาย จะเกิดได้ ต้องเพราะอวิชชาความไม่รู้ และวิชาเกิดแล้ว ที่จะไม่รู้ ไม่ได้ แล้วก็รู้ถูกขึ้น ค่อยๆ ขัดเกลา ปัญญาจะเห็นสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดโกรธดีไหม ถ้าเป็นปัญญา
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ แต่ปัญญาระดับไหน พระโสดาบันยังโกรธ และปุถุชนปัญญาระดับไหน แล้วจะไปบอกว่าหาวิธีดับความโกรธ เชื่อเถอะไม่มีใครที่จะทำได้ ผู้เดียวคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่รู้หนทางเดียวจริงๆ คือ ปัญญาเท่านั้น จากการฟังไตร่ตรองเข้าใจ และปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา เพราะว่าธรรมแต่ละหนึ่ง มีลักษณะเป็นธรรมนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อกุศลเป็นอกุศล เปลี่ยนเป็นกุศลไม่ได้ โกรธเป็นโกรธจะเปลี่ยนเป็นเมตตาใจดี ไม่ทำร้ายตัวเองก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์ทุกคำให้รู้ รู้แล้วตามกำลังของปัญญาว่าจากไม่ดีค่อยๆ ละคลาย เป็นดีขึ้นแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรม ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ การฟังก็เป็นการดี เพราะไม่ฟังอื่น ฟังสิ่งที่มีประโยชน์ ที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องละเอียด เพราะฉะนั้นจะมีคำถามทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ผู้นั้นไม่รู้จักผู้ที่สามารถดับความโกรธได้ แต่ว่าไปถามคนที่เขาไม่รู้หนทางเลย แล้วเขาบอกวิธีต่างๆ เชื่อเขา แล้วก็ไม่สำเร็จหรอก เดี๋ยวโกรธก็เกิด
ใครจะไปทำให้โกรธไม่เกิดอีกได้เลย นอกจากปัญญา แล้วปัญญาก็มาจากคนอื่นไม่ได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เข้าใจธรรมดีไหม แค่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเพิ่มขึ้น ฟังแล้วเข้าใจขึ้น ฟังแล้วเข้าใจขึ้น นั่นคือหนทาง ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไม่มีทางเลย อยู่ดีๆ ก็ไปโผล่เป็นพระโสดาบันขึ้นมา ไม่มีเหตุเลยที่จะให้เป็นอย่างนั้น แต่อวิชชา และโลภะก็ยังเข้าใจอย่างนั้น แล้วใครจะเอาความเข้าใจอย่างนี้ออก ผู้เดียวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมไว้ทั้งหมดเลยโดยประการทั้งปวง ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งสิ้น มีผู้ไปทูลถามทุกอย่าง แม้แต่ ความประพฤติของโจร ก็ยังถามว่า ถ้าเป็นโจร และควรจะประพฤติธรรมอะไร ซึ่งเป็นธรรมของโจร ด้วยพระมหากรุณาเพราะเปลี่ยนเขาไม่ได้ แต่ให้เขาประพฤติดีขึ้น เห็นถูกขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ใช้คำว่า "สมาทาน" ด้วย แล้วเราก็สมาทานดื้อๆ เลย ไปขอ สมาทานศีลก็ไปขอศีล ไม่รู้เลยว่า ๕ มีอยู่แล้วไม่ต้องใครบอก ไปขออะไรขอเหมือนเดิม พูดอย่างเดียวกับที่เราเคยรู้ว่า ปาณาติปาตาเวรมณี แล้วก็พูดไม่ต้องไปก็รู้ แล้วไปขอศีลทำไม หมายความว่าอย่างไร แล้วทำไมต้องขอ เพียงได้ยินคำว่าสมาทาน คิดเอง
ผู้ฟัง แล้วสมาทานเริ่มมาจากไหน
ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าคำนี้ไม่ใช่ภาษาไทย เที่ยวไปแปลคำภาษาอื่นมาตามใจชอบของตัวเองได้อย่างไร เขาไม่ได้หมายความอย่างนี้ แล้วเราก็ไปทำอย่างนี้ถูกหรือ เรื่องความไม่รู้ทั้งหมด
ผู้ฟัง แล้วความหมายของสมาทาน
ท่านอาจารย์ ถือเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 920
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960